หลินชิงเวยยังอยู่ในชุดขันที แม้เสื้อผ้าชุดนี้จะเล็กพอแล้ว ทว่าเมื่อสวมใส่อยู่บนร่างของนางแล้วยังคงหลวมโพรกอยู่นั่นเองชัดเจนยิ่งนักว่าไม่ใช่เสื้อผ้าของนาง หลินชิงเวยไม่มีสติจริงๆ ในเวลานี้ อีกทั้งถูกสายตาของเซียวเยี่ยนที่กวาดมากำราบเสียจนเหน็บหนาวไปทั้งใจ
เซียวเยี่ยนทำเหมือนไม่ได้ยินคำพูดของเซียวจิ่นเขาเดินเข้ามาหาหลินชิงเวยทีละก้าวๆรูปร่างสูงใหญ่ของเขาแผ่ความกดดันที่ทำให้คนหยุดหายใจได้ออกมา หลินชิงเวยยิ้มขื่นในใจทว่าร่างของนางยังคงถอยหลังไปอย่างไม่อาจควบคุมได้
หนึ่งก้าว สองก้าว
เซียวเยี่ยนก้าวมาข้างหน้าหนึ่งก้าว นางก็ถอยหลังหนึ่งก้าว
นางไปแตะต้องขีดความอดทนของเขา ไม่มีแม้ช่องว่างสำหรับการปรึกษาหารือ
หลินชิงเวยมีคำพูดมากมายที่้าพูด แต่ภายใต้ความกดดันทีละก้าวๆของเซียวเยี่ยน นางกลับพูดไม่ออกแม้แต่คำเดียว
“เสด็จอา...” เซียวจิ่นร้องเรียกเขาด้วยความกังวล
ทว่าเซียวเยี่ยนไม่ได้ยิน
สายตาของเซียวเยี่ยนเย็นเยียบ มองกราดเสียจนหลินชิงเวยตัวแข็ง“เ้าคิดว่ามีฝ่าาหนุนหลังเ้าแล้วเปิ่นหวางก็ทำอะไรเ้าไม่ได้ใช่หรือไม่หลินชิงเวย เ้าเป็แค่เจาอี๋เล็กๆ คนหนึ่งเ้าคิดว่าเ้าความสามารถอันใดที่จะไปตำหนักหน้าของฝ่ายหน้าได้! เป็เพราะในยามปกติเปิ่นหวางตามใจเ้ามากเกินไปใช่หรือไม่จึงทำให้เ้าไม่มีขื่อมีแปเช่นนี้!”หลินชิงเวยได้แต่นิ่งเงียบ ไม่คิดว่าเซียวเยี่ยนกลับตวาดใส่นาง “พูด! เป็ใบ้หรือไร!?”
“เสด็จอา ไม่ใช่ความผิดของชิงเวย” เซียวจิ่นส่งเสียงขึ้นอีกครั้ง
หลินชิงเวยถูกตวาดจนตื่นตะลึงนางเงยหน้าขึ้นมองใบหน้าที่เต็มไปด้วยโทสะของเซียวเยี่ยนเซียวเยี่ยนผลักหัวไหล่ของนาง อาจเป็เพราะไม่ได้ควบคุมกำลังให้พอเหมาะหลินชิงเวยมีรูปร่างเล็กแบบบางเป็ทุนเดิมอยู่แล้วเมื่อถูกเขาผลักเช่นนี้จึงหงายล้มไปด้านหลังทันที
เซียวเยี่ยนไม่ได้ประคองนาง ปล่อยให้นางล้มลงไปนั่งบนพื้นก้นของนางกระแทกกับพื้นเจ็บเสียจนจะแตกสลาย
เพลิงโทสะไร้นามในใจของหลินชิงเวยเริ่มก่อตัวขึ้นนางรู้ว่าตนมีความผิด นางอดทนและหลบหลีกแล้ว แต่ชายคนนี้กลับมีพฤติกรรมหนักข้อขึ้นกว่าเดิม
“เ้าคิดว่าเ้าเป็ใคร หากถูกคนจดจำได้ ใครก็ปกป้องเ้าไม่ได้!” เซียวเยี่ยนค่อยๆ ย่อกายลงนั่งยองๆ เบื้องหน้าหลินชิงเวย ไม่มีความเป็สุภาพบุรุษแม้แต่น้อยเมื่อหิ้วคอเสื้อของนางเพื่อรั้งศีรษะของนางขึ้นมามืออีกข้างหนึ่งเงื้อขึ้นราวกับจะตบฉาดลงบนใบหน้าของนาง ้าทุบตีนาง
เซียวจิ่นเห็นเช่นนั้น จึงลุกขึ้นมานั่งบนเตียงด้วยความตระหนก“เสด็จอา”
หลินชิงเวยเองก็เดือดดาลแล้วเช่นกัน นางไม่รู้ว่าบุรุษคนนี้ถือดีอย่างไรจึงได้คิดว่าตนเองยิ่งใหญ่ถึงเพียงนี้นางเชิดคางขึ้น เอียงใบหน้าของตนขึ้นข้างหนึ่งแนบติดไปกับฝ่ามือของเซียวเยี่ยนรอยยิ้มงดงามบนใบหน้านั้นชัดเจนยิ่งนักว่าเย้ยหยันถากถาง นางกล่าวว่า“คิดจะตีข้าใช่หรือไม่ มาสิ ข้าเอียงหน้ามาให้ท่านตี หากท่านไม่ตีท่านก็ไม่ใช่ลูกผู้ชาย!”
แววตาของเซียวเยี่ยนนิ่งลึกราวกับคลื่นลมและพายุฝนกำลังก่อตัวขึ้นเขากล่าวเสียงเบาว่า “ถึงยามนี้ เ้าก็ยังไม่รู้ว่าความผิดของเ้าอยู่ที่ใดใช่หรือไม่?”
หลินชิงเวยมองตามสายตาของเขาอย่างไม่เกรงกลัว กล่าวอย่างหนักแน่นว่า“ข้าไม่รู้จริงๆ ว่าข้าทำผิดอะไรกันแน่ เบื้องบนมีคำสั่ง ข้าไม่ทำตามก็คือขัดต่อราชโองการข้าทำตามคือกำเริบเสิบสาน ท่านว่าข้าควรจะทำตามหรือไม่ทำตามดีเล่า?ท่านว่าข้าควรจะฟังฝ่าาหรือฟังท่านเซ่อเจิ้งอ๋องดีเล่า! ท่านคิดว่าท่านเป็ใคร ท่านคิดว่าท่านสูงส่งกว่าฝ่าาแล้วจริงๆ หรือ?”
เซียวเยี่ยนเดือดดาลอย่างที่สุด เขายื่นมือไปกุมลำคอหลินชิงเวยขอเพียงเขาออกแรงย่อมต้องหักคอนางได้แน่นอน
หลินชิงเวยถูกบีบให้เงยหน้าขึ้นทว่ารอยยิ้มบนใบหน้าไม่จางลงแม้แต่น้อย “ข้าดูแล้วท่านไม่เพียงแต่กำลังโมโหข้าเท่านั้น ท่านยังยังโมโหตัวท่านเองด้วยกระมังเซ่อเจิ้งอ๋อง ชีวิตคนมากมายเพียงนั้น ท่านไม่อาจทำผิดพลาดแม้เพียงเล็กน้อยน่าเสียดายที่ท่านผิดพลาดแล้ว ท่านทำผิดพลาดอย่างใหญ่หลวง!”
เซียวเยี่ยนกล่าวเสียงต่ำราวกับเขาถูกสัตว์ร้ายถูกขังอยู่ในกรงเขาคำรามเสียงต่ำ “เ้ารู้หรือไม่ว่าเ้ากำลังพูดอะไร?เ้าคิดว่าเปิ่นหวางไม่กล้าสังหารเ้าจริงๆ ใช่หรือไม่?”
รอยยิ้มของหลินชิงเวยเปี่ยมไปด้วยเสน่ห์ยั่วยวนและเจิดจ้าขึ้นอีก“เหตุใดท่านจึงไม่ให้ข้าเข้าไปดูสีหน้าท่าทางของกู้เทียนหลินผู้นั้นเล่าเหตุใดท่านจึงไม่ให้ข้าเข้าใกล้เขาเพื่อถามเขาสักประโยคสองประโยค?”ไม่รอให้เซ่อเจิ้งอ๋องตอบ นางพูดอีกว่า“ท่านกลัวว่าขันทีน้อยเช่นข้าจะถูกผู้อื่นจดจำได้หรือกลัวว่าตัวเองจะตัดสินคดีผิดกันแน่?”
“ให้เ้าขึ้นไป ให้เ้าไปถามก็จะได้อะไรออกมาหรือ?คดีของสกุลกู้มีหลักฐานพร้อมมูล เปิ่นหวางไม่ได้ปรักปรำใครแม้แต่คนเดียว!”
“อย่างน้อยข้าจะเห็นสีหน้าท่าทางเขาอย่างชัดเจนข้าสามารถแน่ใจได้ว่าเขากำลังพูดจริงหรือพูดเท็จ”หลินชิงเวยประสานสายตากับเซียวเยี่ยน“ท่านเคยคิดหรือไม่ว่ามีความเป็ไปได้ว่ากู้เทียนหลินจะถูกปรักปรำ! มีความเป็ไปได้ว่าครอบครัวของเขาร้อยกว่าชีวิตนั้นตายอย่างสูญเปล่า!”
“หุบปาก”
หลินชิงเวยหายใจอย่างยากลำบาก ทว่ากลับยังคงหัวเราะ“เมื่อไปถึงลานปะาแล้วย่อมมิอาจถอยหลังได้...ความปราชญ์เปรื่องของท่าน เซ่อเจิ้งอ๋องมิอาจถูกลบหลู่ดูิ่ได้...ท่านไม่อาจให้เื่ราวเปลี่ยนแปลงจนไร้หนทางที่จะเก็บกวาด...ท่านเสี่ยงไม่ได้ดังนั้นท่านจึงสังหารผู้บริสุทธิ์ทั้งหมด เวลานี้ท่าน้าสังหารข้าเช่นกัน...”
“เ้าหุบปาก!”
หลินชิงเวยกล่าวทั้งหน้าแดงก่ำว่า “ท่านดูสีหน้าท่าทางของท่านในเวลานี้สิว่าน่าเกลียดเพียงใด...แม้กระทั่งตัวท่านเองก็เริ่มแคลงใจ...”
เซียวจิ่นหวาดกลัวแล้วเขาคิดไม่ถึงว่าครั้งนี้เซียวเยี่ยนจะปฏิบัติต่อหลินชิงเวยอย่างมิอาจควบคุมตนเองได้เช่นนี้เขาะโเสียงดังว่า “เสด็จอา ท่านปล่อยมือ! เจิ้นสั่งเ้า ปล่อยนางเดี๋ยวนี้!”
เงาร่างด้านหลังของเซียวเยี่ยนชะงักงันประจวบเหมาะกับเวลานี้ข้างนอกมีเสียงฝีเท้าดังขึ้น เซียวเยี่ยนคลายนิ้วมือปล่อยหลินชิงเวย หลินชิงเวยฟุบลงบนพื้นไอโขลกอย่างหนักพร้อมกับหอบหายใจ
เซียวเยี่ยน “หากยังมีครั้งหน้า เปิ่นหวางจะสังหารเ้าจริงๆ”
ทันทีที่สิ้นเสียงหน้าประตูตำหนักบรรทมก็ปรากฏเงาร่างของคนๆ หนึ่งมิใช่เซี่ยนอ๋องที่เพิ่งจะพบกันเมื่อสักครู่หรอกหรือ
เซี่ยนอ๋อง เซียวอี้
บรรยากาศภายในตำหนักบรรทมพลันแปลกไปจนมิอาจบรรยายได้
ใบหน้าของเซียวจิ่นยังไม่สงบลง เซียวเยี่ยนค่อยๆลุกขึ้นยืนข้างกายหลินชิงเวย สีหน้านั้นเย็นเยียบยิ่งยวดส่วนหลินชิงเวยนั้นฟุบร่างอยู่บนพื้น ลำคอขาวผ่องของนางปรากฏรอยนิ้วมือชัดเจน
เซียวอี้ไม่ใช่คนเขลา เขาเข้าใจทันทีว่าเกิดอะไรขึ้นที่นี่ั์ตากลอกไปมาทำราวกับตนไม่รู้เื่ราวใดๆ ทั้งสิ้น ยังคงกล่าวยิ้มๆ ดังเดิม“นี่กำลังทำอะไรกัน มิใช่เวลาเสวยพระกระยาหารเที่ยงหรอกหรือพ่ะย่ะค่ะ?”เขามองไปบนโต๊ะเสวย “พระกระยาหารเต็มโต๊ะตัวนี้ เหตุใดไม่มีใครแตะต้อง?”
ต่อมาเซียวอี้เดินเข้ามากล่าวกับเซียวจิ่น“กระหม่อมถวายบังคมฝ่าาพะยะค่ะ”
น้ำเสียงของเซียวจิ่นแหบเล็กน้อยสีหน้าของเขาเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาหลายครั้งระหว่างที่เซียวอี้เข้ามาในที่สุดก็กลับมาสงบดังเดิม จึงกล่าวเรียบๆ ว่า “เสด็จอาสามไม่ต้องมาพิธี”
เซียวอี้จึงยืดกายขึ้น“เื่ทางด้านประตูเจิ้งเสวียนเพิ่งจะเสร็จสิ้นลง กระหม่อมรู้สึกหิวจนไส้จะขาดกลับไปกินที่จวนอ๋องนั้นไกลเกินไป คิดได้ว่าที่ฝ่าานี้มีของกินกระหม่อมไม่ได้มาเยี่ยมฝ่าาเนิ่นนานแล้วเช่นกันจึงตัดสินใจมาที่นี่ ฝ่าาคงไม่ถือสาที่จะเลี้ยงข้าวกระหม่อมสักมื้อกระมัง?”
เซียวจิ่นกล่าว “เสด็จอาสามพูดอันใดกัน ที่นี่กำลังจะกินอาหาร ในเมื่อเสด็จอามาแล้วก็นั่งลงกินด้วยกันเถิด”
เซียวอี้ยิ้มตาหยีกล่าวว่า “ระยะนี้สุขภาพของฝ่าาเป็อย่างไรบ้างพ่ะยะค่ะ?จะเป็การดีหากไม่ได้รับความตื่นตระหนกใในวันนี้กระหม่อมเห็นสีหน้าของฝ่าาซีดขาวอยู่บ้าง”
“เจิ้นป่วยมานานยังไม่หายดี สีหน้าเจิ้นซีดขาวอยู่บ้างเป็เื่ที่หลีกเลี่ยงไม่ได้เสด็จอาสามไม่ต้องเป็กังวล หลายวันมานี้ดีขึ้นมาก”
เซียวอี้หันไปมองเซียวจิ่น ต่อมาสายตานั้นตกลงบนร่างของหลินชิงเวย“เซ่อเจิ้งอ๋อง นี่กำลังทำอันใด กำลังระบายโทสะกับขันทีน้อยคนนี้หรือ?”