ตอนที่ 1
อุ้มอาเจิน
“โกโก้เย็นได้แล้วจ้า”
“ขอบคุณครับ” ร่างเล็กเอ่ยขอบคุณแล้วส่งรอยยิ้มน้อย ๆ ให้กับคนขายพลางยื่นมือไปรับแก้วโกโก้มาถือไว้
แม้จะเป็ร้านขายน้ำแบบรถเข็น ทว่ากลับมีลูกค้ามารอต่อคิวเยอะกว่าที่คิด อาเจินก้าวเท้าไปตามฟุตพาทในขณะที่สายตาก็ยังคงสอดส่องไปรอบ ๆ เพราะยังเหลือเวลาอีกมากก่อนจะถึงเวลาทำงาน ตัวเขาจึงมีเวลาเดินเตร็ดเตร่ชมบรรยากาศยามเย็นไปเรื่อย ๆ โดยไม่รีบร้อน
“…”
จังหวะการก้าวเดินเริ่มเชื่องช้าลงเมื่อเดินผ่านสถานศึกษาแห่งหนึ่ง ดวงตาสีน้ำตาลสวยทอดมองเข้าไปในรั้วโรงเรียนที่กว้างใหญ่ เห็นเด็กนักเรียนทั้งชายและหญิงเดินสวนกันไปมา ครั้นเมื่อเห็นสนามบาสที่มีคนอยู่เต็มไปหมด จังหวะการก้าวเดินก็หยุดชะงักนิ่ง พร้อมกับภาพความทรงจำในวันเก่า ๆ วิ่งกลับเข้ามาในหัวอีกครั้ง
อดีต
“ไอ้คิง รับ!”
เสียงะโของกลุ่มนักเรียนชายชั้นมัธยมศึกษาปีที่หกดังลั่นไปทั่วบริเวณสนามบาส คละเคล้าไปกับเสียงดังจอแจของเหล่านักเรียนคนอื่นที่ซื้อน้ำซื้อขนมมานั่งมองรุ่นพี่เล่นกีฬายามเย็น อาเจินที่เพิ่งจะเข้ามาในรั้วโรงเรียนนี้ในชั้นมัธยมปลายสะพายกระเป๋าเป้เดินมานั่งบริเวณอัฒจันทร์ด้วยสีหน้าที่ติดจะดูงุนงง เพราะกลุ่มเพื่อนพากันเดินมา เขาก็เลยตามมาเท่านั้น
“วันนี้ฉันได้ยืนข้างพี่คิงด้วย”
“ก็ยืนในแถวนักเรียนมาสายไม่ใช่หรือไงยะ”
เสียงพูดคุยของเพื่อน ๆ ในกลุ่มดังแว่วให้ได้ยิน อาเจินทอดสายตามองร่างสูงซึ่งอยู่ในสภาพเสื้อนักเรียนหลุดลุ่ยออกนอกกางเกง กำลังวิ่งไล่ตามลูกบาสแล้วชูตลงห่วงไปได้อีกหนึ่งครั้ง เหงื่อชุ่มเต็มแผ่นหลังจนเห็นเสื้อแนบไปกับผิวเนื้อ กลุ่มเส้นผมสีดำสนิทตกลงปรกใบหน้าไม่เป็ทรง ทว่ากลับยังคงดูดีมากเสียจนตัวเขาเผลอมองอยู่นาน
แม้จะเพิ่งเข้ามาเรียนในชั้นมัธยมปีที่สี่ แต่ก็พอรู้ว่ารุ่นพี่คนนี้แท้จริงแล้วชื่อาา ทว่าเพราะเพื่อน ๆ ในกลุ่มเรียกคิงกันจนติดปาก จึงส่งผลให้คนอื่นเรียกตามชื่อใหม่ที่ถูกตั้งให้ไปด้วย เป็ลูกนักธุรกิจใหญ่ที่ปัจจุบันผันตัวไปเล่นการเมือง เพราะมีนิสัยเกเร จึงถูกอาจารย์เพ่งเล็งอยู่บ่อยครั้ง มีวีรกรรมให้พูดถึงทุกวัน แต่ก็เป็เื่แปลกที่มีนักเรียนชื่นชอบอีกฝ่ายจำนวนไม่น้อยเลย
“น้องระวัง!”
!!!
“โอ๊ย!!”
เพราะจมอยู่กับความคิดของตัวเองอยู่นาน รู้ตัวอีกทีก็ได้ยินเสียงะโเตือนพร้อมกับเสียงร้องอย่างใของนักเรียนคนอื่น ลูกบาสพุ่งทะยานออกนอกสนามมากระแทกโดนบริเวณกลางหัวอย่างพอดิบพอดีจนรู้สึกมึนงงไปชั่วขณะหนึ่ง อาเจินยกมือขึ้นลูบหัวตัวเองป้อย ๆ ในขณะที่ใครบางคนรีบกึ่งเดินกึ่งวิ่งเข้ามาหาทันที
“เจ็บหรือเปล่า”
มือน้อย ๆ ลูบบริเวณที่ถูกลูกบาสตกใส่แล้วเงยหน้าขึ้นมองเ้าของคำถาม ก่อนจะหยุดชะงักนิ่งไปเมื่อเห็นว่าพี่าาที่ตนมองอยู่เมื่อครู่ ในยามนี้กลับมายืนอยู่ตรงหน้ากันแล้ว ร่างขาวรีบส่ายหน้าพรืดทันทีเป็การปฏิเสธ
“จะ เจินไม่เจ็บ…”
“…”
“ลูกบาสครับ…”
ลูกบาสถูกยื่นให้อย่างกล้า ๆ กลัว ๆ ในขณะที่มือก็ยังลูบศีรษะของตัวเองอยู่อย่างนั้น าาทอดสายตามองคนอายุน้อยกว่าที่นั่งอยู่ตรงหน้าครู่หนึ่ง ก่อนจะยอมยื่นมือไปรับลูกบาสมาถือไว้แล้ววิ่งกลับไปหาเพื่อนอีกครั้ง ความเงียบสงบที่เคยเกิดขึ้นถูกแทนที่ด้วยเสียงเอะอะโวยวายเหมือนเก่า อาเจินที่ไม่ได้สันทัดเื่การดูกีฬามากถึงขนาดนั้น จึงตัดสินใจหยิบหนังสือขึ้นมาอ่านฆ่าเวลาแทน
“อ้ะ!”
เผลอส่งเสียงร้องออกมาเบา ๆ อย่างใเมื่อรับรู้ได้ถึงััเย็นชืดที่แนบอยู่บริเวณข้างแก้ม ใบหน้าเงยขึ้นเพื่อพบกับพี่าาที่กลับมาหากันอีกครั้งพร้อมกับแก้วโกโก้ในมือหลังจากที่หายไปครู่ใหญ่ ใบหน้าหล่อเหลาเรียบเฉยทั้งยังดูพร้อมหาเื่คนอื่นได้ตลอดเวลา อาเจินยังคงมองแก้วโกโก้ที่ถูกยื่นให้อย่างสงสัย
“ไถ่โทษที่ทำบาสตกใส่หัว”
“…”
“วันหลังก็นั่งให้มันห่าง ๆ หน่อย ี้เีซื้อโกโก้มาให้อีกรอบ”
เอ่ยพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ก่อนจะยัดแก้วน้ำใส่มือให้เมื่อเห็นว่าเ้าตัวเอาแต่ทำหน้างงไม่ยอมรับไปเสียทีก่อนจะเดินออกไป เหลือก็เพียงแต่อาเจินที่ได้แต่ก้มหน้ามองสิ่งที่ถืออยู่ในมือสลับกับคนอายุมากกว่าที่วิ่งกลับสนามไปวิ่งตามลูกบาสอีกครั้ง
โกโก้เย็นไม่ใช่เครื่องดื่มที่เขาชอบมากสักเท่าไร
แต่โกโก้แก้วนั้น…กลับทำให้เขารู้สึกว่าแท้จริงแล้วเครื่องดื่มชนิดนี้ก็ไม่ได้รสชาติแย่ถึงขนาดนั้นสักหน่อย
…
ปัจจุบัน
แล้วโกโก้กลายเป็เครื่องดื่มที่เขาชอบมากที่สุดไปั้แ่เมื่อไรกัน
“มันใช่เวลาไปยืนนึกถึงหรือไง…อะ! ใกล้จะถึงเวลาเข้างานั้แ่เมื่อไหร่”
ร่างเล็กสะบัดหัวไล่ความคิดเพื่อดึงสติที่เหม่อลอยของตัวเองให้กลับมา ก่อนจะเบิกตาโพลงเมื่อยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดูเห็นว่าใกล้จะห้าโมงเต็มที ไม่รู้ว่าเขายืนเหม่ออยู่กับความคิดของตัวเองอยู่นานเท่าไรจึงได้กินเวลาไปเยอะถึงขนาดนี้ รู้ตัวอีกทีก็รีบโบกรถแท็กซี่ไปยังสถานที่เป้าหมายแล้วสับเท้าวิ่งสุดความสามารถเพื่อให้มาหยุดยืนที่หน้าร้านคิงบาร์ได้ทันเวลาเข้างาน
“แฮ่ก…”
เสียงหอบหายใจดังถี่กระชั้นด้วยอาการเหนื่อย ดวงตาสีน้ำตาลสวยกวาดมองไปรอบ ๆ เห็นพนักงานคนอื่นมองมาที่เขาอยู่ก่อนแล้ว บ้างก็มองมาด้วยสายตาสงสัย ทว่าก็ยังมีบางส่วนที่ทอดมองมาด้วยสีหน้าแสดงออกว่าไม่ชอบใจกันอย่างชัดเจน
อาจจะเป็เพราะข่าวฉาวปลอม ๆ ที่กลายเป็ตราบาปติดตัว ทำให้คนบางส่วนมองเขาไปในทางที่ย่ำแย่อย่างห้ามไม่ได้ อาเจินขบเม้มริมฝีปากเข้าหากันเล็กน้อยแล้วบอกกับตัวเองในใจว่าต้องอดทน ก่อนจะตัดสินใจทำเป็ไม่สนใจต่อสายตาที่ได้รับ แล้วเดินเข้าไปหาพนักงานแถวนั้นเพื่อเริ่มทำงานของตัวเองเสียที
“มีอะไรให้เจินช่วยหรือเปล่า…”
ยืนหันซ้ายหันขวาอยู่นานเมื่อยังไม่มีหน้าที่เป็ของตัวเองเสียที กระทั่งเอ่ยปากถามออกไปก็ยังไม่ค่อยมีใครอยากที่จะตอบคำถามตนสักเท่าไร ก่อนที่ถาดเครื่องดื่มที่ประกอบได้ด้วยขวดน้ำผลไม้รวมและแก้วอีกหนึ่งใบจะถูกยื่นมาให้ตรงหน้า มีขนมหวานอีกเล็กน้อย ร่างเล็กเลิกคิ้วขึ้นทันทีอย่างนึกสงสัย
“มีลูกค้าเข้าแล้วเหรอ”
“เอาไปให้เฮียคิงที่ห้อง”
“แต่ว่า---” คราวนี้อาเจินหน้าบูดเมื่อได้ยินว่าต้องยกเครื่องดื่มพวกนี้ไปให้ใคร
อ้าปากเตรียมจะเอ่ยคัดค้าน ทว่าเมื่อหันหน้าไปหาอีกทีพนักงานหนุ่มตัวเล็กที่ดูอายุรุ่นราวคราวเดียวกันก็เดินหนีไปเสียแล้วคล้ายกับว่าไม่อยากจะเสียเวลาเสวนากับเขาต่อ ในหัวจินตนาการภาพของตัวเองเอาขวดน้ำฟาดหัวไอ้พนักงานคนนั้นเป็สิบ ๆ ครั้งแล้วถามว่าเป็บ้าอะไรกับเขานักหนา แค่ยืนตอบคำถามกันให้นานกว่านี้มันจะขาดอากาศหายใจตายห่าไปเลยหรือไง
สุดท้ายแล้วก็ได้แต่สูดหายใจเข้าลึกสุดปอดอย่างพยายามให้ใจเย็น ก่อนจะขมวดคิ้วเดินกระทืบเท้าปึงปังขึ้นชั้นสอง ยกเครื่องดื่มไปให้คนที่เป็เ้าของร้าน ประตูบานใหญ่ถูกเปิดออก เผยให้เห็นภาพของาาในชุดเสื้อเชิ้ตสีดำนั่งอ่านอะไรบางอย่างอยู่ ทว่าเมื่อรู้ว่ามีสมาชิกใหม่เดินเข้ามา ถ้อยคำทักทายไม่น่าฟังก็พุ่งผ่านอากาศมาหากันทันที
“ช้า”
“รีบมากนักก็เดินลงไปเอาเอง ขาก็ไม่ได้พิการนี่”
มีหรือที่คนอย่างอาเจินจะไม่หาเื่สวนกลับไป ถาดถูกวางลงบนโต๊ะกลมไม่ไกลจากอีกฝ่ายอย่างไม่ถนอมมากนัก คนอายุมากกว่าวางสมุดเล่มเล็กลงแล้วชี้นิ้วไปที่แก้วน้ำตรงหน้า
“ริน”
“…”
“หรือว่าลืมมือไว้ที่บ้านอีก?”
ใบหน้าหล่อเหลาเงยขึ้นมองสบกันพร้อมกับเรียวคิ้วที่เลิกขึ้นอย่างกวนประสาท อาเจินกัดฟันกำหมัดแน่น คล้ายกับว่าหากะโกัดคอกันได้คงทำไปแล้ว ทว่าผู้มองกลับไม่ได้รู้สึกเกรงกลัวต่อท่าทางดังกล่าวแต่อย่างใด อาเจินฮึดฮัดยอมรินน้ำใส่แก้วให้ด้วยใบหน้างอง้ำแล้วยื่นแก้วให้
ใน่เวลาเพียงเสี้ยววินาที ปีศาจตัวน้อยก็เริ่มวาดแผนการร้ายในหัวทันที คิดว่าเขาอยู่ในฐานะลูกจ้างแล้วจะยอมทำตามที่สั่งทุกอย่างหรือไง…ฝันไปเถอะ!!
เพล้ง!!!
แก้วใสสลักลวดลายวิจิตรถูกปล่อยลงพื้นจนแตกกระจายเป็ชิ้นเล็กชิ้นน้อยในจังหวะที่าายื่นมือกำลังจะรับมันไปถือไว้เอง น้ำผลไม้เจิ่งนองอยู่บนพื้น ร่างขาวเชิดหน้าขึ้น หลุบสายตาลงมองคนที่นั่งอยู่ในระดับต่ำกว่าอย่างดื้อดึง หวังให้อีกฝ่ายร้อนรุ่มอยู่ในอกที่เขาดันทำลายข้าวของตามคำท้า ทว่าทุกอย่างกลับเป็ไปในทิศทางตรงกันข้ามเสียอย่างนั้น
“บอกว่าหาเื่เสียเงินอยู่ไม่ใช่หรือไง หลังจากนี้เฮียจะได้มีเื่ให้เสียเงินสมใจ”
“นึกว่าจะทำได้เยอะกว่านี้…ทำแก้วแตกแค่ใบเดียว ดูภูมิใจอย่างกับได้ไปแข่งทีมชาติเลยนะหนู”
คล้ายกับกำลังถูกเยาะเย้ยกันอย่างถึงที่สุด ในหัวของอาเจินจินตนาการภาพตัวเองเอาแก้วทั้งหมดของร้านมาใส่ในกระสอบแล้วเทมันลงจากที่สูงต่อหน้าไอ้ผู้ชายปากดีคนนี้ เรียวคิ้วขมวดเข้าหากันแน่น นึกสงสัยว่ากำลังเรียกเขาเข้ามาเพื่อทำาประสาทด้วยกันอีกหรือไง ไม่ได้รับรู้เลยว่ากำลังถูกคนตรงหน้าแอบหัวเราะเบา ๆ เพราะคนตัวเล็กโกรธจนแก้มพองไปหมด
“พังข้าวของเสร็จแล้วก็เก็บด้วยหมวย”
“ไอ้…”
“แมวขี้มันยังเอาทรายกลบเลย ทำแก้วแตกก็เก็บด้วยครับเด็กฝึกงาน”
เอ่ยสั่งแล้วยังไม่ลืมย้ำอีกว่าตัวเขาในตอนนี้ยังอยู่แค่ในสถานะเด็กฝึกงานเท่านั้น แม้จะอยากเข้าไปทึ้งหัวกันมากแค่ไหน ทว่าอีกฝ่ายในตอนนี้ก็มีสถานะเป็เ้านายเขาอยู่ดี คนอายุน้อยกว่าเดินออกไปจากห้องโดยไม่บอกไม่กล่าว เมื่อเวลาผ่านไปจึงกลับมาอีกครั้งพร้อมกับถุงมือหนาและถุงพลาสติกอีกหนึ่งใบ
เพราะเอาแต่ก้มหน้าก้มตาเก็บเศษซากที่ตัวเองทำไว้ จึงไม่ได้รับรู้เลยว่ากำลังถูกมองอยู่ด้วยสายตาแบบใด หากให้ลองจินตนาการดูก็คงไม่พ้นคงถูกแอบหัวเราะเยาะใส่แล้วคิดว่าสภาพของเขาในตอนนี้ช่างดูน่าตลกเหลือเกินงั้นสิ ทว่าเมื่อเงยหน้าขึ้นไปมองสบกลับพบว่าดวงตาคู่คมที่ทอดมองกันอยู่ก่อนแล้วฉายแววล้ำลึกมากกว่าที่คิด
เศษแก้วชิ้นสุดท้ายถูกเก็บใส่ถุง ก่อนที่ร่างเล็กจะจับมันมัดปากถุงแล้ววางทิ้งลงบนโต๊ะทำงานของผู้เป็นาย
“บอกให้เก็บ แต่เฮียไม่ได้บอกนี่ว่าจะให้เจินเอาไปทิ้งด้วย ถ้างั้นเฮียก็เอาไปทิ้งเองแล้วกัน”
“ไปไหน”
“จะไปทำงานต่อไง”
น้ำเสียงในท้ายประโยคค่อย ๆ แ่เบาลงเมื่อเดินมาถึงประตูแล้วรู้สึกว่ามีใครอีกคนเดินตามมาด้วย คอปกเสื้อด้านหลังถูกจับดึงเอาไว้ไม่ให้เดินหนี พร้อมกับร่างสูงของาาที่ยืนประกบอยู่ด้านหลังด้วยระยะห่างเพียงไม่กี่คืบจนอาเจินตัวเกร็งขึ้นมา กลิ่นน้ำหอมที่เปลี่ยนไปโชยแ่แตะปลายจมูก พร้อมกับน้ำเสียงทุ้มแหบที่เอ่ยพูดกระซิบแ่เบาอยู่หลังใบหู
“ไปเรียนผูกโบมาใหม่”
โบเล็ก ๆ ซึ่งต้องมัดผูกไว้ด้านหลังตามรูปแบบการแต่งตัวของร้านที่ผูกไว้อย่างลวก ๆ ถูกแกะออกแล้วผูกให้ใหม่จนมันดูสวยงามกว่าเดิมหลายเท่า อาจเป็เพราะรีบมาเพื่อให้ถึงร้านทันเวลาจึงไม่ได้พิถีพิถันกับส่วนนี้มากนัก พลันภาพความทรงจำตอนคบกันที่มีอีกฝ่ายคอยผูกโบที่ชุดให้ตลอดย้อนกลับเข้ามาอีกครั้ง จนต้องกัดปากแน่นทั้งดวงตาสีน้ำตาลสวยที่ฉายแววหม่นลง
“เจินเป็แค่พนักงานในร้าน เฮียไม่ต้องมายุ่งหรอก---”
น้ำเสียงถูกกลืนหายเข้าไปในลำคอยามหันหน้ากลับไปพูดเอ่ยเถียง ก่อนจะหยุดชะงักนิ่งไปเมื่อเริ่มรู้ตัวว่าพวกเขาอยู่ใกล้กันมากเพียงใด เพราะความสูงที่ถึงแค่ระดับอกจึงต้องเงยหน้าขึ้นไปมอง ทว่าเมื่อเห็นว่าสายตาคู่นั้นกำลังหลุบลงมองกันอยู่ก็ก้มหน้าลงหนีทันที
“เดี๋ยวนี้ยุ่งด้วยไม่ได้แล้วหรือไง”
น้ำเสียงทุ้มแหบเอ่ยถามขึ้นทำลายความเงียบระหว่างกัน แม้จะยังฟังดูเป็ประโยคชุ่ย ๆ ตามนิสัยของอีกฝ่าย แต่ตัวเขากลับรู้สึกว่ามันแ่เบาลงไปหรือเปล่านะ? เขารู้สึกว่าตัวเองกำลังจะเสียศูนย์...ก็ห่างกันไปหนึ่งปีแล้วไม่ใช่หรือไง ทำไมไอ้หนึ่งปีที่ผ่านมาดูจะไม่ค่อยช่วยอะไรได้เลยสักนิด
อาจเป็เพราะระยะเวลาสี่ปีมันยาวนานมากจริง ๆ ใช่หรือเปล่า…
มือน้อย ๆ เริ่มจับชายเสื้อของตัวเองแล้วออกแรงบีบจนเนื้อผ้าเริ่มยับยู่ เอ่ยพูดตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงที่พยายามทำให้มันเป็ปกติ ทว่าแท้จริงแล้วกลับเริ่มแกว่งไปมาอยู่ไม่นิ่ง
“เฮียรำคาญเจินนักไม่ใช่หรือไง…”
“เฮียครับ แขกที่นัดไว้มาถึงแล้วนะครับ”
เสียงเรียกที่หน้าประตูฉุดดึงความสนใจจากพวกเขาไปหมด อาเจินที่ได้สติรีบหันหลังแล้วเปิดประตูออกไปเพื่อไปทำหน้าที่ส่วนอื่นของตัวเองเสียที โดยไม่หันหลังกลับไปเพื่อดูว่าถูกมองตามมาหรือไม่
แล้วกำลังถูกมองด้วยสายตาแบบใด…อาเจินในตอนนี้ยังคิดไม่ออกเลยจริง ๆ
…
อาเจินคิดว่าปีนี้คือปีแห่งความเฮงซวยของชีวิต โดยเฉพาะในเดือนนี้ วันนี้และในเวลานี้
ร่างเล็กยืนถือถาดที่ประกอบไว้ด้วยขวดเหล้าหลายขวด เป้าหมายคือลูกค้ากลุ่มวัยรุ่นที่กำลังเมาได้ที่ เขาจะไม่เป็กังวลเลยหากคนกลุ่มนั้นไม่ได้เมาหนักและไม่ได้ทอดมองมาทางนี้ด้วยสายตาแปลกประหลาด
“ลูกค้าโต๊ะนั้นบอกว่าอยากให้อาเจินไปเสิร์ฟให้”
คำพูดของพนักงานด้วยกันยังคงดังชัดเจนอยู่ในหัว ร่างกายเริ่มห่อเข้าหากันเล็กน้อยอย่างระมัดระวังแล้วเดินเข้าไปวางขวดเหล้าบนโต๊ะตามหน้าที่ของตน ทว่ายังไม่ทันจะวางเหล้าขวดที่สองให้เสร็จ ข้อมือเล็กกลับถูกจับเอาไว้แน่น อาเจินสะดุ้งสุดตัวพยายามดึงแขนออก ก่อนจะได้ยินน้ำเสียงติดยานคางเอ่ยพูด
“หน้าคุ้นจังวะ...อ้าว ดาราที่กำลังเป็ข่าวอยู่ตอนนี้นี่หว่า”
“…”
“เดี๋ยวนี้เปลี่ยนอาชีพมาเป็พนักงานเสิร์ฟแล้วเหรอ มานั่งบริการลูกค้าหน่อยเร็ว”
“ปล่อย!!”
สัญชาตญาณสั่งให้รีบเอาตัวรอดทันทีด้วยการสะบัดตัวยื้อยุดอย่างแรง ขวดเหล้าบนถาดที่ถืออยู่หกราดเนื้อตัวของเขาจนเปียกชุ่ม ทั้งยังคละคลุ้งไปด้วยกลิ่นสุราจนต้องย่นจมูกหนี เรียวคิ้วขมวดเข้าหากันแน่นทั้งความรู้สึกโมโหที่พุ่งขึ้นมาจนจะถึงขีดสุด แก้วเหล้าบนโต๊ะกระจกถูกอาเจินหยิบขึ้นมาแล้วสาดใส่ไปทางคู่กรณีทันทีอย่างเอาเื่พอกัน
!!!
ดวงตาสีน้ำตาลสวยเบิกโพลงอย่างใเมื่อเห็นว่าเ้าของร้านที่เดินมาอยู่ตรงนี้ั้แ่เมื่อไรไม่อาจทราบกลายเป็ฝ่ายมารับลูกหลงแทนเสียอย่างนั้น ริมฝีปากอ้าพะงาบ ๆ อย่างทำตัวไม่ถูก คำขอโทษจุกอยู่ที่บริเวณลำคอ เป็จังหวะเดียวกันที่าาจับแขนคนตัวเล็กให้ไปอยู่ด้านหลังของตนแทน
“มีปัญหาอะไรหรือเปล่าครับลูกค้า”
“กูจะให้มันมานั่งด้วย แม่งพูดไม่ฟัง…เอามันมานี่”
ร่างของอาเจินถูกแผ่นหลังกว้างของอดีตคนรักบังไว้จนมิด ในขณะที่าายังคงไกล่เกลี่ยกับคู่กรณีอย่างใจเย็น บรรยากาศภายในร้านเริ่มเงียบสงบเมื่อทุกคนเริ่มหันมาให้ความสนใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น กระนั้นฝั่งคนเมาก็ดูไม่มีท่าทีจะยอมลงให้แต่อย่างใด
“ที่นี่เราไม่อนุญาตให้ดึงเด็กเสิร์ฟมานั่งด้วยนะครับ ถ้าอยากได้เพื่อนนั่งดื่ม เดี๋ยวผมเรียกเด็กให้”
“ก็กูจะเอาคนนี้ มึงมีปัญหาหรือไง กูจะเอามันมาทำอะไรก็เื่ของกู---”
“กูว่ามึงเงียบก่อนที่กูจะเอารองเท้ายัดเข้าไปในปากเน่า ๆ ของมึงดีกว่านะ”
“…”
“อยากมีรอยตีนที่หน้าเอาไว้ให้แม่มึงดูที่บ้านก็ลองดู”
สิ้นคำพูด พลันบรรยากาศรอบกายกลับยิ่งเงียบเสียยิ่งกว่าเก่า อาเจินไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคู่กรณีกำลังมีสีหน้าเป็อย่างไร หรือมีใครเข้ามาไกล่เกลี่ยเพิ่มอีกหรือไม่ จู่ ๆ ฝ่ายนั้นที่เคยโวยวายก็เงียบไปโดยไม่มีปี่มีขลุ่ยเสียอย่างนั้น รู้ตัวอีกทีก็ตอนที่คนอายุมากกว่าหันกลับมาเอ่ยพูดคำสั่งที่ทำเอาตัวเขารีบเอ่ยปากปฏิเสธทันทีเพราะกลัวถูกตำหนิในเื่ที่เกิดขึ้น
“เข้าห้องไปกับเฮีย”
“เจินจะทำงานต่อ เฮียไม่ต้องมายุ่ง---อ้ะ!!”
น้ำเสียงถูกกลืนหายเข้าไปลำคอทั้งดวงตาที่เบิกโพลงอย่างใเมื่อร่างทั้งร่างถูกอุ้มจับพาดบ่าจนลอยหวือ มือน้อย ๆ จับขยุ้มกับชายเสื้อเชิ้ตของอีกฝ่ายแน่นแล้วพยายามดิ้นหนีแต่กระนั้นก็ยังไร้ผล ยิ่งเห็นสายตาของใครหลาย ๆ คนที่จ้องมองมาก็ยิ่งรู้สึกอับอายจนต้องทุบกำปั้นลงกับแผ่นหลังกว้างอย่างแรงให้หายแค้นใจ
“ปล่อย!!! อ้ะ!”
ร่างเล็กถูกวางลงในอ่างอาบน้ำส่วนตัวในพื้นที่ของร้าน ร่างสูงของาาเดินหายไปสักพัก ก่อนจะกลับเข้ามาอีกครั้ง ชุดพนักงานตัวใหญ่ถูกโยนวางไว้บนตัก ในขณะที่อาเจินยังคงนั่งขดตัวอยู่ในอ่างทั้งดวงตาที่ตวัดขึ้นมองสบกับอีกหนึ่งชีวิตภายในห้อง จนคนที่ยืนมองอยู่นานต้องเอ่ยถามอีกครั้ง
“เปลี่ยนดิ หรือจะให้เฮียเปลี่ยนให้”
“ทำเองได้”
ร่างขาวรีบคว้าชุดมากอดไว้แล้วแยกเขี้ยวใส่คนที่ยืนอยู่ข้างอ่างแม้ว่าจะไม่ได้ดูน่ากลัวเลยสักนิด เมื่ออีกฝ่ายยอมเดินออกไปจึงได้มีโอกาสเปลี่ยนชุดอย่างสบายใจ ทว่าครั้นเมื่อเปิดประตูห้องน้ำออกมาก็ต้องหยุดชะงักนิ่ง ทั้งดวงตาที่เบิกกว้างอย่างใ เมื่อเห็นาายืนปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตของตัวเองออกโดยไม่สนใจสถานที่จนเห็นแผงอกกว้างวับ ๆ แวม ๆ
“เฮียจะมาถอดเสื้อตรงนี้ทำไม!!”
“เสื้อเปียกกูก็ต้องถอดไหม มึงจะให้กูใส่เสื้อแช่เหล้าเหรอหมวย”
ชายหนุ่มหยุดมือนิ่งไว้ท่าเดิมแล้วหันกลับมาพูดหน้าตาย คล้ายกับไม่ได้รู้สึกรู้สาอะไรกับการถอดเสื้อกลางห้องทำงานของตนที่สามารถมองเห็นวิวภายในร้านได้อย่างทั่วถึง อาเจินเมื่อได้ยินดังนั้นจึงทอดสายตามอง เห็นอีกฝ่ายที่เสื้อเปียกไปครึ่งแถบ เส้นผมสีเทายังคงเปียกชื้น…ทั้งหมดนั้นเป็ฝีมือของเขา จู่ ๆ ก็เริ่มรู้สึกผิดขึ้นมา ร่างเล็กกัดปากแน่นแล้วก้มหน้าเอ่ยพูดเสียงอุบอิบ
“เจินไม่ได้ตั้งใจ…”
เกิดความเงียบสงบโอบล้อมรอบกายชั่วขณะหนึ่ง เพราะก้มหน้าอยู่จึงไม่รู้ว่าาากำลังทอดมองกันด้วยสายตาแบบใด ใบหน้าหวานเริ่มฉายแววหงอยลงเมื่อไม่ได้ตั้งใจให้คนอื่นมาเดือดร้อนไปด้วย ทว่าประโยคต่อมาที่ได้ยินกลับเป็ผลให้ต้องขมวดคิ้วแน่น รีบเงยหน้าขึ้นไปเอ่ยเถียงทันที
“ถ้ารู้สึกผิดก็มาช่วยกันถอดเสื้อ”
“เป็ง่อยหรือไง”
“เออ กูเป็ง่อย”
คนหนึ่งกำลังโมโห อีกคนก็สุมเชื้อไฟลงไปให้อีกฝ่ายอารมณ์เสียยิ่งกว่าเดิม อาเจินหน้าบูดยิ่งกว่าเก่าก่อนจะขยับเท้าเดินเข้าไปใกล้แล้วปลดกระดุมเม็ดอื่นที่เหลือออกให้ ยิ่งได้ยินเสียงหัวเราะทุ้มต่ำดังในลำคอของอีกฝ่ายก็ยิ่งรู้สึกหงุดหงิดจนอยากจะเขย่งตัวไปต่อยหน้าสักทีให้หายแค้น
“...”
ทว่าเมื่อเม็ดกระดุมเริ่มถูกปลดออกเรื่อย ๆ จนเห็นหน้าท้องอุดมกล้ามเนื้อและรอยสักบริเวณท้องน้อยที่โผล่พ้นชั้นในสีดำขึ้นมา การขยับมือที่เคยคล่องแคล่วกลับเริ่มเชื่องช้าลงเสียอย่างนั้น
มือน้อย ๆ เริ่มสั่นเทาทั้งริมฝีปากอิ่มที่ขบเม้มเข้าหากัน โดยการกระทำทั้งหมดล้วนตกอยู่ในสายตาของาาทั้งสิ้น ริมฝีปากบางยกขึ้นเป็รอยยิ้มร้าย เกลี่ยปลายนิ้วลงกับปลายจมูกโด่งรั้นอย่างหยอกเย้าจนอาเจินย่นจมูกหนี ยังไม่วายหาเื่ยั่วโมโหกันอีกอย่างกับว่ามันเป็เื่สนุกนัก
“นับเม็ดกระดุมอยู่หรือไง” คราวนี้อาเจินตวัดตาขึ้นมองค้อนใส่กันทันทีแล้วเอ่ยเถียงกลับ
“ใจร้อนนักก็กระชากมันออกไปซะสิ จะได้ไม่ต้องมาปลดกระดุมให้”
าาแค่นหัวเราะเสียงหนักในลำคอหนึ่งครั้งแล้วโคลงศีรษะเล็กน้อย ดวงตาคมสีรัตติกาลทอแสงอ่อนลงยามทอดมองคนที่ยืนหน้าบูดอยู่ตรงหน้า
“ทำอย่างกับไม่เคยเห็น”
“เจินไม่เคยเห็นนี่”
“กูให้มึงพูดใหม่นะหมวย”
สิ้นคำพูด พลันอาเจินรู้สึกเหมือนทั้งบริเวณใบหน้าและข้างใบหูรู้สึกร้อนผ่าวเสียจนควบคุมไม่อยู่ เสียงหัวใจภายในอกเต้นกระหน่ำรุนแรงจนน่ากลัวว่าใครอีกคนจะได้ยินมัน มือน้อย ๆ จับอยู่ที่กระดุมเม็ดสุดท้ายแล้วกำแน่นอย่างไม่กล้าขยับต่อ คล้ายกับไม่รู้ว่าปลดแล้วจะเป็ยังไงต่อไป
“ไม่อยากมองก็หันหลังไป”
คล้ายกับสามารถอ่านความคิดกันได้ เมื่อได้ฟังคนอายุน้อยกว่าก็รีบหันหลังให้ทันที แต่เขาคงจะลืมไปแล้วว่าเบื้องหน้าของตนคือกระจก เมื่อหันกลับมาจึงได้เห็นจังหวะที่อีกฝ่ายถอดเสื้อเชิ้ตออกจนมองเห็นแผงอกกว้าง หน้าท้องอุดมกล้ามเนื้อ จิวเพชรที่ประดับอยู่บนยอดอกข้างซ้าย และรอยสักบริเวณท้องน้อยที่โผล่พ้นอันเดอร์แวร์ขึ้นมา
ดวงตาทั้งสองคู่มองสบกันผ่านกระจกบานใหญ่ คนหนึ่งเบิกตาโพลงทั้งใบหน้าแดงก่ำ คล้ายอยากจะด่าเต็มที ในขณะที่อีกคนเผยแย้มรอยยิ้มร้ายกาจมองสบกันอย่างไม่ยอมแพ้ ร่างเล็กกำหมัดกำมือตัวเองแน่นแล้วหลุดะโเรียกชื่อคนอายุมากกว่าออกมาเสียงดังอย่างเหลืออด
“าา!!”
ในขณะที่าาก็ยังไม่ลืมที่จะตอบรับด้วยประโยคหวานที่ใช้มาตลอดสี่ปีอย่างเคยชิน ทว่ากลับฟังดูกวนส้นตีนที่สุดในยามนี้สำหรับผู้ฟังอย่างอาเจิน
“ว่าไงคะหนู”
...
“กูให้มึงพูดใหม่นะหมวย”
- าา -
...
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้