ณ เรือนฝูหรง
ไป๋เซียงจู๋มองผ้าไหม ผ้าแพร และเครื่องประดับไข่มุกที่ฮูหยินเฒ่าไป๋ส่งมาให้ จากนั้นเดินชมเครื่องเรือนที่ตกแต่งภายในห้องนี้ ทั้งหมดล้วนเป็ของล้ำค่าอย่างยิ่ง หากพิจารณาอย่างผิวเผิน ดูเหมือนฮูหยินเฒ่าไป๋จะยอมรับหลานสาวคนนี้อีกครั้ง ทว่าเครื่องเรือนเหล่านี้ล้วนเป็ของในคลังของจวน จะสูญหายหรือเสียหายไม่ได้ มิเช่นนั้นต้องชดใช้คืนตามมูลค่าจริง และแม้ว่าพวกเครื่องประดับไข่มุกนี่ดูมีราคาแพง อันที่จริงแล้วไม่ใช่อาภรณ์มูลค่าสูงอะไรเลย สีสันลวดลายของผ้าไหมและผ้าแพรก็ฉูดฉาดเกินไป หรือไม่ก็เชยเกินอายุ ไร้ซึ่งแบบที่เหมาะสมกับ่วัยตนโดยสิ้นเชิง ดูท่านางยังต้องออกแรงอีกหน่อยเพื่อซื้อตัวท่านยายมายืนหยัดข้างนาง ในขณะที่บัดนี้เห็นได้ชัดว่ากระทั่งบ่าวไพร่ระดับล่างก็เริ่มยโสโอหังเหยียบหัวนางแล้ว ไป๋เซียงจู๋ชำเลืองข้าวของทั้งหมดนิ่งๆ คล้ายยิ้มแต่มิใช่
พอตู้เจวียนปูผ้านวมเสร็จ นางก็มีหน้าตาเบิกบาน หันหลังออกไปนำน้ำร้อนที่อุ่นอยู่บนเตาเข้ามา พูดด้วยเสียงแ่เบา “คุณหนูล้างหน้าแล้วพักผ่อนเถอะเ้าค่ะ”
ไป๋เซียงจู๋พยักหน้า ตู้เจวียนเติมน้ำร้อนลงในอ่างทองเหลืองจนเต็มอย่างคล่องแคล่ว แช่ผ้ากลิ่นหอมกรุ่นไว้ เดินเข้าไปเช็ดเนื้อตัวเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ไป๋เซียงจู๋
ขณะเช็ดทำความสะอาดร่างกาย มือตู้เจวียนที่ถือผ้าหยุดชะงักบริเวณรอยแผลเป็บนข้อมือของไป๋เซียงจู๋ ไป๋เซียงจู๋รับรู้ถึงความเปลี่ยนแปลงของคนด้านหลัง นางปรายตาเล็กน้อย ไม่เอื้อนเอ่ยสิ่งใดออกมา
ผ่านไปพักใหญ่ ของเหลวร้อนหยดลงบนหลังมือนาง ทำให้ไป๋เซียงจู๋รู้สึกงงงวย
“ขะ... ขออภัยเ้าค่ะ...” ตู้เจวียนรู้ตัวว่าเสียมารยาท ทว่ามิอาจสะกดกลั้นความโศกเศร้าในใจได้ ปลายนิ้วััไล่ไปตามรอยแผลที่ยาวจนถึงข้อมือนั่นอย่างไม่ได้ตั้งใจ น้ำตาไหลนองหน้า
“น่าเกลียดสินะ...” ไป๋เซียงจู๋พึมพำเสียงเบา เหมือนกำลังถามตู้เจวียน และเหมือนรำพันกับตัวนางเองด้วยเช่นกัน
“ไม่เลยเ้าค่ะ... คุณหนูคงลำบากมากใช่ไหมเ้าคะ” ตู้เจวียนเงยหน้าเปื้อนน้ำตา มองไป๋เซียงจู๋อย่างช้ำใจ
“ข้าไม่เป็ไร เื่ที่สั่งเ้าไว้ เ้าจัดการไปถึงไหนแล้ว” ไป๋เซียงจู๋หยิบเสื้อมาด้วยสีหน้าเรียบเฉยแล้วสวมใส่ด้วยตัวเอง สิ่งที่นาง้าไม่ใช่ความเห็นอกเห็นใจ ไม่ใช่ความสงสาร รอยแผลเป็นี้เกิดจากการทรมานตนเพื่อให้ได้โลหิตโอสถ เจ็ดวันก่อนนางอยู่ใต้ผาในสภาพแขนด้วน จับงูพิษมาจำนวนสามตัว รวมตะขาบอีกร่วมร้อย ให้พวกมันกัดข้อมือข้างนี้พร้อมกันเพื่อรับพิษร้าย แม้จะเสี่ยงอันตราย อีกทั้งวิธีทำลายศัตรูแบบที่ฝ่ายตนต้องถึงกับอาการร่อแร่นั้นช่างโง่เง่ายิ่ง ทว่านางไม่สนใจอีกแล้ว เมื่อมีกายโลหิตโอสถร่างนี้ สิ่งที่นาง้าทำในภายภาคหน้าจะง่ายดายขึ้นไม่น้อย และยังตัดความกังวลไปได้มากมาย
“สองสามวันที่ผ่านมาฮูหยินรองกำลังเตรียมงานเลี้ยงชมดอกไม้เ้าค่ะ ดูเหมือนว่าจะพาคุณหนูรองไปด้วย แต่ไม่ได้เปรยว่าจะเชิญคุณหนูติดตามไปด้วย” ตู้เจวียนออกจากห้วงแห่งความเศร้า กุลีกุจอช่วยไป๋เซียงจู๋ใส่เสื้อผ้า ขณะเดียวกันก็บอกเล่าข่าวคราวที่ตนสืบได้ในสองวันนี้ให้ไป๋เซียงจู๋ฟัง
หลังจากเปลี่ยนเป็ชุดนอนแล้ว ร่างกายแค่รู้สึกเย็นนิดหน่อยเท่านั้น ไป๋เซียงจู๋ผ่อนคลายสบายใจอย่างไม่เคยเป็มาก่อน อารมณ์ก็ค่อยๆ สงบลงด้วย “ดีมาก ว่าต่อไป...”
----------------------------------------
ในเรือนจิ้งซินมีบรรยากาศแสนครึกครื้น กลิ่นหอมละมุนเตะจมูก ฮูหยินรองนั่งข้างฮูหยินเฒ่าไป๋ ส่วนไป๋ซื่อก็นั่งปรึกษาเื่งานชมดอกไม้และการกลับจวนของนายท่านไป๋อยู่อีกด้าน
ั้แ่เกิดเื่คราวก่อนขึ้น ไป๋ซื่อตระหนักถึงต้นเหตุของปัญหาแล้ว นางจะอ่อนปวกเปียกแบบนี้ต่อไปไม่ได้ นางจะพยายามสู้เพื่อชิงฐานะอันเหมาะควรให้แก่บุตรชายและบุตรสาวของตน
ไป๋ชิงโหรวอยู่ในชุดฤดูใบไม้ร่วงสีแดงกุหลาบปักดิ้นทอง ศีรษะตกแต่งด้วยปิ่นประดับลูกปัด ตุ้มหูทับทิมระย้าแกว่งไกว รอยยิ้มพริ้มพรายอ่อนหวาน ไม่มีความหดหู่และหงุดหงิดที่ถูกขังในห้องเก็บฟืนเป็เวลาสามวันแม้แต่น้อย เห็นได้ชัดว่าหายน้อยอกน้อยใจแล้ว นางประจบฮูหยินเฒ่าสุดฤทธิ์ เล่าเื่ตลกน่าขันบ่อยครั้ง แต่ไม่ว่านางจะพยายามเช่นไร ใบหน้าของฮูหยินเฒ่าก็เฉยเมยดังเดิม ไม่แสดงอาการอะไรที่พิเศษไปกว่านั้น
เหล่าคนในห้องนี้ภายนอกดูเบิกบานปรองดองกันดี ทว่าแท้จริงแล้วต่างคนต่างมีความคิดบางอย่างอยู่ในใจ
“นายหญิง คุณหนูใหญ่มาแล้วเ้าค่ะ” แม่เฒ่าจางยกถ้วยน้ำชามากระซิบบอกฮูหยินเฒ่า
“จู๋เอ๋อร์หรือ ให้นางเข้ามาเถอะ” นายหญิงไป๋ถือถ้วยชาด้วยใบหน้าแต้มรอยยิ้มจาง
ไป๋ชิงโหรวกับอวี๋ซื่อสบตากัน ั์ตาแผ่ไออำมหิตที่แทบจะััไม่ได้
ไป๋ซื่อยิ้มน้อยๆ มองออกไปนอกประตู จนกระทั่งกระโปรงสีนวลเยื้องกรายเข้ามาในเรือนจิ้งซินด้วยจังหวะกระชดกระช้อย ทุกย่างก้าวราวกับย่ำบนผิวน้ำ กระเพื่อมสร้างระลอกคลื่นเป็ระยะ ไป๋เซียงจู๋เงยหน้ามองฮูหยินเฒ่าไป๋ที่ต้อนรับตนด้วยดวงหน้าเมตตาอารีบนแท่นนั่งทรงเกียรติ แล้วจึงถอนสายบัวทำความเคารพ “จู๋เอ๋อร์น้อมทักทายนายหญิงไป๋เ้าค่ะ”
“ลุกขึ้นเถอะ ของที่ข้าส่งไปพอถูกใจหรือไม่” ฮูหยินเฒ่าไป๋พยักหน้าเบาๆ
“ขอบพระคุณนายหญิงเ้าค่ะ จู๋เอ๋อร์ชอบมาก เพียงแต่จู๋เอ๋อร์เรียบง่ายจนชินแล้ว ไม่คุ้นเคยกับเครื่องประดับพวกนั้นเท่าไร นายหญิงโปรดอย่าถือสา” ไป๋เซียงจู๋พูดจบก็ส่งสายตาให้ตู้เจวียนที่อยู่ข้างหลัง ตู้เจวียนรับทราบ เดินหน้าเข้ามาพร้อมกล่องใบหนึ่ง
ไป๋เซียงจู๋ยิ้มละไมพลางกล่าว “ท่านยายเ้าคะ นี่คือคัมภีร์พระไตรปิฎกที่จู๋เอ๋อร์คัดเมื่อคืน ตอนพำนักที่วัดต้าโฝข้าคัดลอกคัมภีร์ทุกวันจนติดนิสัย อยู่ในจวนไม่มีอะไรทำ จึงคัดส่วนหนึ่งมาให้ท่านยายเ้าค่ะ”
“เ้าตั้งใจจริงๆ นะ” แม้ฮูหยินเฒ่าไป๋คลี่ยิ้มที่อ่อนโยน แต่ใบหน้ามิได้ยิ้มตามไปด้วย
แม่เฒ่าจางก้าวออกมารับกล่องผ้าตาดและกลับไปยืนอีกด้าน
ไป๋เซียงจู๋นั่งลงข้างๆ ไป๋ซื่อ ไป๋ซื่อแตะมือของนางอย่างรักใคร่ ไป๋เซียงจู๋ส่งยิ้มนุ่มนวลตอบ
สายตาของอวี๋ซื่อส่อประสงค์ร้าย แต่รอยยิ้มกว้างประดับบนใบหน้า “คุณหนูใหญ่ได้เรียนรู้จากการไปวัดต้าโฝหนนี้แล้ว เมื่อก่อนเคยเชิญอาจารย์หญิงมาสอนเขียนหนังสือถึงที่นี่ คุณหนูใหญ่ฉุนเฉียวจนตะเพิดอาจารย์ไป ครั้งนี้ขึ้นเขาไปไหว้พระขอพรไม่กี่วัน กลับคัดพระไตรปิฎกเป็เสียแล้ว”
อาจารย์หญิง? ไป๋เซียงจู๋แสยะยิ้ม น้าสะใภ้ผู้นี้โกหกเก่งจริงเชียว นางใช้ชีวิตอยู่ท้ายจวนั้แ่เด็กจนเติบใหญ่ ถูกเรียกใช้งานประหนึ่งสาวใช้ ทุกๆ วันยังกินไม่อิ่มนอนไม่อุ่นด้วยซ้ำ เชิญอาจารย์มาสอนนางอ่านเขียนอะไรกัน หากมิใช่เพราะเมื่อกลับไปยังจวนมู่ บิดาเชิญอาจารย์มาสั่งสอนเพราะความสงสาร กอปรกับตัวนางเองก็พากเพียรพัฒนาตน จนถึงบัดนี้คงแทบไม่รู้หนังสือเลยกระมัง
เมื่อเก็บคำเหน็บแนมรสขมขื่นนั่นกลับไปยังส่วนลึกของจิตใจแล้ว ไป๋เซียงจู๋เอ่ยตอบด้วยยิ้มถ่อมตน “เขียนได้ไม่ดีหรอกเ้าค่ะ หวังว่านายหญิงจะไม่ติก็พอ”
“ไม่กี่วันก่อนตอนกักตัวสำนึกผิด น้องก็คัดคัมภีร์มอบให้ท่านย่าเช่นกัน น้องยังเขลานัก เขียนได้ไม่ดี อยากจะขอให้ท่านพี่ชี้แนะบ้าง ทำไมท่านย่าไม่นำคัมภีร์ที่ท่านพี่คัดออกมาล่ะเ้าคะ ให้พวกเรายลเป็ขวัญตา ดูว่าพระไตรปิฎกของวัดต้าโฝดีเลิศอย่างที่คนเขาร่ำลือหรือไม่” ไป๋ชิงโหรวยืนขึ้น หยิบคัมภีร์ที่ตนคัดเองส่งมาตรงหน้าฮูหยินเฒ่าราวกับถวายทรัพย์สมบัติ ฮูหยินเฒ่าดูคัมภีร์ฉบับเสียวข่าย [1] ที่แต่ละแถวเรียงเป็ระเบียบงดงาม รอยยิ้มบนใบหน้าชัดเจนมากกว่าเดิม
“อืม ไม่เลว”
“ขอบพระคุณท่านย่าสำหรับคำชมเ้าค่ะ” ไป๋ชิงโหรวยิ้มกริ่ม “ท่านย่า ให้ทุกคนลองชมคัมภีร์ที่ท่านพี่คัดเถิดเ้าค่ะ” ไป๋ชิงโหรวใช้โอกาสนี้ออดอ้อน
“ได้ๆๆ แต่ไหนแต่ไรพี่เ้าไม่ได้แก่เรียนเท่าเ้า ไม่รู้ว่าคัมภีร์นี่ดีอย่างที่เ้าพูดจริงหรือไม่” ฮูหยินเฒ่าหน้าชื่น สั่งให้แม่เฒ่าจางเปิดกล่องและนำคัมภีร์ข้างในออกมา
เมื่อกระดาษขาวถูกกางออกต่อหน้าทุกคน แม่เฒ่าจางก็ใจนเกือบทำหลุดมือ คัมภีร์ที่ไป๋เซียงจู๋มอบให้นั้นแม้เป็พระสูตรที่พบบ่อยในคัมภีร์สามัญ ทว่าคัมภีร์นั่นคัดด้วยอักษรดอกเหมย [2] หัตถ์คู่
เชิงอรรถ
[1]小楷 เสียวข่าย คือ รูปแบบอักษรจีนตัวบรรจงขนาดเล็ก
[2]梅花篆 อักษรดอกบ๊วย คือ รูปแบบอักษรจีนประเภทหนึ่ง พัฒนาบนพื้นฐานตัวอักษรจ้วนซู (篆书) โดยดัดแปลงอักษรจ้วนซูให้กลายเป็ทรงดอกบ๊วย ถ้ามองผ่านๆ เหมือนรูปดอกบ๊วย แต่พอเพ่งพินิศก็จะเห็นว่าเป็ตัวอักษร