ยาเซียนตันขั้นสองคุณภาพต่ำสามขวดขายได้หลายหมื่นตำลึง
หากเป็หลายวันก่อน โหยวเสี่ยวโม่คงไม่ใจกว้างถึงขั้นยกพวกมันให้กับหลิงเซียว แต่ตอนนี้เขาไม่จำเป็ต้องหลอมยาเพื่อหาเงินอีกต่อไป อีกทั้งไม่ได้ขาดแคลนยาเซียนตันพวกนี้ หากต้องอาศัยหลอมยาหาเงินจริงก็คงต้องพึ่งยาเซียนตันคุณภาพสูงถึงจะคุ้มกว่า
แต่เขาตั้งใจว่าอีกไม่กี่วัน จะทดลองหลอมยาเซียนตันขั้นสาม
่ระหว่างนี้ เขารู้สึกว่าพลังปราณิญญาของตัวเองนั้นคงที่ ตอนหลอมยาขั้นสองก็ค่อนข้างราบรื่น หลอมออกมาได้อย่างง่ายดาย เหมือนตอนที่บรรลุขั้นหนึ่ง
ขณะที่คิดเช่นนี้ โหยวเสี่ยวโม่ก็ออกจากทัพพิภพแล้ว แต่เขาไม่ได้คิดเลยว่ายังไม่ทันจะเข้าถึงพื้นที่ของแขนงการต่อสู้ก็ถูกคนขัดขวางซะก่อน
คนที่ขวางเขานั้นเป็ชายสองคนที่สวมชุดเกราะสีเงินหน้าตาเคร่งขรึม เกราะแบบนี้โหยวเสี่ยวโม่เคยเห็นทีเขาอู๋ซวง พวกลาดตระเวนที่นั่นก็แต่งกายสวมใส่แบบนี้
พวกชุดเกราะสีเงินนี่ให้ความรู้สึกเย็นะเื ท่าทางเก่งกาจ น่าจะไม่ใช่คนของแขนงการต่อสู้ แต่เป็หน่วยคุ้มกันของท่านเ้าสำนัก ทุกคนมีพลังชั้นตะวัน ภักดีต่อเ้าสำนักตลอดมา นอกจากคำสั่งจากเ้าสำนักแล้ว ไม่มีใครสั่งพวกเขาได้แม้แต่คนเดียว
จากจุดนี้ดูออกได้ว่า เ้าของสำนักเทียนซินที่แท้จริงคือทังฝานเ้าสำนัก แม้เหล่าผู้าุโมีสิทธิ์มีเสียง แต่ก็ไม่ได้มีอำนาจ
เมื่อขวางตัวโหยวเสี่ยวโม่ไว้ หนึ่งในชายชุดเกราะก็เอ่ยอย่างเป็การเป็งานขึ้น “ไม่มีคำสั่งจากท่านเ้าสำนัก ใครก็ไม่สามารถเข้าออกได้ตามใจ”
“แต่ว่า…ข้าแค่อยากไปหาศิษย์พี่ใหญ่เอง” โหยวเสี่ยวโม่ดูท่าทางสองคนนี้เข้มงวดจนไม่เปิดช่องว่างให้เจรจาได้เลย จึงครุ่นคิดและฉงน สำนักเทียนซินไม่ได้เข้มงวดถึงเพียงนี้ ทำไมออกไปเพียงไม่กี่วัน กลับมาจึงเป็เช่นนี้ไปได้? เขาจำได้ว่าแขนงโอสถกับแขนงการต่อสู้ไม่มีกฎระเบียบเช่นนี้มาก่อน
“ไม่ได้” ชายชุดเกราะตอบกลับอย่างไม่ไยดี
อีกท่านนึงแม้ไม่ได้เอ่ยอะไร แต่ท่าทีขึงขังก็แสดงชัดเจนถึงความคิดเดียวกัน
โหยวเสี่ยวโม่จึงได้แต่ถอดใจเื่ไปหาหลิงเซียว กลับทัพพิภพอย่างหดหู่
เดินไปพลางใคร่ครวญว่าเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นที่สำนักเทียนซินกันแน่ ทำไมการคุ้มกันถึงเข้มงวดขึ้นเช่นนี้ เขานึกขึ้นได้ว่าวันก่อนที่อยู่ตีนเขากับหลิงเซียวแล้วพบกับศิษย์อีกสองคน ตอนนั้นเหมือนพวกเขาจะบอกว่าเกิดเื่บางอย่างขึ้น ดังนั้นให้หลิงเซียวรีบไปหาเ้าสำนัก
แต่ตอนนั้นเขาไม่ได้ใส่ใจอะไร อีกทั้งหลังจากนั้นก็ไม่ได้ยินข่าวอะไร ศิษย์ทัพพิภพก็ดูปกติกันทุกคน โหยวเสี่ยวโม่จึงไม่ได้เอะใจ คิดเพียงว่าหลิงเซียวอาจติดธุระบางอย่าง จึงไม่มีเวลาว่าง
จากตอนนี้ คิดว่าคงมีอะไรใหญ่โตเกิดขึ้นแน่ ไม่อย่างนั้นคงไม่ส่งคนมาเฝ้าทางเข้าเขาอู๋ซวงเช่นนี้
“เอ๊ะ? นี่มันศิษย์น้องเล็กนี่นา”
ขณะที่กำลังคิดอย่างใจลอย เสียงเรียกฉงนปนกับความดีใจก็ดังขึ้นจากด้านหลังเขา
โหยวเสี่ยวโม่สะดุ้ง พลันรู้สึกว่าเสียงนี้เขาคุ้นเคย เหลียวกลับมาดู เป็ศิษย์พี่ใหญ่ฟางเฉินเล่อจริงๆ ด้วย และศิษย์พี่รองฝูจื่อหลิน ทั้งสองพึ่งลงมาจากเขานทีเมฆา แล้วบังเอิญเห็นเขา
โหยวเสี่ยวโม่รีบเดินไปข้างหน้าพวกเขา เอ่ยอย่างดีใจ “ศิษย์พี่ใหญ่ ศิษย์พี่รอง ในที่สุดพวกท่านก็กลับมา ข้ารอพวกท่านมาสองวันแล้ว”
ฟังเขาพูดเช่นนี้แสดงว่ากลับมาได้สองวันแล้วสินะ ฟางเฉินเล่อขำแล้วเอ่ย “ช่วยไม่ได้ หลายวันมานี้ค่อนข้างยุ่ง หกวันก่อนข้ากับศิษย์พี่รองก็ถูกเรียกไปพบอาจารย์อาเยี่ย ยุ่งมากจนพึ่งได้หายใจคล่องคอตอนนี้เอง แต่คิดว่าพรุ่งนี้ยังต้องไปอีก”
“ทำไมถึงยุ่งเช่นนี้ แต่ก่อนยังดีๆ อยู่ไม่ใช่หรือ?” โหยวเสี่ยวโม่ถามด้วยความสงสัย
“ศิษย์น้องเล็กกลับมาจนถึงตอนนี้ ยังไม่ได้ยินข่าวอีกหรือ?” ฟางเฉินเล่อได้ยินเขาถามเช่นนี้จึงขมวดคิ้วถามกลับ แต่พอคิดอีกแง่นึง เื่นั้นประกาศออกมาหกวันที่แล้ว ตอนนั้นศิษย์น้องเล็กยังไม่กลับมา จนเขากลับมา ทุกคนคงเตรียมตัวกันเสร็จแล้ว ไม่รู้ว่าเขายังไม่รู้เื่ จึงไม่ได้เอ่ยกับเขา นั่นก็เป็ได้
“ศิษย์พี่ใหญ่ เกิดเื่อะไรขึ้นกันแน่?” โหยวเสี่ยวโม่คิดไม่ถึง ใน่ที่เขาไม่อยู่เพียงไม่กี่วัน เกิดเื่บางอย่างขึ้นจริงด้วย
ฟางเฉินเล่อตบบ่าเขาแล้วเอ่ย “พวกเราเดินไปพูดไปดีกว่า”
เขาที่เป็คนติดห้อง โหยวเสี่ยวโม่จึงไม่อาจต้านทานความน่าดึงดูดของเื่ราวข่าวลือได้มากนัก ดังนั้นจึงสงสัยว่าเื่ที่เกิดขึ้นที่ศิษย์พี่ใหญ่พูดถึงนั้นคืออะไร จึงรีบเดินตามเพื่อฟังเขาเล่า
“่ที่เ้าไม่อยู่นั้น เกิดเื่ใหญ่ขึ้นสองเื่ หนึ่งคือเกี่ยวข้องกับสำนักเทียนซิน หกวันก่อน หรือ่ที่เ้ากับหลินเซียวออกจากสำนักวันที่สองกลางดึก มีขโมยขึ้นหอคัมภีร์ เห็นว่ามีของสำคัญหายไป เ้าสำนักเดือดดาล คืนนั้นจึงสั่งห้ามศิษย์ทุกคนห้ามเดินเตร็ดเตร่ สั่งคนเฝ้าทุกทางเข้าออก แต่เ้าขโมยนั่นน่าจะนักฝึกตน ดังนั้นจึงไม่ค่อยเกี่ยวข้องกับแขนงโอสถเท่าไหร่”
ผ่านไปชั่วครู่ ฟางเฉินเล่อเอ่ยปากอธิบาย
ถึงว่าทัพพิภพดูไม่เห็นมีความผิดปกติราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่มีขโมยขึ้นหอคัมภีร์ ก็ทำเอาเขาอึ้งเหมือนกัน
จากที่เขารู้ หอคัมภีร์นั้นอันตรายมาก ด้านในไม่เพียงแต่จะมีม่านป้องกัน ทั้งยังมียอดฝีมือของสำนักเทียนซิน ยังมีขโมยขึ้นได้ ขโมยคนนั้นร้ายกาจเกินไปหรือม่านป้องกันกับยอดฝีมือนั้นแค่มีไว้หลอกคนกัน?
“ศิษย์พี่ใหญ่ ท่านรู้รึเปล่าว่าของที่ถูกขโมยไปคืออะไร?” โหยวเสี่ยวโม่สงสัย ถึงขั้นทำให้เ้าสำนักโมโห คาดว่าคงไม่ใช่ของธรรมดาแน่
ฟางเฉินเล่อส่ายหัวแล้วขำ “นั่นเป็ความลับ แต่ข้าได้ยินจากอาจารย์ว่า ของที่หายไปแต่เดิมถูกเก็บไว้ที่หอคัมภีร์ชั้นห้า มีเพียงเ้าสำนักกับเหล่าผู้าุโที่มีสิทธิ์รู้ แต่คิดว่าน่าจะมีความสัมพันธ์กับสำนักเทียนซินอย่างมาก ข้าก็พึ่งจะเคยเห็นเ้าสำนักเดือดดาลเพียงนี้”
คิดไม่ถึงว่าขนาดศิษย์พี่ใหญ่ยังไม่รู้ โหยวเสี่ยวโม่ก็ไม่อยากถามต่อ จากนั้นเอ่ยถาม “แล้วอีกเื่นึงล่ะ?”
ฟางเฉินเล่อกล่าว “อีกเื่นึงนั้นเกี่ยวกับแขนงโอสถโดยตรง พูดถึง ไม่รู้ว่าศิษย์น้องเล็กเคยได้ยินดินแดน์วิมาน?”
จากที่ฟัง โหยวเสี่ยวโม่มุมปากกระตุก แน่นอนว่าเขาเคยได้ยิน ‘์วิมาน’ แต่คงไม่ใช่อันเดียวกัน แต่สถานที่ชื่อแปลกพิสดารเช่นนี้ กลับเรียกว่า ์วิมาน…
“ไม่…”
เมื่อได้ยินคำตอบ ฟางเฉินเล่อเอะใจ แต่ก็กล่าวต่อ “ดินแดน์วิมานเป็หนึ่งในสิบสถานที่ลึกลับของแผ่นดินหลงเสียง ห้าสิบปีถึงจะเปิดสักหน ด้านในมีสิ่งของวิเศษล้ำค่านานานับไม่ถ้วน อย่างเช่นหญ้าเซียน มีั้แ่ขั้นหนึ่งถึงขั้นสิบ แต่ขั้นที่ยิ่งสูงปริมาณก็ยิ่งน้อย อีกทั้งหาไม่ได้ง่ายๆ เพราะบริเวณหญ้าเซียนขั้นสูงจะมีสัตว์ปีศาจตัวใหญ่คอยเฝ้าคุ้มกันอยู่”
โหยวเสี่ยวโม่ผงกหัวทำทีเข้าใจ จู่ๆ ก็นึกขึ้นได้เื่หนึ่งแล้วรีบถาม “ศิษย์พี่ใหญ่ แล้วหญ้าเซียนขั้นสิบเอ็ดกับสิบสองล่ะ?”
ฟางเฉินเล่อส่ายหัว “เื่นี้ข้าไม่เคยได้ยินมาก่อน สุดยอดหญ้าเซียนในตำนานขั้นสิบเอ็ดและสิบสอง น้อยกว่ายาเซียนตันขั้นสูง จากที่กล่าวมา แผ่นดินหลงเสียงไม่มีหญ้าเซียนขั้นสุดยอดปรากฏมาร่วมพันปีได้ ทว่าหากมีคนค้นพบจริง ก็เปล่าประโยชน์ เพราะนักหลอมโอสถที่มีพลังปราณสีรุ้งเจ็ดสีในตำนานถึงจะหลอมหญ้าเซียนตันสองขั้นนี้ได้ ทำไม ศิษย์น้องเล็กรู้สึกสนใจเื่พวกนี้หรือ?”
เมื่อได้ยินคำพูดหยอกล้อเช่นนี้ โหยวเสี่ยวโม่หัวเราะเฮอะๆ “ไม่ใช่ขอรับ ข้าเพียงแต่สงสัยเท่านั้น”
“ั้แ่ค้นพบดินแดน์วิมานมา หญ้าเซียนขั้นสิบมีปรากฏเพียงสามครั้ง และใช่ว่าจะสามารถต่อสู้เอาชนะสัตว์ปีศาจที่คุ้มกันได้ทุกครั้ง ในสามครั้งมีเพียงครั้งเดียวที่ทำสำเร็จ”
ฟางเฉินเล่อถอนหายใจเบาๆ เสียดายว่า หญ้าเซียนเพียงต้นเดียวที่ถูกเด็ดมาได้นั้นไม่ใช่ของสำนักเทียนซิน แต่คนที่เด็ดมันมาได้คือนักหลอมโอสถขั้นสิบเพียงคนเดียวในแผ่นดินหลงเสียงซึ่งก็คือชิวหร่านนั่นเอง
แม้ว่าตอนนั้นหลายสำนักต่างตั้งความหวังกับหญ้าเซียนต้นนั้นมาก แต่ก็ไม่มีใครกล้าลงมือ หากหาเื่นักหลอมโอสถขั้นสิบเข้าล่ะก็ มีแต่ตายสถานเดียว ถึงตอนนั้นเขาคงตั้งรางวัลนำจับและจอมยุทธ์มากมายคงทำงานเพื่อเขา
“ศิษย์พี่ใหญ่ ท่านหมายความว่านักฝึกตนก็ไปได้งั้นหรือ?” โหยวเสี่ยวโม่ไม่แน่ใจความคิดเขา เพียงแต่ถามสิ่งที่เขาคิด
เมื่อได้ฟังเช่นนี้ ฟางเฉินเล่อหัวเราะ “นักฝึกตนก็ต้องไปได้อยู่แล้ว ข้าพึ่งพูดไปเมื่อครู่ว่าดินแดน์วิมานมีของวิเศษมากมาย นอกจากหญ้าเซียน ยังมีของน่าดึงดูดใจต่อนักฝึกตนมากมาย”
“อย่างเช่น?” โหยวเสี่ยวโม่ถาม
“อย่างเช่นสัตว์ปีศาจ คัมภีร์วิชายุทธ์ และอาวุธวิเศษต่างๆ” พูดถึงของพวกนี้ ฟางเฉินเล่อเผลอมองไปด้านหน้า “สัตว์ปีศาจสำหรับนักฝึกตนหรือนักหลอมโอสถ ต่างน่าดึงดูดทั้งนั้น แต่คนที่คาดหวังที่สุดเห็นจะเป็นักหลอมโอสถ เพราะไม่มีพลังการต่อสู้ ดังนั้นหากได้สัตว์ปีศาจที่แข็งแกร่งมาไว้ ก็เท่ากับสามารถปกป้องตัวเองได้”
เมื่อฟังเช่นนี้ โหยวเสี่ยวโม่พลันหายใจถี่ขึ้น
เขาไม่เคยคิดถึงจุดนี้มาก่อน ขณะเดียวกันก็นึกถึงไข่อ่อนปีศาจขั้นแปดที่เก็บไว้ในห้วงมิติ หากให้มันปรับตัวได้ อีกหน่อยก็เท่ากับว่าเขาจะมีสัตว์ปีศาจพลังชั้นิญญาตนหนึ่งน่ะสิ?
คิดเช่นนี้แล้ว เืในตัวเขาก็พลุ่งพล่านขึ้นมา
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้