คนจับงูยกตะขอเหล็กขึ้นมา ชายฉกรรจ์คนนั้นยังไม่ตาย เขายังคงนอนดิ้นอย่างทรมาน สีหน้าของคนจับงู ส่งเสียงหัวเราะเบาๆ อยู่ในลำคอ ราวกับดีใจที่ได้เห็นคนตาย
หยางหนิงรู้สึกขนลุก เขาคิดว่าชายผู้นี้เป็เพียงคนจับงูธรรมดา แต่ตอนนี้ดูไปแล้ว คนจับงูผู้นี้ไม่ใช่คนธรรมดาอย่างแน่นอน เมื่อครู่เขาพุ่งตัวออกมาจากพุ่มหญ้า ถึงแม้ร่างกายของเขากำยำ แต่การเคลื่อนไหวของเขาว่องไวนัก กระบวนท่าเดียวก็สามารถแทงตรงเป้าไปที่คอของชายฉกรรจ์คนนั้นได้อย่างง่ายดาย เขาจะต้องไม่ใช่คนจับงูธรรมดาแน่นอน
หยางหนิงดูจากการแต่งกายของเขาแล้ว พบว่าบนศีรษะของคนจับงูโพกผ้าเอาไว้ด้วย ทันใดนั้นเองเขาก็นึกถึงสู่อ๋องซื่อจื่อที่เคยได้พบที่เมืองหลวงขึ้นมา คนผู้นี้ดูๆ ไปก็เหมือนกับคนของสู่อ๋องซื่อจื่อที่โพกผ้าเลย
เขารู้ว่าที่ปาสู่มักจะพรางตัวเป็เื่ปกติที่เห็นได้บ่อย แต่ที่นี่คือจิงหนาน ไม่ใช่ดินแดนของเมืองสู่ ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดเขาถึงมาปรากฏตัวอยู่ที่นี่
ชายฉกรรจ์ดิ้นอยู่พักหนึ่ง ร่างกายเริ่มไร้เรี่ยวแรง แขนขาเริ่มอ่อนลง คนจับงูค่อยๆ สะบัดร่างของชายฉกรรจ์ออกจากตะขอเหล็ก จากนั้นก็ยื่นมือไปหยิบอะไรบางอย่างออกมา ท่ามกลางความมืด หยางหนิงเห็นไม่ชัดเจนนัก เห็นคนจับงูกำลังโรยผงอะไรบางอย่างลงไปที่ศพ ในใจก็คิดสงสัย แอบคิดว่าชายฉกรรจ์คนนั้นก็ตายไปแล้ว คนจับงูคิดจะทำอะไรกันแน่
คนจับงูเทผงลงไปที่ศพ จากนั้นก็เก็บของชิ้นนั้นกลับไป จากนั้นก็ไปหยิบงูที่สับไว้ที่เหลือโยนเข้าถุงกระสอบ
หยางหนิงได้กลิ่นเหม็นลอยมา กำลังแปลกใจ กลับเห็นที่ตัวศพมีควันลอยขึ้นมา ควันนั้นค่อนข้างบาง หยางหนิงจึงเห็นมันได้อย่างชัดเจน
คนจับงูผู้นี้ช่างเชี่ยวชาญในการจับงูยิ่งนัก เขาคุ้นเคยกับการเคลื่อนไหวของงูเป็อย่างดี พริบตาเดียวสามารถสับงูตัวใหญ่ออกได้ จากนั้นเขาก็ลุกขึ้นหยิบตะขอเหล็ก ถือถุงกระสอบ ไม่แม้แต่จะมองศพ จากนั้นก็หันหลังเดินจากไปเลย
หยางหนิงดูจนแน่ใจว่าคนจับงูไปแล้วจริงๆ ถึงได้เดินเข้าไปดู เมื่อไปถึงข้างศพเขาก็แทบอ้วก เห็นศพของชายฉกรรจ์เหลือแค่ครึ่งตัวเท่านั้น เนื้อเละ เห็นแต่กระดูก ส่วนครึ่งตัวบนหนังกับกระดูกก็ไม่เหลือแล้ว มีเพียงเืที่ไหลนองอยู่ที่พื้น ตอนนี้อีกไม่นานครึ่งตัวล่างของเขาก็จะเน่าเละจนสลายไป กลิ่นเหม็นเน่านั้นมาจากศพนี้นั่นเอง
หยางหนิงใช้มือปิดจมูก อากาศเริ่มหนาวเย็น ถึงแม้ชายฉกรรจ์จะไม่ใช่คนดีอะไรมากมาย แต่ว่าคนจับงูฆ่าเขาเช่นนี้ แถมยังสลายร่างเขาอีก เหี้ยมโหดยิ่งนัก หากเขาไม่ได้เห็นด้วยตาของตัวเอง ใครจะคิดว่าใน่เวลาสั้นๆ เช่นนี้หนังกับกระดูกจะสลายจนไม่เหลือเลย
หลังจากนั้นก็ได้ยินเสียงนกร้องมาจากบนฟ้า หยางหนิงเงยหน้าขึ้นไปมอง ท่ามกลางความมืด เห็นเหยี่ยวตัวหนึ่งกำลังบินโฉบมา เสียงของมันเหมือนสัตว์ป่ายิ่งนัก
หยางหนิงเพิ่งรู้ว่าในูเาแห่งนี้มีคนจับงูที่เหี้ยมโหดมากขนาดนี้ เขาเริ่มระวังตัวมากขึ้น แอบคิดว่าเมื่อครู่คนจับงูแอบซ่อนตัวอยู่หลังพุ่มไม้ หลังจากนั้นก็ไม่พูดมากความ เข้าจู่โจมในทันที ดังนั้นตัวเองต้องระวังตัวมากขึ้น จะให้คนจับงูมาลอบโจมตีไม่ได้
เขามองไปทางที่คนจับงูนั้นเดินจากไป ในใจก็สงสัยที่มาที่ไปของคนผู้นั้น แต่ตัวเองตอนนี้กำลังถูกไล่ล่า ไม่จำเป็ต้องไปหาเื่มาใส่หัวเพิ่มอีก จึงเดินไปอีกทางหนึ่ง
จวนเก่าตระกูลฉีถูกคนควบคุมเอาไว้หลายปีมาแล้ว ทางเมืองหลวงไม่รู้เื่นี้เลย ตอนนี้มารู้เื่นี้ก็ต้องใเป็ธรรมดา
แต่ที่ทำให้หยางหนิงสงสัยมาก นั่นก็คือหลังจากคนพวกนี้หลอกใช้ฉีเฉิงควบคุมจวนเก่าเอาไว้ สามปีมานี้ยังคงส่งเงินภาษีไปยังเมืองหลวงตามปกติ พวกเขาทำเพื่ออะไรกัน จวนโหวไม่มีความสงสัยเลย แต่ว่าพวกเขาทำไปทำไม พวกเขาอดทนมาถึงสามปี หากมีแผนการชั่วร้ายจริง คิดว่าต้องไม่ใช่เื่เล็กๆ
หัวหน้าของพวกมันก็น่าจะเป็จ้าวยวนที่ถูกเรียกว่า “ท่านผู้พิพากษา” แต่หยางหนิงคิดว่าน่าจะมีคนที่อยู่เื้ันี้อีก
จิ่นอีโหวเป็ตระกูลศักดินาที่ฮ่องเต้ทรงประทานให้ ตำแหน่งสูงศักดิ์ เป็ขุนนางตำแหน่งสำคัญของราชสำนัก ไม่มีทางกล้าลงมือกับจิ่นอีโหวหรอก แต่พวกของจ้าวยวนกลับกล้าที่จะควบคุมจวนเก่าเอาไว้ในมือ วางกับดักทำร้ายจิ่นอีซื่อจื่อ แน่นอนว่าเื่นี้คนธรรมดาก็คงไม่กล้าทำ
กับดักที่คลังหิน ใช้ควันไห่ถังบีบให้กู้ชิงฮั่นทำเื่น่าละอายกับตัวเอง วิธีต่ำช้าเช่นนี้ มันจะไม่มีทางเกิดขึ้น
จ้าวยวนคงรู้ดีว่า หากสามารถควบคุมตัวเขาได้ ก็จะคิดแผนการชั่วร้ายที่ใหญ่หลวงขึ้นมาแน่นอน
หากตัวเขาสามารถรอดไปได้ จะต้องกำจัดพวกนั้นไปอย่างแน่นอน แต่หยางหนิงรู้ดีว่าพวกนี้วางรากฐานที่นี่มาหลายปี จะต้องมีกำลังและอิทธิพลไม่น้อย หากอาศัยเพียงกำลังของตน คงไม่สามารถกำจัดคนพวกนี้ได้ แถมยังอาจจะย้อนกลับมาทำร้ายตนได้ด้วย ดังนั้นก่อนจะลงมือ จะต้องวางแผนเอากำลังคนให้ดี ก่อนอื่นจะต้องโยกเอาทหารจากทางเ้าเมืองเจียงหลิงมาล้อมไว้ก่อน
ด้วยฐานะของจิ่นอีโหว การขอกำลังทหารจากเ้าเมืองเจียงหลิง ไม่น่าจะเป็เื่ยากอะไร
กำลังคิดอยู่ว่าหลังจากที่รอดไปได้แล้วจะทำอย่างไรต่อ ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงลมลอยมา ดาบคมๆ เล่มหนึ่งกำลังพุ่งมาที่ตัวเขา
ปฏิกิริยาของหยางหนิงนั้นไวมาก เขาไม่ได้หลบไปข้างๆ แต่ย่อตัวลง จากนั้นก็วิ่งพุ่งเข้าไปชนคนที่ลงมือ ความเร็วเขาเร็วยิ่งนัก คนผู้นั้นคิดไม่ถึงว่าหยางหนิงจะมาไม้นี้ หยางหนิงชนเข้าไปอย่างแรง คนผู้นั้นร้องขึ้นมาว่า “โอ๊ย” แต่คนนั้นร่างกายกำยำ หยางหนิงร่างกายบอบบาง ขณะที่ชน ถึงแม้เขาจะถอยไปสองก้าว แต่ก็ไม่ได้ล้มลง
หยางหนิงไม่มีทางปล่อยให้เขามีโอกาสครั้งที่สองอย่างแน่นอน ตอนนี้เอง หากมีเมตตากับศัตรูมันคือการทำผิดกับตัวเอง เขายื่นมือออกไป ใช้มีดสั้นของตัวเองแทงเข้าไปที่หัวใจของอีกฝ่าย
เขารู้จักจุดต่างๆ ในร่างกายดี ถึงแม้ในสถานการณ์คับขันเช่นนี้ แต่เขาก็สามารถเล็งไปที่เป้าหมายของอีกฝ่ายได้อย่างชัดเจนและแม่นยำ จากนั้นเขาก็ดึงเอามีดออก หลบไปข้างๆ คนผู้นั้นยืนโซซัดโซเซไปมา จากนั้นก็ล้มลง หยางหนิงเห็นคนผู้นั้นสวมชุดที่คล้ายกับพวกของจ้าวยวน
ทันใดนั้นเองก็ได้ยินเสียงหัวเราะร่าพร้อมพูดว่า “ซื่อจื่อฝีมือท่านช่างร้ายกาจยิ่งนัก แต่ว่าท่านไม่มีทางหนีรอดไปได้แล้ว” มันเป็เสียงของจ้าวยวน หยางหนิงเงยหน้าไปมอง เห็นร่างของเขาอยู่ห่างไม่กี่ก้าว เงาของคนผู้นั้นกำลังยืนอยู่ตรงนั้น ในมือถือของอะไรบางอย่าง เมื่อมองดูอย่างละเอียดแล้วมันเป็ธนูที่กำลังเล็งมาที่ตัวเขา
“ซื่อจื่อเกิดในตระกูลนักรบ ก็น่าจะรู้ว่ามันคืออะไร” จ้าวยวนยิ้ม “เมื่อยิงมันออกไป ชีวิตของซื่อจื่อก็จะทิ้งอยู่ตรงนี้”
หยางหนิงได้ยินเสียงดังขึ้น เมื่อหันไปมอง ก็เห็นมีคนสองคนถือดาบซ้ายคนขวาคน กำลังยื่นจ้องมาที่ตัวเอง
“เ้าคือฉีหนิงรึ” คนผู้หนึ่งมองมาที่หยางหนิง แล้วก็ใ จากนั้นก็ยิ้มอย่างร้ายกาจแล้วพูดว่า “ที่แท้เ้าก็คือจิ่นอีซื่อจื่อ คิดไม่ถึงว่าพวกเราจะได้เจอกันที่นี่ ก่อนหน้านี้เ้าไปสามหาวที่หมู่บ้านหลู่หวัง แม้แต่ผู้ดูแลหลัวเองยังถูกจับตัดเอ็นจนขาด ทำให้เขาลุกไปไหนมาไหนไม่ได้ คิดไม่ถึงเลยว่าตอนนี้จะมาอยู่ในกำมือของพวกข้าใช่หรือไม่เล่า?”
หยางหนิงได้ยินดังนั้น ในใจก็คิดว่าผู้ดูแลหลัวพวกนี้จะต้องเป็พวกที่ติดตามเขาไปที่หมู่บ้านหลู่หวังแน่ๆ
จ้าวยวนร้องออกมาว่า “อ่อ” จากนั้นก็มองไปที่หยางหนิง ยิ้มแล้วพูดว่า “ที่แท้คนที่ลงมือที่หมู่บ้านหลู่หวังคือเ้าเองรึ? ได้ยินชื่อเสียงไม่สู้มาเห็นหน้า ข้าคิดว่าจิ่นอีซื่อจื่อเป็คนที่ไร้ความสามารถ ตอนนี้ดูๆ ไปแล้ว ซื่อจื่อนี่ซ่อนความสามารถไว้เก่งกาจยิ่งนัก” จากนั้นก็เดินเข้าไปสองก้าว “เ้าฉลาดกว่าที่ข้าคิดไว้มาก... มีดในมือของเ้าเล่มนั้น มันเป็มีดที่ใช้ขูดกำแพงคลังหินอย่างนั้นหรือ? สามารถใช้ทำลายหินในเวลาสั้นๆ ได้ เป็มีดที่ไม่ธรรมดาเลยนะ”
“จ้าวยวน... อ่อ ไม่สิ ข้าต้องเรียกเ้าว่าผู้พิพากษาถึงจะถูก” หยางหนิงจ้องไปที่จ้าวยวน อีกทั้งระวังสองคนข้างหลังจะลอบทำร้ายอีกด้วย “พวกเ้าวางแผนที่ชั่วช้าพวกนี้ พวกเ้าทำเพื่ออะไรกัน?”
จ้าวยวนพูดกับหยางหนิงว่า “ซื่อจื่อวางมีดลงก่อนเถอะนะ”
“พวกเ้าสามคนอยู่ตรงนี้ ธนูยังอยู่ในมือ ยังจะต้องกลัวข้าอีกรึ?” หยางหนิงยิ้มแสร้งทำเป็ยิ้มแล้วพูดว่า “แม้แต่จวนเก่าจิ่นอีโหวยังกล้ายึด ข้าคิดเ้าก็มีความกล้าไม่เบาเลยนะ”
จ้าวยวนยิ้มแล้วพูดว่า “จิ่นอีซื่อจื่ออย่างเ้ามันเ้าเล่ห์นัก ข้าทำอะไรระวังตัวตลอด ไม่มีทางให้ตัวเองต้องเดือดร้อนหรือเสี่ยงแน่นอน มีดยังอยู่ในมือของเ้า ข้าไม่วางใจ” ธนูในมือค่อยๆ ยกขึ้น “ซื่อจื่อท่านเชื่อฟังพวกข้าจะดีกว่า ไม่อย่างนั้นเกิดข้าร้อนใจขึ้นมา ไม่ทันระวัง ยิงธนูออกไปจะทำอย่างไร”
หยางหนิงคลี่ยิ้ม แล้วทิ้งมีดไปที่ปลายเท้า จ้าวยวนถอนหายใจแล้วพูดว่า “ซื่อจื่อ จริงๆ ท่านไม่น่ามาลำบากเช่นนี้ หากท่านอยู่ในคลังหินแล้วมีอะไรกับกู้ชิงฮั่นเสีย ก็อาจจะไม่ต้องมาตายเช่นนี้ แต่ว่าตอนนี้ข้าก็รับประกันอะไรไม่ได้”
“หา?” หยางหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “เ้าไม่มีความลับของข้าแล้ว ก็ควบคุมข้าไม่ได้แล้วสินะ ดังนั้นก็เลยจะฆ่าข้าทิ้งอย่างนั้นหรือ?”
จ้าวยวนตอบกลับไปว่า “ซื่อจื่อท่านก็ฉลาดอยู่ไม่น้อย ครู่เดียวก็เดาเื่ราวออกแล้ว”
“ข้าก็แค่แปลกใจ พวกเ้ามียาปลุกกำหนัดนั่น แล้วเหตุใดจะต้องเสียเวลาหลอกข้าไปที่คลังหินที่แม่น้ำหงซาด้วย” หยางหนิงถามต่อว่า “พวกเ้าควบคุมจวนเก่าเอาไว้แล้ว วางกับดักที่จวนเก่า ไม่ง่ายกว่าหรือ?”
จ้าวยวนยิ้มแล้วพูดว่า “ข้าเคยบอกแล้ว ข้าทำอะไร จะต้องไม่พลาด หากให้เ้าอยู่กับกู้ชิงฮั่นบนเตียงเดียวกัน ก็ใช่ว่าจะทำไม่ได้ แต่ว่าถ้าเป็อย่างนั้นก็จะไม่มีข้ออ้างให้คนอื่นได้เห็นพวกเ้าอยู่ด้วยกัน ไม่มีคนนอก เื่นี้ก็จะไม่เป็ผล อีกทั้งคนที่เ้าพามาก็ไม่ใช่ธรรมดา หากมีคนเห็นช่องโหว่เข้า ก็จะแย่”
“ลำบากวางแผนกันจริงๆ เลย” หยางหนิงพูดต่อไปว่า “คนที่จวนเก่ารู้ว่าข้าออกมาตามหาฮูหยินสาม เ้าปิดปากพวกเขาได้อย่างไรกัน?”
“ซื่อจื่อช่างดูถูกพวกข้ายิ่งนัก หลายปีมานี้พวกเขาจับพิรุธไม่ได้เลยแม้แต่น้อย เพียงพวกข้าจงใจหวาดกลัวต่อฉีเฉิงหน่อยก็ไม่มีปัญหาแล้ว ขอพูดตามตรงเลยก็แล้วกันนะ ฉีเฉิงพูดคำเดียว ได้เื่กว่าซื่อจื่ออย่างท่านอีก” จ้าวยวนพูดด้วยท่าทีนิ่งเฉยว่า “จริงๆ พวกเราไม่มีประโยชน์ที่จะไปพูดเื่ที่ผ่านไปแล้ว ซื่อจื่อน่าจะคิดหาทางเอาชีวิตรอดตอนนี้เสียก่อนนะ”
หยางหนิงหัวเราะร่าออกมา “ธนูอยู่ในมือเ้า ตอนนี้ข้ามือเปล่า ข้าอยากจะมีชีวิตรอดไป ก็ต้องทำตามเงื่อนไขของเ้า”
“คนที่รู้สถานการณ์ตัวเองถือเป็คนฉลาด” จ้าวยวนหัวเราะ “ซื่อจื่อพูดมาแบบนี้แล้ว พวกเราก็พอจะคุยกันได้” ทันใดนั้นเอง เขาก็ยกมือขึ้นข้างหนึ่ง แล้วโยนของอย่างหนึ่งไปให้หยางหนิง หยางหนิงยื่นมือรับเอามา มันเป็ขวดเล็กขวดหนึ่ง จ้าวยวนพูดต่อว่า “ข้างในมียาอยู่สองเม็ด เพียงซื่อจื่อกินมันเข้าไป ก็จะรอด”