หลังจากที่หลินอวิ๋นเคลื่อนย้ายชั่วพริบตามาเขาก็แทบไม่มีเวลาให้ครุ่นคิด ทั้งหมดต้องพึ่งสัญชาตญาณ ที่เอวปรากฏหมอกลอยขึ้นมา ดาบกลายเป็ปลาหลีฮื้อสีดำสองสามตัวกำลังแหวกว่ายอยู่รอบตัวเขากับไป้เอ๋อร์ ภูตผีเ่าั้ที่โจมตีพลันหนีไปราวกับเห็นศัตรูโดยธรรมชาติ
“ไปกันเถอะ” หลินอวิ๋นรีบคว้าเอวของไป้เอ๋อร์เข้าไปในค่ายกลเล็กๆ ที่สร้างโดยพวกของไป๋เจ๋อจวิน
ปลาหลีฮื้อสีดำสองสามตัวหายไปโดยพลัน ก่อนกลับมาที่เอวของเขาอย่างไร้ร่องรอย เหลือเพียงดาบเหล็กสีนิลเล่มนั้นที่เขามักห้อยไว้ที่เอว
หลินอวิ๋นพาไป้เอ๋อร์เข้าสู่เขตอาคมอีกครั้ง ใบหน้าของเขาจริงจังอย่างหาได้ยาก จากนั้นขมวดคิ้วแล้วจ้องมองไปที่ฝูงชน
ไป้เอ๋อร์ผ่อนคลายลงเมื่อเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น หลังจากเห็นหลินอวิ๋นก็ทั้งน้อยอกน้อยใจและประหลาดใจ เขาะโขึ้นกอดคอพลางร้องไห้ออกมา “ท่านอาจารย์!!! ท่านอาจารย์...”
หลินอวิ๋นกวาดสายตามองผู้คนทีละคน จากนั้นพูดด้วยน้ำเสียงเ็า “ไป๋เจ๋อจวิน นักพรตหนี...ทุกท่านล้วนเป็นักพรตผู้ยิ่งใหญ่หาได้ยากในใต้หล้านี้ มีคุณธรรมและบารมีสูงส่ง...บ่มเพาะมาก็หลายปี แต่สิ่งที่เรียนรู้มาคือความสามารถในการกลั่นแกล้งเด็กอย่างนั้นหรือ?!”
หนีรั่วหลีกอดอกกล่าวด้วยรอยยิ้มเย็น “หากไม่ทำเช่นนี้...นักพรตหลินจะยอมเผยร่างที่แท้จริงได้อย่างไร?”
หลินอวิ๋นตกตะลึง
ไป๋เจ๋อจวินกล่าวต่อ “เคล็ดวิชาเคลื่อนย้ายชั่วพริบตา หยกคู่เพลิงสุวรรณ...เื่มาถึงเช่นนี้แล้ว นักพรตหลินจะยังคงยืนยันว่าตนเองเป็เพียงผู้ฝึกฝนธรรมดาในชนบทหรือไม่กัน?”
หลินอวิ๋นยกยิ้มเย็นแล้วลูบไป้เอ๋อร์อย่างปลอบโยนก่อนผละออกมา จากนั้นเข้าไปหาพวกของไป๋เจ๋อจวินอย่างแข็งกร้าวทีละก้าว “ใช่แล้วอย่างไร ไม่ใช่แล้วอย่างไร?! นี่กลายเป็ข้ออ้างที่พวกท่านทำร้ายลูกศิษย์ของข้าได้ตามใจหรือ?!”
หนีรั่วหลีกล่าว “นักพรตหลินไม่ยอมเผยใบหน้าที่แท้จริง หากเื่ไม่เป็เช่นนี้ จะบังคับให้นักพรตหลินเปิดเผยตัวตนได้อย่างไร?”
“เอ่อ...” หลินอวิ๋นกำลังจะพูด อี้จื่ออีพูดแทรกขึ้นมาในทันที “ทุกท่านใจเย็นก่อน...สิ่งที่เร่งด่วนในตอนนี้ ยังคงเป็เหล่าภูตผีที่อยู่ด้านนอกเขตอาคม ทั้งยังฉิงชางจวินที่กำลังจะมา! ก่อนอื่นต้องร่วมมือกันเพื่อปัดเป่าศัตรูต่างหาก จากนั้นค่อยต่อสู้กันคงยังไม่สายหรอกกระมัง?”
ขณะที่พูด ศิษย์ของไป๋เจ๋อจวินที่ประคองเขตอาคมมาเป็เวลานานได้ถอยกลับไปทีี่ละคนอย่างเป็ระเบียบ แทนที่ด้วยคนที่เพิ่งพักในค่ายกล สลับกันซ้ำไปมาแบบนี้เพื่อให้แน่ใจว่าค่ายกลจะดำเนินต่อไป
หลินอวิ๋นกวาดสายตามองไปที่ภูตผีเ่าั้ที่เกลือกกลิ้งอยู่ราวกับก้อนเมฆด้านนอก เผยรอยยิ้มเ็า “ฉิงชางจวินจะไม่มา”
ผู้คนต่างใแล้วมองมาที่เขา
หนีรั่วหลี ไป๋เจ๋อจวินและคนอื่นๆ มองเขาอย่างเคร่งเครียดและระแวดระวัง
อี้จื่ออีเป็คนแรกที่ถาม “นักพรตหลินรู้ได้อย่างไร?”
หลินอวิ๋นแค่นเสียงเ็า ทันใดนั้นเหลือบมองไปยังเขตอาคมในลานด้านในที่มีค่ายกลเล็กๆ นี้ปกป้องอยู่ พลันมีร่างหนึ่งแวบผ่านไป เมื่อเขาถอนสายตาออกก็มองไปโดยรอบเอ่ยด้วยรอยยิ้มเยาะ “เพราะในที่นี้ไม่มีใครต้อง ‘คำสาปร้อยผีกลืนใจ’...” เขามองไปที่ร่างก่อนหน้าของคนผู้นั้น “ใช่หรือไม่? อัครเสนาบดีหลิว?”
ชายวัยกลางคนร่างกำยำในอาภรณ์หรูหราปรากฏตัวออกมาจากความมืดดังที่อี้จื่ออีกล่าวไปก่อนหน้านี้ ‘ด้วยใบหน้าแดงและจิติญญาที่มีชีวิตชีวาเป็อย่างยิ่ง’ ดูไม่เหมือนคนที่กำลังจะตายเอาเสียเลย
ชายผู้นั้นมีพุงที่เต็มไปด้วยไขมันกับใบหน้าที่ดูเย่อหยิ่ง “เ้าเป็ผู้ใดถึงได้หยาบคายเช่นนี้!”
หลินอวิ๋นไม่ได้สนใจอีกฝ่าย เขาเดินทีละก้าวเข้าไปกดดัน “ท่านอัครเสนาบดี...ท่านมีน้องชายฝาแฝดใช่หรือไม่?”
อัครเสนาบดีหลิวเบิกตากว้างพลางถอยหลังหนึ่งก้าว
หลินอวิ๋นกล่าวต่อ “อย่างไรก็ตาม เขาได้เสียชีวิตจากโรคอย่างเฉียบพลันเมื่อหลายปีก่อน...ไม่มีใครในบ้านเกิดของท่านในตอนล่างของแม่น้ำที่รู้ว่าเป็โรคอะไร พวกท่านสองพี่น้อง พี่ชายคนโตชำนาญด้านการค้า ส่วนน้องชายฝาแฝดชำนาญด้านบุ๋น...คนที่ถูกเรียกว่าเด็กอัจฉริยะั้แ่วัยเด็กคือน้องชายของท่านต่างหาก เมื่อปีนั้นมีผู้วิเศษเคยกล่าวว่าปาจื้อของพวกท่านสองพี่น้องจะเจริญรุ่งเรืองเป็อย่างยิ่ง ภายใต้เพียงหนึ่งและเหนือคนนับหมื่น ดังนั้นเมื่อท่านได้ยินเช่นนี้ จึงเชื่อในคำกล่าวเื่โชคชะตาผีสางเทวดามาั้แ่เด็ก น้อยชายของท่านไม่เคยออกจากตอนล่างของแม่น้ำเลย แต่ท่านกลับได้เดินทางไปทั่วทุกสารทิศเพราะการค้า ตัวท่านได้พบกับสำนักเต๋ามากมาย...ท่านคิดมาตลอดว่าผู้ที่มีโชคชะตาเป็ดวงดาวแห่งเกียรติยศคือท่าน ยามที่รู้ว่าท่านกับน้องชายของท่านมีปาจื้อแบบเดียวกันทั้งสอง กลับมีเพียงผู้เดียวที่จะได้เป็ใหญ่เป็โต...่เวลาเดียวกัน ท่านก็ได้รู้ว่าบนโลกนี้มีเคล็ดวิชาที่...สามารถต่อต้าน์และเปลี่ยนชะตาได้...”
ทุกคนภายในแนวกั้นมองหน้ากัน อัครเสนาบดีหลิวหน้าซีดและถอยหลังไปสองสามก้าวขณะรับฟัง
“ไร้สาระ!!!” เขาสะบัดแขนเสื้อทันที ก่อนชี้ไปที่จมูกของหลินอวิ๋น นิ้วสั่นด้วยความโกรธ “เ้าปีศาจ! หยุดถ้อยคำหลอกลวงผู้คนประเดี๋ยวนี้! ทั้งหมดนี้เป็พียงการใส่ร้ายอันไร้เหตุผลของเ้า น้องชายฝาแฝดของข้าเสียชีวิตด้วยโรคเฉียบพลันอย่างเป็ที่ประจักษ์ชัดแจ้ง ยามที่เขาจากโลกนี้ไป ข้าไม่ได้อยู่ที่ตอนล่างของแม่น้ำ เ้าพูดมาถึงเพียงนี้ มีหลักฐานสักครึ่งหรือไม่กัน?”
หลินอวิ๋นส่งยิ้มเย็นตอบกลับ “ ‘คำสาปร้อยผีกลืนใจ’ ไม่จำเป็ต้องให้ผู้ใช้คำสาปอยู่ข้างกายผู้ต้องคำสาป...ผู้ใช้คำสาปเพียงต้องทำข้อตกลงกับภูตผีในระดับาาผีเท่านั้น สิ่งที่ทั้งสองฝ่าย้าคือการที่ผู้ใช้คำสาปจะได้รับชะตาของผู้ต้องคำสาป ส่วนาาจะผีกลืนกินิญญาของผู้ต้องคำสาป ิญญาที่ได้รับพรจากดวงดาวแห่งเกียรติยศจะมีความเป็พระเ้าอยู่เล็กน้อย จึงเป็ยาอายุวัฒนะสำหรับการบ่มเพาะของภูตผีปีศาจ ดังนั้น แม้จะเป็การต่อต้าน์หรือถูก์ลงทัณฑ์จึงยังคงยอมเสี่ยงอันตราย อย่างไรก็ตามเมื่อคำสาปนี้สำเร็จ ก็จะได้รับการยอมรับจากดาวผู้พิทักษ์อย่างดวงดาวแห่งเกียรติยศอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และยังต้องให้ผู้ใช้คำสาปกับาาผีร่ายคำสาปให้เสร็จในระยะเวลาอันสั้น อีกทั้งไม่มีทางถอนคำสาป อาจกลายเป็ท่านอัครเสนาบดีที่ต้อง ‘คำสาปร้อยผีกลืนใจ’ จนทำให้ตัวท่านนั้นค่อยๆ เคลื่อนย้ายกองกำลังมาเสริมเขตอาคมอยู่หลายครั้งเพื่อป้องกันไม่ให้ภูตผีมาเอาิญญาของท่านไปไม่ใช่หรือ? อัครเสนาบดีหลิว ประตูหยินของท่านได้เปิดต้อนรับิญญาร้ายนับแต่เมื่อหลายปีก่อนแล้วไม่ใช่หรือไร? ฉะนั้น จึงมีการกระทำเช่นการปิดสวนฟางชิ่นกับการแจกโจ๊กบนถนน”
ทันทีที่ถ้อยคำของหลินอวิ๋นจบลง ชาวสำนักเต๋าอดไม่ได้ที่จะพูดคุย
“เ้า! เ้านี่มัน...” อัครเสนาบดีหลิวชี้ไปที่หลินอวิ๋นแล้วเอ่ย “เ้าบอกว่าข้าไม่เคยต้องคำสาปร้อยผีกลืนใจ เช่นนั้นผีเหล่านี้ ณ ตอนนี้คืออะไร?”
หลินอวิ๋นยิ้มเยาะตอบกลับ “อัครเสนาบดีหลิวไม่รู้จริงหรือว่าคืออะไร? าาผีที่ทำสัญญากับท่านในตอนแรกนั้นเชื่อถือไม่ได้...ปล่อยให้ท่านอัครเสนาบดี...ประสบกับการแว้งกัดของคำสาปร้อยผีกลืนใจเสียเอง!”
“แว้งกัด?!” ดวงตาของทุกคนเป็ประกาย ความไร้เหตุผลก่อนหน้านี้กลับมีคำอธิบายในทันที
ใบหน้าของอัครเสนาบดีหลิวไร้สีเืโดยพลัน สายตาของทุกผู้คนจับจ้องไปที่ใบหน้าไร้สีเืของเขา แต่ ณ เวลานี้ไป๋เจ๋อจวินกลับมองไปที่หลินอวิ๋นเพียงเท่านั้น แววตานั้นลึกล้ำ
อัครเสนาบดีหลิวหอบหายใจอยู่ครู่หนึ่งก่อนค่อยๆ สงบลงเล็กน้อย หลังจากนั้นมองหลินอวิ๋นอย่างเ็า “ท้ายที่สุดแล้ว...หลักฐานของเ้าล่ะ? อาศัยลมปากที่ไร้มูลความจริงของเ้าอย่างนั้นหรือ?”
หลินอวิ๋นพูดด้วยรอยยิ้ม “ลมปากที่ไร้มูลความจริงหรือ? ข้าไม่บังอาจ...ในเมื่อท่านอัครเสนาบดียืนกรานว่าตนเองตกเป็เหยื่อของคำสาป...ท่านจะกล้าให้คนมายืนยันตัวตนของท่านในที่สาธารณะหรือไม่?”
อัครเสนาบดีหลิวใ “อะไรนะ?”
หนีอิ๋นเสวี่ยกล่าวแทนหลินอวิ๋น “ใช่แล้ว! หากต้องคำสาปร้อยผีกลืนใจจะทิ้งตราคำสาปไว้บนร่าง!”
“เหลวไหล!!!” ในที่สุดอัครเสนาบดีหลิวก็อดไม่ได้ที่จะคำรามด้วยความโกรธ “ขุนนางผู้นี้จะยอมให้ประชาชนเล็กจ้อยดูถูกข้าเช่นนี้ได้อย่างไร!!!”
หลินอวิ๋นหัวเราะอีกครั้ง “ท่านอัครเสนาบดี ดูเหมือนว่าท่านจะไม่ยอมตายจนกว่าจะถึงแม่น้ำฮวงโห[1] ไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตาสินะ? ข้าน้อยรู้อยู่แล้วว่าท่านจะไม่ยอมศิโรราบแต่โดยดี...ในเมื่อเป็เช่นนี้ ข้าก็จะให้ท่านอัครเสนาบดีมองดูโลงศพให้ดีก็แล้วกัน”
ทุกคนต่างตกตะลึง ก่อนสบตากันอย่างเหม่อลอยแลดูว่างเปล่ากันทั้งหมด ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายนั้น้าพิสูจน์อย่างไร
หลินอวิ๋นพูดอย่างสบายๆ “ท่านอัครเสนาบดี...ในฐานะที่เป็พี่ชายคนโต ยามนี้มียศมีตำแหน่ง...หากข้าสามารถพิสูจน์ความจริงของปาจื้อเช่นเดียวกันได้ว่าผู้ที่มีการพิทักษ์จากดวงดาวแห่งเกียรติยศคือน้องชายฝาแฝดของท่าน ท่านอัครเสนาบดีจะยังสามารถปฏิเสธ...แล้วบอกว่าตนเองไม่เคยใช้คำสาปกับเขาได้อยู่หรือ?” อัครเสนาบดีหลิวหยุดนิ่งไปชั่วครู่ มองเขาด้วยแววตาที่ซับซ้อน
ไป๋เจ๋อจวินที่เงียบไปนานพูดเสียงดังทันที “ชะตาของคนธรรมดา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเื่เช่นนี้ การแยกย่อยชะตาของปาจื้อที่เหมือนกันนั้นเป็ความลับของ์ ไม่ทราบว่านักพรตหลิน...ล่วงรู้ได้อย่างไร ทั้งจะพิสูจน์อย่างไรกัน?”
หลินอวิ๋นปิดปากยิ้ม กล่าวอย่างมั่นใจ “นี่...จะมีอะไรยากกันเล่า? ใช่หรือไม่เสวียนชิง?”
พื้นที่เปิดโล่งที่เขาเพิ่งจากมามีควันสีฟ้าครามพวยพุ่ง จากนั้นมีเงาร่างสูงใหญ่ในอาภรณ์สีดำปรากฎตัว ในมือถือสมุดบันทึกโบราณสีเหลืองดูไม่สะดุดตาอยู่เล่มหนึ่ง
เวลานี้ สีหน้าของชาวสำนักเต๋าทุกคนแสดงออกด้วยความประหลาดใจอย่างเป็เป็เอกฉันท์ ตกตะลึงแล้วตกตะลึงอีก
“นั่นคือ...”
“ผู้คุมิญญาอันดับหนึ่งในปรโลก ภายใต้ที่นั่งาาฉินก่วงแห่งวังเสวียนิ...ผู้ถือครองบันทึกหลัวเซิง...”
ใบหน้าที่ซีดเซียวและหล่อเหลาของเสวียนชิงเ็าราวกับน้ำค้างเช่นเคย แต่หากกล่าวถึงเขาแล้ว นี่เรียกได้ว่า ‘ความเที่ยงธรรม’ หลังจากเหลือบมองหลินอวิ๋น อีกฝ่ายกลับแค่นเสียงเ็า
่เวลานี้ หนีรั่วหลีรีบหันไปมองไป๋เจ๋อจวิน ทว่ากลับเห็นไป๋เจ๋อจวินนำมุกเสวียนหลิงออกมาอย่างเงียบๆ โดยปริยาย ซึ่งยามนี้มุกเม็ดนั้นพลันสว่างราวกับ้าจะฉีกม่านราตรีนี้ให้สิ้นซาก
เสวียนชิงหรี่ตาด้วยความไม่พอใจ
ไป๋เจ๋อจวินเก็บมุกเสวียนหลิง หันไปหาหนีรั่วหลีด้วยรอยยิ้มขมขื่น ในรอยยิ้มนำมาซึ่งการถ่อมตนพร้อมความศิโรราบ “เป็ตัวจริงแน่นอน...ใกล้ขอบเขตเซียน”
ไม่จำเป็ต้องมีค่ายกลใด เพียงเรียกว่า...ผู้คุมิญญาอันดับหนึ่งภายใต้ที่นั่งาาฉินก่วงในวังอันดับแรกของสิบยมราช ผู้ดูแลชะตาความเป็ตายของมนุษย์ การตัดสินดีชั่วล้วนต้องถูกตัดสินด้วยมือของ...ผู้คุมิญญาอันดับหนึ่ง
หนีรั่วหลีมองชายหนุ่มผู้ที่อยู่ถัดจากผู้คุมิญญาอย่างเงียบงัน หัวใจของเขาเต้นแรงทันทีเพราะคาดเดาได้
หลินอวิ๋นมองไปที่อัครเสนาบดีหลิวผู้นั้นราวกับมองของตายอย่างไรอย่างนั้น จากนั้นเลิกคิ้วเล็กน้อยแล้วมองไปที่เสวียนชิง แสร้งทำเป็ประสานมือด้วยความเคารพพร้อมกล่าว “เช่นนั้นขอให้เซียนจวินค้นหาในบันทึกหลัวเซิงให้เลื่อมใสสักหน่อยเถิด”
เสวียนชิงกลอกตาเล็กน้อย พลางลดสายตาลงเพื่อพลิกดูสมุดบันทึกโบราณในมือ
ดังนั้น สายตาของทุกคนจึงรวมอยู่บนสมุดบันทึกธรรมดาๆ บนฝ่ามือของเขา...จากนั้นส่งเสียงดังอึกทึก
แม้ว่าคืนนี้จะเบิกตากว้างจากความ ‘ตกตะลึง’ มาทุกรูปแบบจนตาจะเป็ตะคริวแล้ว แต่กลับยังต้องถลึงตามอง
“บันทึกหลัวเซิง?!”
“บันทึกหลัวเซิงที่บันทึกโชคชะตาของมนุษย์ ความเป็ตายและอายุขัยน่ะหรือ?!”
“นั่นมัน...อาวุธเทพโบราณใช่หรือไม่?!!!”
“...”
ระดับอาวุธเทพมีระดับจักรวาล ระดับา ระดับโบราณและระดับธรรมดา ในหมู่พวกมันระดับธรรมดามีขอบเขตที่ใหญ่ที่สุดและกว้างที่สุด ทว่าั้แ่ระดับโบราณขึ้นไป มีเพียงแดน์และผู้ที่ได้รับอำนาจจาก์เท่านั้นที่สามารถได้
“คืนนี้ช่างเปิดหูเปิดตาเสียจริง...”
โดยไม่สนใจเสียงเอะอะโวยวายของทุกคน หลินอวิ๋นกอดออกอย่างพึงพอใจ รอคอยอย่างเงียบงัน
หลังจากนั้นไม่นาน... “แค่กๆ” เสวียนชิงไอออกมา
หลินอวิ๋นไม่ได้สนใจ ยังคงดื่มด่ำกับความเพลิดเพลิน
“แค่กๆๆๆๆๆๆ!!!” เสวียนชิงไออย่างรุนแรงอยู่พักหนึ่ง
หลินอวิ๋นเริ่มรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ หันไปมองอีกฝ่ายแล้วถามด้วยเสียงเบา “เป็อะไรไป? เซียนจวินไม่สบายคอหรือ?”
เสวียนชิงกลอกตามองเขา จากนั้นยื่นบัญชีหลัวเซิงในมือให้ ชี้ไปที่บรรทัดหนึ่งในนั้น
เมื่อหลินอวิ๋นมอง ดวงตาของเขาเบิกกว้างในทันที เขาตกตะลึงไปพักหนึ่ง จากนั้นปิดบันทึกหลัวเซิงจนเกิดเสียง ‘ฟุ่บ’ แล้วโยนมันกลับเข้าไปในมือของเสวียนชิงด้วยความรีบร้อนเล็กน้อย เอ่ยด้วยเสียงต่ำ “เ้า สมุดบันทึกผุพังเล่มนี้เป็ของปลอมใช่หรือไม่?! หรือไม่ก็อาจเขียนผิด?”
เสวียนชิงถลึงตาบอก “หากเ้ายังกล้าเรียก ‘บันทึกหลัวเซิง’ ว่าสมุดบันทึกผุพังอีกละก็!!!”
------------------------
[1] ไม่ยอมตายจนกว่าจะถึงแม่น้ำฮวงโห เป็สำนวน หมายถึง ไม่ยอมแพ้จนถึงที่สุด