“ข้าคิดดูแล้ว ข้าไม่เข้าใจสถานการณ์ของนาง และข้าก็ไม่เคยพบพี่เขยท่านนั้นมาก่อน ความคิดเห็นของข้าอาจจะไม่ค่อยดีนักเ้าค่ะ” ทุกคนมีความคิดเห็นที่ไม่เหมือนกัน สำหรับนางการที่มีผู้ชายที่เข้าใจนางและรักนางถือเป็สิ่งที่เสริมให้ชีวิตนางดียิ่งขึ้น แต่ถ้าไม่มี นางคิดว่านางก็สามารถมีชีวิตที่ดีได้เช่นกัน
แต่สำหรับพี่เหมยเอ๋อร์อาจจะไม่ใช่ ในยุคที่ชายเป็ใหญ่เช่นนี้ หากนางถ่ายทอดความคิดของตนให้พี่เหมยเอ๋อร์แล้ว แต่สำหรับพี่เหมยเอ๋อร์มันอาจจะเป็สิ่งที่เกินกว่าที่นางจะเข้าใจและยอมรับได้ และมันอาจจะไม่ใช่สิ่งที่ดีต่อนาง กลับจะเป็การทำร้ายนางแทน
“ไม่ไปแล้วหรีอ?” เสิ่นเยี่ยนเห็นสีหน้าของกู้เจิงดูเหมือนจะถอดใจ
“ไม่ไปแล้วเ้าค่ะ สิ่งที่ข้าคิดว่าดีไม่แน่ว่าจะดีสำหรับนาง” กู้เจิงถอนหายใจ
ตอนนี้ลุงรองกับป้ารองได้เดินออกมาจากห้องเพื่อไปส่งแขก เสิ่นกุ้ยก็ออกมาส่งแขกเช่นกัน เขาหน้าแดงก่ำยิ่งกว่าเมื่อครู่ที่กู้เจิงเห็นเสียอีก
เมื่อแขกต่างกลับไปหมดแล้ว ในบ้านจึงเหลือแต่คนตระกูลเสิ่น ทุกคนจึงคุยเื่ของเหมยเอ๋อร์อย่างห่วงใย มีผู้อาสุโสคนหนึ่งถึงกับด่าพี่เขยคนนั้นว่าไม่ใช่มนุษย์ เขาบอกว่าเสิ่นเหมยเอ๋อร์ได้พยายามประคับประคองครอบครัวเอาไว้ ทว่าชายคนนั้นกลับทำพังพินาศ
กู้เจิงกับเสิ่นเยี่ยนยืนอยู่หน้าประตูเรือนรอท่านพ่อท่านแม่ เพื่อที่จะกลับบ้านพร้อมๆ กัน
กู้เจิงเอาแต่ก้มหน้าเตะก้อนหินเล็กๆ บนพื้นอยู่ตลอดเวลา เสิ่นเยี่ยนจึงถามอย่างเฉยเมยว่า “เ้าคิดอะไรอยู่?”
“ข้าสงสัยว่าพี่เหมยเอ๋อร์จะถูกทุกคนโน้มน้าวให้กลับไปหาเขาหรือไม่เ้าคะ? ข้ายังคิดอยู่ว่า ถ้าพี่เขยใหญ่บอกแล้วว่า้าหย่ากับนาง งั้นแสดงว่าสำหรับเขาแล้วสตรีอื่นสำคัญกว่าพี่เหมยเอ๋อร์อีกใช่ไหม? ดังนั้น ถึงแม้พี่เหมยเอ๋อร์จะยอมกลับไปหาเขา แต่สุดท้ายพี่เขยใหญ่ก็ยัง้าอนุภรรยาอยู่ดีกระมังเ้าคะ?”
“แล้วยังไงต่อ" เสิ่นเยี่ยนรู้ว่ากู้เจิงต้องอยากจะพูดอะไรอีก
“ในสถานการณ์แบบนี้ นางต้องทนทุกข์รับความไม่เป็ธรรมมากแค่ไหนกัน? ความเ็ปเหล่านี้ นางต้องอดทนไปทั้งชีวิต ทำไมคนๆ นึงถึงต้องมาพบเจอเื่อะไรแบบนี้กัน” กู้เจิงพูดอย่างเศร้าสร้อยด้วยความปวดใจในฐานะที่เป็สตรีเหมือนกัน
“บุรุษเช่นนี้ คุ้มกับที่นางต้องอดทนไปทั้งชีวิตจริงๆ น่ะหรือ? มีครั้งแรกแล้ว ก็ต้องมีครั้งที่สอง ใช่ไหมเ้าคะ?”
“ผู้ชายส่วนใหญ่บนโลกนี้ล้วนมีสามภรรยาสี่อนุ ไม่ใช่เื่แปลกที่พี่เขยจะมีอนุ”
“แต่นางเป็ภรรยาที่ถูกต้องตามธรรมเนียมของเขา ทำงานบ้านให้เขา คลอดลูกให้เขา ต่อให้จะรับอนุก็ต้องให้นางยอมรับด้วยใจ หากนางไม่รับแล้วจะพูดเื่หย่าเช่นนี้ออกมา มันจะออกจะโหดเกินไปเ้าค่ะ”
“ท่านลุง ท่านป้า ท่านพ่อ ท่านแม่ พี่ใหญ่” เสิ่นเยี่ยนะโเรียกทุกๆ คน
กู้เจิงรีบเงยหน้าขึ้นมอง ไม่รู้ว่าทุกคนออกมายืนอยู่หน้าเรือนั้แ่เมื่อไหร่ ไม่รู้ว่ายืนอยู่นานแค่ไหนและได้ยินอะไรไปเท่าไหร่ ทุกคนต่างทำท่าครุ่นคิด
กู้เจิงมองเสิ่นเยี่ยนอย่างคาดโทษ ที่ไม่บอกนางว่าคนอื่นๆ ออกมากันแล้ว ไม่รู้ว่าพวกเขาได้ยินคำพูดของนางมากน้อยเพียงใด
เสิ่นเหมยเอ๋อร์น้ำตารื้นขึ้นมา แต่วันนี้เป็วันดีของอากุ้ย นางไม่ควรจะร้องไห้ออกมา นางจึงรีบเช็ดน้ำตาพลางยิ้มมองกู้เจิงที่มีสีหน้ารู้สึกผิด “ข้าได้ฟังคำพูดของน้องสะใภ้แล้ว เ้าพูดถูก บุรุษเช่นนี้ ไม่คุ้มกับที่ข้าจะต้องอดกลั้นไปทั้งชีวิตจริงๆ”
“พี่เหมยเอ๋อร์ สิ่งที่ข้าพูดเป็เพียงความคิดของตัวข้าเอง แต่เื่นี้เป็เื่ใหญ่ของท่าน ท่านต้องคิดให้ดีเ้าค่ะ” กู้เจิงรีบบอก นางไม่อยากให้พี่เหมยเอ๋อร์ด่วนตัดสินใจเพราะได้ฟังความคิดของนาง สำหรับสตรีในยุคนี้ คำพูดของเสิ่นเยี่ยนนั้นออกจะสอดคล้องกับความเป็จริงยิ่งกว่า
“ข้าน่ะ สิ่งที่กังวลมากที่สุดก็คือลูก ถ้าข้าถูกให้หย่าแล้วต้องกลับมาอยู่ที่บ้าน นั่นจะถือเป็การตัดความสัมพันธ์ระหว่างแม่ลูก” พอคิดถึงบุตร เสิ่นเหมยเอ๋อร์ก็อดน้ำตาไหลไม่ได้
“พี่ใหญ่” เสิ่นเยี่ยนยิ้มบางๆ “ถ้าท่านตัดสินใจจะหย่ากับพี่เขย เื่ลูกข้าจะหาทางช่วย ข้าจะจัดการให้ลูกได้ตามไปอยู่กับท่านแน่นอน”
“จริงหรือ?” เสิ่นเหมยเอ๋อร์มองเขาอย่างมีความหวัง
“ข้าเคยโกหกท่านที่ไหนกัน?”
เสิ่นเหมยเอ๋อร์เกิดความหวังในดวงตาอันมืดหม่น นางพยักหน้า “ได้ เช่นนั้นข้าจะไตร่ตรองให้รอบคอบก่อนตัดสินใจ”
หลังจากพูดคุยธุระกันเสร็จ ทุกคนก็ต่างแยกย้ายกันกลับเรือนของตน กู้เจิงและเสิ่นเยี่ยนเดินช้าๆ โดยมีนายท่านเสิ่นและนายหญิงเสิ่นเดินอยู่ข้างหน้า
อากาศยามค่ำคืนใน่ต้นฤดูใบไม้ผลิช่างกำลังพอดี ดวงดาวส่องแสงระยิบระรับ แสงจันทร์ทอประกายอบอุ่น
“ยังโกรธข้าอยู่อีกหรือ?” เสิ่นเยี่ยนถามขึ้นเบาๆ
“ท่านเห็นพวกเขาอยู่ก่อนแล้ว แต่จงใจไม่บอก ใช่ไหมเ้าคะ?” กู้เจิงยังหงุดหงิดอยู่
“ข้าเห็นอยู่ก่อนแล้ว”
กู้เจิงเอ่ยอย่างฮึดฮัดและกังวลเอยู่หลายส่วน “ทำไมท่านไม่บอกข้าบ้างว่าพวกเขาออกมากันแล้ว พวกเขาจะคิดว่าข้าทำเื่เล็กให้เป็เื่ใหญ่ไหมเ้าคะ?”
เสิ่นเยี่ยนจับมือภรรยาเดินไปตามทางช้าๆ ทิ้งระยะห่างจากท่านพ่อท่านแม่ “ไม่หรอก ถึงแม้ทุกคนจะเกลี้ยกล่อมให้พี่ใหญ่กลับไปหาพี่เขย แต่ทุกคนก็อดสงสารนางไม่ได้ และรู้ดีว่าถึงนางกลับไปก็จะต้องไม่มีความสุขอยู่ดี”
“ในเมื่อทุกคนก็รู้ งั้นทำไมท่านถึงไม่อยากให้ข้าพูดล่ะเ้าคะ?”
“ความคิดของเ้าไม่แน่ว่าทุกคนจะเห็นด้วย และสิ่งสำคัญยิ่งกว่านั้น เรายังเป็เด็กในสายตาของผู้าุโ เ่าั้ เราผ่านโลกกันมาเท่าไหร่เมื่อเทียบกันกับพวกเขา สิ่งที่เราพูดจะมีสักกี่คนที่วางใจ”
กู้เจิงคิดไตร่ตรอง ที่แท้เหตุผลเป็เช่นนี้เองหรือ
เสิ่นเยี่ยนเปลี่ยนเื่ “จริงสิ พรุ่งนี้แวะไปดูที่เรือนใหม่กันเถอะ”
“เรือนใหม่?” กู้เจิงทวนคำ
“ได้เวลาย้ายบ้านแล้ว” เสิ่นเยี่ยนพูดประโยคที่เหมือนมีนัยแฝง
เช้าวันใหม่เมื่อกู้เจิงตื่นขึ้น นางพบว่าชุนหงไปออกไปที่หอสมุดแต่เช้าตรู่แล้ว
เสิ่นเยี่ยนก็ออกไปทำงานั้แ่เช้าตรู่แล้ว ส่วนพ่อแม่สามีคงจะไปช่วยเก็บงานที่บ้านของท่านลุงรองั้แ่เช้าแล้วเหมือนกัน กู้เจิงจึงได้แต่ขับรถม้าไปที่เรือนหลังใหม่คนเดียว
เรือนใหม่ของพวกนางเป็ที่พักของทางการ ที่เสิ่นเยี่ยนได้รับมาจากการเป็ผู้ช่วยในสำนักราชเลขา เรือนใหม่นี้อยู่ใกล้กับจวนกู้มาก ดังนั้นเมื่อรถม้าขับผ่านจวนกู้ นางจึงจอดแวะก่อน
ไม่คิดว่าวันนี้ท่านพ่อกับนายหญิงจะไม่อยู่ แม้แต่กู้เหยากับเจิ้งชินก็ไม่อยู่บ้านเช่นกัน มีเพียงซู่เหนียงที่อยู่ในเรือน นางดีใจมากที่ได้เห็นบุตรสาวมาหา
กู้เจิงอบอุ่นทุกครั้งที่ได้พบหน้ากับหวังซู่เหนียง เพราะซู่เหนียงจะดึงนางไปกอดทุกครั้งที่พบหน้ากัน
“ได้ยินพ่อเ้าบอกว่า วันที่หอสมุดของเ้าเปิดก็มีคนไปแออัดกันเต็มไปหมดเลยหรือ?” หวังซู่เหนียงมองบุตรสาวอย่างภาคภูมิใจ
“เหมือนจะเป็เช่นนั้นจริงๆ เ้าค่ะ” กู้เจิงยืดอกอย่างภูมิใจ
“ดูท่าทางอิ่มอกอิ่มใจของเ้าสิ” นางบีบจมูกได้รูปของบุตรสาว “ทำไมวันนี้ถึงคิดจะมาหาได้เล่า?”
“วันนี้จะไปดูเรือนหลังใหม่เ้าค่ะ ไปดูว่าวันไหนเหมาะสมจะย้ายเข้าไป” กู้เจิงตอบคำถาม
“บ้านก็อยู่แถวนี้ ข้าไปช่วยดูให้เ้าดีไหม” หวังซู่เหนียงรีบกล่าวต่อ “ส่วนวันที่จะย้ายเข้าไป ข้าเคยคำนวณให้เ้าแล้ว คืออีกสองวันให้หลังนี้”
กู้เจิง “...” อ้อ ซู่เหนียงช่างขยันจริงๆ “เหตุใดวันนี้ท่านพ่อกับนายหญิงถึงไม่อยู่ในจวนหรือเ้าคะ?”
“แม่ทัพเยี่ยนผู้นั้นจะหมั้นหมาย พ่อของเ้าจึงไปกล่าวแสดงความยินดี”
“แม่ทัพเยี่ยนคนไหนกันเ้าคะ?” ที่กู้เจิงรู้จักก็มีเพียงแม่ทัพเยี่ยนเดียว ในราชสำนักยังมีแม่ทัพเยี่ยนอื่นอีกหรือ?
“จะคนไหนได้เล่า? ก็เยี่ยนจื่อเซี่ยนน้าของฟู่ผิงเซียงเ้าคนชั่วร้ายนั่นแหละ”
กู้เจิงนึกว่าหูฝาดไป “เขาจะรับอนุหรือเ้าคะ? ไม่สิ ถ้าเป็อนุไม่ต้องหมั้นหมายหรอกกระมัง?”
“รับอนุอะไรกัน เขายังไม่ได้แต่งงานเลย” หวังซู่เหนียงกล่าวด้วยสีหน้ามีเลศนัย “เ้ารู้หรือไม่ว่าเ้าสาวที่หมั้นหมายด้วยคือใคร?”
“ใครเ้าคะ?”
“เป็หนิงซิ่วอิง” เห็นกู้เจิงเบิกตาโตอย่างใ หวังซู่เหนียงก็ส่ายหน้า “ข้ายังนึกว่าสาวน้อยคนนั้นจะต้องแต่งกับคุณชายรองแน่ แต่สุดท้ายก็ไปแต่งให้กับบุรุษที่มีกลิ่นอายคาวเืทั้งร่างเช่นนั้น ช่างน่าเสียดายจริงๆ”
กู้เจิงยังไม่อยากจะเชื่อ หนิงซิ่วอิงคนที่เคยอยากจะแต่งงานกับน้องรองคนนั้นน่ะหรือ แล้วทำไมนางถึงได้ไปหมั้นหมายกับแม่ทัพเยี่ยน? นี่มันจะเหมือนละครเกินไปแล้วกระมัง อายุของทั้งสองน่าจะห่างกันราวหนึ่งรอบ คุณหนูหนิงจะเรียกท่านแม่ทัพเยี่ยนว่าบิดายังได้เลย