โรงเรียนของสกุลหู นับจากที่ซิ่วฉายหยางมาถึงก็เป็วันที่สิบสอง ขณะนี้ได้สร้างเสร็จสิ้นอย่างเป็ทางการแล้ว
โต๊ะเก้าอี้ใหม่เอี่ยมจัดวางอยู่ในห้องเรียนอันกว้างขวางจำนวนยี่สิบชุด
หลังหลู่โหย่วมู่ได้รับคำสั่งซื้อโต๊ะหนังสือและเก้าอี้ครบชุด เขาก็เรียกเด็กฝึกงานที่เมื่อก่อนเคยทำงานเป็ลูกน้องของเขาให้กลับมาอีกครั้ง ทั้งสองคนต้องทำงานล่วงเวลาถึงจะเร่งทำโต๊ะสำหรับอาจารย์หนึ่งชุดกับโต๊ะของนักเรียนยี่สิบชุดออกมาได้
แบบวาดของโต๊ะหนังสือที่สกุลหูให้มาจะแตกต่างกับโต๊ะหนังสือทั่วไป ที่ให้ทำจะเป็โต๊ะหนังสือนั่งคนเดียว ตรงกลางใต้โต๊ะเว้นที่ไว้หนึ่งลิ้นชัก ใช้ไม้ธรรมดาหลากหลายชนิดมาสร้างขึ้นก็ได้แล้ว แต่เงื่อนไขคือต้องทนทานต่อการใช้งาน ดูดีและไม่โคลงเคลง
ขณะที่นำโต๊ะหนังสือมาถึงโรงเรียน ได้ดึงดูดชาวบ้านหนึ่งกลุ่มมาล้อมดู
โต๊ะหนังสือและม้านั่งเดี่ยวๆ สำหรับนั่งคนเดียว จัดวางอย่างเป็ระเบียบเรียบร้อยอยู่ภายในห้องเรียน ชาวบ้านไม่น้อยะโเรียกเด็กชายอายุเหมาะสมของตัวเองมาและให้เขาลองเข้าไปนั่ง
“อุ๊ย เหมาะสมจริงๆ”
“ใหม่เอี่ยมเลย สีเงาบนพื้นผิวเรียบเป็มันจริงๆ”
“ระดับความสูงพอดีนัก ลูกชาย เ้าต้องตั้งใจเล่าเรียนรู้ตัวอักษรให้ดี”
“หนึ่งคนโต๊ะหนังสือหนึ่งตัว นี่ยี่สิบชุดเลย โอ้โห... สกุลหูใจกว้างจริง”
“…”
หลู่โหย่วมู่ได้ยินว่าสกุลหู้าเริ่มก่อสร้างโรงเรียนขึ้น จึงเคารพนับถือพวกเขาอย่างมาก บุคคลที่มีชื่อเสียงและร่ำรวยเงินทองในชนบทมากมาย ที่มีทรัพย์สินร่ำรวยและนาดีพันหมู่ แต่จะมีสักกี่ครอบครัวที่ยอมสิ้นเปลืองเงินทองและแรงงานคนมาสร้างโรงเรียน ที่เข้าเรียนโดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายอย่างไม่เสียดายเงิน
สกุลหูเป็เพียงครอบครัวเกษตรกรธรรมดา ฐานะทางบ้านค่อนข้างร่ำรวยครอบครัวหนึ่งเท่านั้น ได้ยินชาวบ้านกล่าวว่า ครอบครัวเขามีเพียงนาดีสี่หมู่กับนาดอนห้าหมู่เอง เสบียงอาหารที่เพาะปลูกจากที่ดินทางบ้านเพียงพอแค่หนึ่งครอบครัวสี่คนต่อปีเท่านั้น
สกุลหูอาศัยการขายกระต่าย ขายเห็ด ขายเนื้อกุนเชียงให้โรงเตี๊ยมในเมือง
ทรัพย์สินในบ้านล้วนสะสมขึ้นมาทีละขั้นๆ
ขณะที่เข้าหน้าร้อน สกุลหูนอกจากจะขายกระต่ายสองสามตัวแล้วก็ไม่มีรายได้พิเศษอะไรเลย
แต่เป็เช่นนี้ สกุลหูก็ยังเต็มใจทุ่มเงินทองจำนวนมากมาสร้างโรงเรียน
ในอ้อมอกหลู่โหย่วมู่ซ่อนเงินที่คิดรวมกันทั้งหมดของสกุลหูไว้ ทอดถอนใจพักหนึ่ง
ระยะนี้เพียงอาศัยใบรายการของสกุลหูเท่านั้น เขาก็สะสมเงินได้สิบกว่าเหลียง รวมกับเศษเงินไม่กี่เหลียงที่เก็บไว้่ก่อนหน้านี้ ปลายปีก็สามารถคืนหนี้ได้ทั้งหมดแล้ว
ในลานบ้านครอบครัวหู จัดวางกระดานหินเรียบขนาดเล็กใหญ่มากกว่าสิบอัน
เจิ้งซวงหลินกับจ้าวเฮยโต้วกำลังนั่งอยู่ใต้ชายคา ทำการขัดกระดานหินอยู่
โรงเรียนทางนั้นเร่งทำออกมาเสร็จสิ้นเมื่อวาน เขาสองคนจึงถูกดึงมาช่วยขัดกระดานหิน
งานนี้หูฉางกุ้ยทำเองมาสองสามวันแล้ว งานล่าช้าเกินไปแล้วจริงๆ ตามความเห็นของเจินจูให้หาชาวบ้านที่มีประสบการณ์ขัดหินสักสองคน มาช่วยเพิ่มอัตราความเร็วขึ้น
สุขภาพของหูฉางหลินแม้ดีขึ้นพอสมควรแล้ว แต่ขัดกระดานหินสิ้นเปลืองพละกำลังใช้แรงมาก หวังซื่อไม่ให้เขาเข้ามายุ่งในเื่นี้
เจิ้งซวงหลินกับจ้าวเฮยโต้วสองคนรู้จักกันดีกับสกุลหูที่สุด แน่นอนว่าหูฉางกุ้ยต้องมอบงานให้พวกเขา
งานนี้จ่ายเงินนับตามปริมาณ ขัดเสร็จหนึ่งอันเป็เงินสิบเหวิน หนึ่งคนหนึ่งวันขัดเสร็จได้ประมาณสามอัน เช่นนั้นก็เป็เงินสามสิบเหวิน งานที่ใช้แรงเหมือนกันแต่ค่าแรงสูงกว่าปลูกบ้านสร้างถนนมาก
แม้มีงานเพียงสามสี่วัน แต่สองคนล้วนทำงานด้วยความเต็มอกเต็มใจ
หมู่นี้อาศัยการทำงานให้สกุลหู รายได้สองครอบครัวล้วนค่อนข้างอุดมสมบูรณ์ เทียบได้กับรายได้ของหนึ่งปีจากปีที่แล้วๆ มา
หลัวจิ่งมองกระดานหินเต็มไปทั่วทั้งลานบ้าน อดพูดไม่ออกไปพักหนึ่งไม่ได้ นางตั้งใจจะให้บรรดาเด็กของโรงเรียนใช้กระดานหินเขียนตัวอักษรกันทั้งหมดเลยหรือ?
แต่กระดานหินเขียนตัวอักษรถึงอย่างไรก็เป็เพียงอุบายเล็กๆ ของการฝึกคัดตัวอักษร ซึ่งที่จริงไม่ค่อยมีประโยชน์สำหรับการเขียนมากนัก
การจัดตั้งโรงเรียนที่ไม่เสียค่าใช้จ่ายนี้ ตอนหลัวจิ่งได้ยินครั้งแรก เขาตกตะลึงเป็อย่างมาก
รู้สึกแปลกใจกับสายตาและความกล้าหาญของเด็กสาว
โรงเรียนที่ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย การจัดตั้งโรงเรียนและจัดหาอาจารย์ไม่ได้ง่ายดายเพียงนั้น
พู่กัน แท่งหมึก กระดาษ และแท่นฝนหมึกล้วนเป็ของที่สิ้นเปลืองง่ายที่สุด อาศัยเพียงการจัดหาของสกุลหูฝ่ายเดียว สิ้นเปลืองเงินทุนไปไม่น้อยเลย
แม้ใช้กระดานหินจะสามารถประหยัดเงินได้ส่วนหนึ่ง แต่ท้ายที่สุดยังต้องใช้แผ่นกระดาษถึงจะสามารถฝึกรูปแบบการเขียนให้ดีได้
สกุลหูมีพื้นฐานไม่เพียงพอ เพิ่งหลุดพ้นเส้นความยากจนมา กลับปล่อยให้เด็กสาวสิ้นเปลืองทรัพย์สินเงินทองจำนวนมาก เริ่มก่อสร้างโรงเรียนที่ไม่เสียค่าใช้จ่าย เช่นนี้เป็การรักลุ่มหลงตามใจมากหรือเชื่อใจกันแน่?
มุมปากหลัวจิ่งยกขึ้นโดยไม่รู้ตัว มีรอยยิ้มในแบบที่ตัวเองล้วนไม่เคยสังเกตเห็นมาก่อน
เจินจูย่อมรู้หลักการข้อนี้ดี...
โรงเรียนที่ไม่เสียค่าใช้จ่ายจะใช้การศึกษาขั้นพื้นฐานเป็หลัก หาก้าเรียนในระดับที่ลึกยิ่งขึ้นและอยากจะเข้าร่วมการสอบขุนนางระดับเคอจวี่ เพื่อให้ได้ตำแหน่งชื่อเสียง นั่นต้องดูพร์และระดับความขยันหมั่นเพียรของแต่ละคนแล้ว
การใช้กระดานหินมาเป็เครื่องมือในการศึกษาเล่าเรียน ก็เป็หนึ่งในวิธีการที่ได้รับการพิสูจน์ยืนยันแล้วว่าได้ประสิทธิภาพจริง
ไม่ต้องใช้เงินมากมายก็ได้ผลลัพธ์ที่ดีเช่นกัน แน่นอนว่าต้องสะท้อนให้เห็นการศึกษาเล่าเรียนที่ดีได้แน่นอน
ระยะเริ่มแรกใช้กระดานหินเขียนตัวอักษรเป็หลัก เมื่อเรียนถึงระดับที่แน่นอนแล้วค่อยฝึกบนกระดาษ ทั้งสามารถประหยัดค่าใช้จ่ายพู่กัน แท่งหมึก กระดาษ และแท่นฝนหมึกได้ ทั้งสามารถฝึกอบรมความรู้ความเข้าใจขั้นพื้นฐานของเด็กๆ ได้
เจินจูไม่ได้รู้สึกว่าการใช้พู่กันฝึกคัดบนกระดาษจะเป็วิธีการเล่าเรียนแบบถูกต้องเท่านั้น อย่างไรเสีย ความปรารถนาดั้งเดิมที่นางเปิดโรงเรียนไม่ใช่เพื่อฝึกอบรมซิ่วฉายหรืออบรมผู้ที่จะไปสอบตำแหน่งเคอจวี่ แต่เพื่ออยากให้เด็กส่วนใหญ่ล้วนสามารถอ่านหนังสือรู้ตัวอักษรได้ และได้รับการศึกษาขั้นพื้นฐานทั้งหมด
ยามนี้ นางกับซิ่วฉายหยางกำลังวางแผนกฎข้อบังคับของโรงเรียน
เจินจูตรวจสอบกับซิ่วฉายหยางทีละข้อๆ ตามความทรงจำของชาติก่อน
มาถึงโรงเรียนตรงต่อเวลา ห้ามมาสาย ห้ามเลิกก่อนเวลาหรือหนีเรียน
ให้เกียรติและนับถืออาจารย์ สหายร่วมโรงเรียนสามัคคีกัน มีมารยาท และให้ความสำคัญกับสุขอนามัย
ไม่อนุญาตให้ต่อยตี ต่อสู้ แอบขโมย และก่อเื่โดยเด็ดขาด
ดูแลทะนุถนอมสิ่งของส่วนรวม และช่วยกันรักษาข้าวของที่ต้องใช้ส่งต่อกันแต่ละรุ่นด้วย
ท่าทางลงมือในการเขียนหนังสือของซิ่วฉายหยางเห็นได้ชัดว่าเชื่องช้าลง กวาดสายตามองหนึ่งรอบ กฎข้อบังคับของโรงเรียนเขียนรวมๆ กันแล้วเต็มสิบข้อ
แม่นางสกุลหูยังถามเขาอย่างไม่หนำใจอีกว่ายังมีอะไรจำเป็ต้องเพิ่มหรือไม่
ซิ่วฉายหยางส่ายหน้าทันที
ผ่านการติดต่อคลุกคลีกันมาสิบกว่าวันนี้ ซิ่วฉายหยางเข้าใจได้อย่างลึกซึ้ง ในความแปลกใหม่และไม่เหมือนผู้ใดของแม่นางสกุลหู
เช่น กระดานหินสีดำขนาดใหญ่แต่บางข้างกายเขาอันนั้น
นางกล่าวว่าเป็เครื่องมือที่สำคัญของการสอน ให้เขาฝึกฝนสักเล็กน้อยก่อน
เขาเคยเขียนโย้เย้เอนเอียงอยู่สองสามตัว เลยมีใจอยากต่อต้านคัดค้าน กลับคิดถึงคำพูดที่นางกล่าวเชื้อเชิญเขาในตอนแรกขึ้นได้
มิน่าเล่า นางเน้นย้ำอยู่ตลอดว่าห้ามยึดมั่นในกฎเกณฑ์เก่าๆ และไม่รู้จักพลิกแพลงความคิด
นางคำนวณทั้งหมดไว้ดีแล้วกระมัง
ในเมื่อตอนแรกรับปากแล้ว ซิ่วฉายหยางจึงกัดฟันเปลี่ยนแปลงตนเอง
สองวันนี้เขาสามารถใช้ปากกาหินที่มีลักษณะเป็แท่งยาวได้แล้ว และเขียนประโยคหนึ่งท่อนบนกระดานหินใหญ่ได้อย่างราบรื่นและคล่องแคล่วด้วย
อาหยุนชื่นชอบกระดานหินอย่างมาก แม่นางสกุลหูมอบกระดานหินอันเล็กให้หนึ่งอัน นางเอาแต่กอดไว้ในอ้อมอกทุกวัน และขอร้องให้เขาสอนคำศัพท์ใหม่ให้นางอยู่ตลอดเวลา
ในสายตาของเด็ก การใช้ปากกาหินเขียนตัวอักษรง่ายกว่าการใช้พู่กันเขียนเป็อย่างมาก
หากเขียนผิดแล้วก็ใช้ผ้าหนึ่งชิ้นสามารถเช็ดให้สะอาดได้
เรียบง่าย สะดวกสบาย ไปจนกระทั่งน่าสนใจ
ผ่านไปสามวัน...
เสียงประทัดดังชัดเจนอยู่ทางเข้าหมู่บ้านวั้งหลินอย่างรื่นเริง
โรงเรียนวั้งหลินเปิดเรียนอย่างเป็ทางการแล้ว
คลื่นมนุษย์พลุกพล่านอยู่หน้าประตูโรงเรียน ไม่เพียงมีชาวบ้านของหมู่บ้านตนเองเท่านั้น แต่ยังมีชาวบ้านจากสองสามหมู่บ้านข้างเคียงที่ชอบผสมโรงยุ่งเื่ชาวบ้านไม่น้อยเช่นกัน ทำเอาโรงเรียนถูกล้อมจนแน่นขนัดเล็กน้อย
เจินจูให้หัวหน้าหมู่บ้านเฟ้นหาชาวบ้านสิบกว่าคนทันที เพื่อช่วยกันรักษาแถวเรียงลำดับ ป้องกันความวุ่นวายของคนมากและความผิดพลาดที่เผื่อปรากฏออกมา
เ้าของร้านหลิวจากฝูอันถัง เ้าของร้านเหนียนจากสือหลี่เซียง หัวหน้าหมู่บ้านหม่าจากหมู่บ้านหม่าซาน หัวหน้าหมู่บ้านเหลียงจากหมู่บ้านเหลียงผิงรุดหน้ามาแสดงความยินดีพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย
บนใบหน้าจ้าวเหวินเฉียงปรากฏความสว่างไสวสดใส หมู่บ้านวั้งหลินจะเคยมีทัศนียภาพเช่นนี้ได้สักสองสามครั้งเสียเมื่อไร คิดไม่ถึงเลยว่า... เขา จ้าวเหวินเฉียงชีวิตที่เหลืออยู่นี้จะมีวันที่เงยหน้าอ้าปากเช่นนี้ได้
แม้ที่นี่จะเป็โรงเรียนที่สกุลหูจัดตั้งขึ้น แต่ในหมู่บ้านก็ร่วมด้วยช่วยกันในระหว่างนั้น ย่อมรู้สึกเป็เกียรติและโชคดีด้วยกัน
อีกอย่าง สกุลหูยังตั้งชื่อโรงเรียนว่า ‘โรงเรียนวั้งหลิน’ ด้วยความใจกว้างอย่างมาก ไม่ใช่โรงเรียนสกุลหูแต่เป็โรงเรียนวั้งหลิน
จ้าวเหวินเฉียงยืนอยู่ใต้ชายคาของห้องเรียน ภายใต้เจตนาของเจินจู เขาจึงต้องเริ่มกล่าวคำปราศรัยเปิดโรงเรียน
“เรียนท่านผู้มีเกียรติ เหล่าชาวบ้านของพวกเราทุกคน คารวะทุกๆ ท่าน ดีใจเป็อย่างมากที่ทุกท่านมาร่วมพิธีเปิดโรงเรียนวั้งหลิน โรงเรียนวั้งหลินได้รับการออกทุนก่อสร้างโดยครอบครัวสกุลหูของหมู่บ้านเรา และในหมู่บ้านยังได้รวบรวมเงินทุนช่วยสนับสนุน การกุศลอันยิ่งใหญ่ที่พร้อมใจร่วมกันทำงานจนสำเร็จ มีจุดมุ่งหมายเพื่อปลูกฝังการเล่าเรียนขั้นพื้นฐานของเด็กวัยเรียนในหมู่บ้านเรา เด็กที่อายุเหมาะสมในหมู่บ้านล้วนสามารถเข้าเรียนที่โรงเรียนได้สามปีโดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย…”
ด้านหลังกลุ่มคนหนาแน่นนั้น หลัวจิ่งสองแขนกอดอกยืนเอียงตัวพิงกำแพงลานบ้าน
เขาชำเลืองมองจ้าวเหวินเฉียงที่กำลังกล่าวขึ้นอย่างฮึกเหิมมีความสุขมาก ชายชราที่หน้าหนาผู้นี้ ออกข้าวและธัญพืชนิดหน่อยก็คิดจะแบ่งคุณงามความดีของสกุลหูไปครึ่งหนึ่ง
แล้วชำเลืองมองไปทางเจินจูที่อยู่ด้านข้างอย่างสงบนิ่งหน้าตาเฉย เด็กสาวผู้นี้เทพเ้ายืนปักหลั่น [1] มีภาพต้นไผ่ในใจ [2] ช่างทำให้คนทนดูไม่ได้จริงๆ เห็นกันอยู่ว่าเป็เด็กตัวเล็กนิดเดียว แต่ใบหน้าค่อนข้างสุขุมมากด้วยประสบการณ์
นางราวกับสังเกตได้จึงเงยหน้าหันมองมาทางเขา สายตาของสองคนสบประสานกัน ลมหายใจของหลัวจิ่งสะดุด เจินจูเลิกหางคิ้วแล้วละสายตาจากไปอย่างสงบนิ่ง
หลัวจิ่งรู้สึกคันรากฟันขึ้นมาเล็กน้อยชั่วขณะ
ท่ามกลางเสียงปรบมือของทุกคน คำกล่าวปราศรัยเปิดงานของจ้าวเหวินเฉียงจบลงด้วยความน่าตื่นเต้นและฮึกเหิม
เขามองคนสกุลหูที่ถูกกลุ่มคนห้อมล้อมอยู่ด้วยความสลับซับซ้อนเต็มหัวใจ
เ้าของร้านเหนียนกับเ้าของร้านหลิวในเมืองมาอวยพรด้วยตนเอง ตอนนี้กำลังคุยอย่างสนิทสนมเป็เพื่อนชายชราและหญิงชราสกุลหู สองพี่น้องผู้ชายสกุลหูร่วมหัวเราะเป็เพื่อนอยู่ด้านหลัง
ส่วนเด็กสาวสกุลหูกลับใบหน้าสุขุมนิ่ง ยกมุมปากขึ้นแล้วพยักหน้าคล้อยตามเป็ระยะๆ
“หัวหน้าหมู่บ้านจ้าว ปีนี้หมู่บ้านท่านยอดเยี่ยมไปเลย คาดไม่ถึงว่าสกุลหูจะสร้างโรงเรียนที่ไม่เสียค่าใช้จ่ายเล่าเรียนได้” ชายผอมแห้งหัวหน้าหมู่บ้านเหลียงของหมู่บ้านเหลียงผิงเป็ผู้กล่าว
“ที่ไหนกันเล่าๆ แม้โรงเรียนเป็การริเริ่มของสกุลหู แต่ในหมู่บ้านก็ลงแรงช่วยกันอย่างมากด้วยเช่นกัน” จ้าวเหวินเฉียงยกรอยยิ้มขึ้นทันที
“ก็จริง ไม่มีความช่วยเหลือในหมู่บ้าน โรงเรียนที่ไม่เสียค่าใช้จ่ายก็ไม่ใช่ว่าสร้างขึ้นได้ตามอำเภอใจ ให้เด็กเข้าเรียนแม้ไม่เสียค่าใช้จ่าย แต่กำลังคนของที่บ้านก็ขาดไปหนึ่งคน พอเรียนเข้าสองสามปีแล้วสอบบัณฑิตเด็กหรือซิ่วฉายไม่ได้ ก็ทั้งสิ้นเปลืองเวลาอีกทั้งไม่ได้อะไรตอบแทน คนส่วนใหญ่ไม่แน่ว่าจะยินดีให้ลูกของตนเองเข้าเรียนเสียด้วย” หัวหน้าหมู่บ้านหม่าลูบเคราแพะ ท่าทางรู้แจ้งเื่นี้ดี
ลูกหลานไม่กี่คนของครอบครัวเขาล้วนเคยเรียนโรงเรียนส่วนตัวมาสองสามปี ไม่มีสักคนที่สามารถประสบความสำเร็จกับการสอบเคอจวี่ได้ เสียเวลาไปเปล่าๆ สองสามปี ไม่สู้ส่งไปเรียนงานฝีมืออย่างอื่นเสียั้แ่แรกจะดีกว่า เสียเงินทองและเวลาไปเสียเปล่า ผลที่ได้รับมากที่สุดมีเพียงสายตาอิจฉาของคนในหมู่บ้านเท่านั้นเอง
“ทำไมจึงจะไม่ยินดีเล่า ไม่เสียค่าใช้จ่ายทรัพย์สินเงินทองก็เรียนหนังสือรู้ตัวอักษรได้ จะหาเื่ที่ดีเช่นนี้ได้จากที่ไหน ผู้ที่ไม่ยินดีเรียนผู้นั้นก็โง่เต็มทนแล้ว ต่อให้สอบเป็บัณฑิตเด็กและซิ่วฉายไม่ได้ ก็สามารถรู้ตัวอักษรและคิดคำนวณบัญชีได้ ไปที่ใดล้วนทำให้คนมองอย่างสูงส่งได้สักหน่อย แม้แต่คนรับใช้หญิงและคนติดตามเ่าั้ที่สามารถจำตัวอักษรได้ ยังได้เงินเดือนและสิ่งอำนวยความสะดวกเพิ่มเติมดีกว่าสาวใช้ที่ไม่รู้หนังสือหนึ่งระดับเลย” หัวหน้าหมู่บ้านเหลียงลูกตาทรงสามเหลี่ยมเล็กมากเอียงมองหัวหน้าหมู่บ้านหม่าแวบหนึ่ง
ถึงอย่างไรหมู่บ้านหม่าซานก็เป็หมู่บ้านที่ร่ำรวยในละแวกใกล้เคียง ครอบครัวหัวหน้าหมู่บ้านหม่าเป็ครอบครัวร่ำรวยไม่ใช่ที่หนึ่งก็เป็ที่สองของหมู่บ้าน ที่บ้านเงินทองค่อนข้างอุดมสมบูรณ์มาก ดังนั้นเด็กชายของทั้งครอบครัวล้วนเคยเรียนโรงเรียนส่วนตัว แต่ผ่านไปสิบกว่าปีแล้วที่บ้านเขาล้วนสอบบัณฑิตเด็กไม่ได้เลยสักคนเดียว ความรู้และสายตาที่แยกแยะเื่ราวได้มีแค่นี้ สามารถสอบผ่านได้สิถึงจะแปลก... หัวหน้าหมู่บ้านเหลียงตำหนิอยู่ในใจ
หมู่บ้านเหลียงผิงเหมือนกันกับหมู่บ้านวั้งหลิน ล้วนเป็หมู่บ้านเล็กที่พอถูไถให้มีข้าวทานและมีเสื้อผ้าใส่ได้ เด็กในครอบครัวหัวหน้าหมู่บ้านเหลียงไม่น้อย กลับส่งเด็กชายเข้าเรียนได้เพียงสองคนเท่านั้น เขามีใจปรารถนาตีสนิทกับหัวหน้าหมู่บ้านจ้าว ดูว่าพอจะสามารถให้เด็กครอบครัวเขาเข้าโรงเรียนวั้งหลินด้วยได้หรือไม่
ทางนี้ต่างคนต่างมีความคิดแตกต่างกัน ต่างคนต่างแสดงความรู้สึกออกมา
ทางนั้นบรรยากาศกลมเกลียวเสียงหัวเราะไม่ขาดสาย
“ท่านหญิงชรา ครอบครัวท่านสร้างโรงเรียนนี้ได้ดีเลย มีประโยชน์ต่อทั้งตนเองและหมู่บ้าน พอที่จะกล่าวได้ว่าเป็น้ำใจที่ยิ่งใหญ่เลยล่ะ” คำชื่นชมของหลิวผิงออกมาอย่างคลื่นลูกแล้วลูกเล่า
“นั่นน่ะสิ สร้างความผาสุกให้แก่เพื่อนบ้านและเอื้อประโยชน์ให้แก่ลูกหลาน ท่านผู้เฒ่าหู ครอบครัวพวกท่านช่างจิตใจเมตตาเพื่อชาวบ้านนัก” เหนียนเสียงหลินรับหัวข้อสนทนามาต่อ
สามีภรรยาผู้ชราแห่งสกุลหูมีความสุขจนยิ้มหน้าบาน
เชิงอรรถ
[1] เทพเ้ายืนปักหลั่น หมายถึง สงบนิ่งมากๆ
[2] มีภาพต้นไผ่ในใจ หมายถึง เตรียมพร้อมอย่างดี มีความมั่นใจอยู่เสมอ
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้