สตรีต่ำช้าล้วนมองคนด้วยสายตาสุนัขฮูหยินผู้นี้จะดีได้สักเท่าใด เขาเชื่ออย่างสุดใจว่าครานี้ตนไม่ได้ถูกช่วยก็แค่ออกจากหลุมเพลิงหนึ่งแล้วะโลงหลุมเพลิงอีกหลุมเท่านั้น คิดถึงตรงนี้เขาก็หันหน้าไปทางเวทีงิ้ว ไม่มองหลิ่วจิ้งตรงๆ แม้สักครั้ง
“เ้าน่ะ หูหนวกไม่ก็เป็ใบ้กระมัง”เด็กหนุ่มที่อยู่บนพื้นยามปกติมีท่าทีว่าง่าย กลับมองหลิ่วจิ้งด้วยสายตาไม่ยี่หระเป็ฮูหยินน้อยที่ชอบกินเด็กอีกคนสินะ? ใช้เงินห้าร้อยตำลึงซื้อตัวเขาสิ่งที่สตรีผู้นี้ขาดเหลือไม่ใช่เงินทองแต่คงเป็ความสำราญกระมัง
เขาไม่รับมือที่หลิ่วจิ้งยื่นให้แต่เอามือปัดตัวและลุกขึ้นมายืนเอง ท่าทีเ็าของเขาทำอิ๋งเหอโมโหหนักนางก้าวเข้าไปหาเขาก้าวหนึ่งแล้วเดินดูรอบตัวเด็กหนุ่มทั้งซ้ายขวา “ยังไม่รีบขอบคุณที่ฮูหยินมีบุญคุณช่วยเอาไว้อีก”
ที่แท้ก็เป็ฮูหยินที่มีเื้ัแม้แต่ยามสาวใช้ทนดูท่าทางเฉยชาของเขาไม่ไหวก็ยังออกปากอย่างไม่เกรงใจ
เด็กหนุ่มฟังคำนี้ พลันเกิดภาพน่าสะพรึงกลัวปรากฏขึ้นในหัวสมองอีกครั้งเป็ภาพที่เขาถูกคนคร่อมตัวอยู่ ต้องหันหน้าหนีปากไม่อาจขยับ
“เ้าร้องสิ เ้ามันหูหนวกหรือเป็ใบ้กันแม้แต่เสียงหึเสียงอือก็ยังร้องไม่เป็หรือ? หากไม่รู้มาก่อนข้ายังจะนึกว่าข้ากำลังโลมเล้าอยู่กับคนตายเสียอีก”
ใบหน้าเขาไร้ซึ่งอารมณ์ใดๆ มีเพียงมือที่กำหมัดแน่นเป็การส่งสัญญาณบอกถึงความคิดอ่านของเขา
หลิ่วจิ้งมองอิ๋งเหอด้วยสายตาตำหนิก่อนจะก้าวไปข้างหน้าบอกกับเด็กหนุ่มว่า “เ้าเจ็บที่ใดหรือไม่ เดินไหวหรือไม่”
เด็กหนุ่มกลับไม่ตอบคำ หลิ่วจิ้งจนปัญญา ได้แต่บอกกับชายที่รับเงินไปว่า“ยามนี้แลกเปลี่ยนเงินและสินค้าชัดเจนแล้ว ข้าพาคนไปได้แล้วกระมัง”
หลิ่วจิ้งเคยชินกับการจ่ายเงินมือหนึ่งรับสินค้าอีกมือหนึ่งจึงเอ่ยคำว่าเงินและสินค้า แต่เด็กหนุ่มที่มีความรู้สึกไวกลับได้ยินอยู่ในหูจริงดังว่า ในสายตาของสตรีผู้นั้น เขาก็เป็เพียงสินค้าชิ้นหนึ่งเช่นนี้แล้วกลับยังอยากให้เขาสำนึกบุญคุณ ถุย เขาดูแคลนสิ่งที่พบเห็นอยู่ในใจ
“ได้สิ ได้ ได้อยู่แล้ว” ชายผู้นั้นพยักหน้าพลางเท้าสะเอวหัวเราะลั่นจนเห็นฟันเหลืองๆทั้งปาก ทำเอาหลิ่วจิ้งขยะแขยงแทบตาย นางไม่อยากอยู่ที่นี่อีกต่อไปแล้ว
“พวกเราไปกัน” หลิ่วจิ้งพูดพลางเดินนำไปอิ๋งเหอรู้สึกไม่ดีต่อเด็กหนุ่มไร้มารยาทผู้นี้นักจึงไม่สนใจเขารีบเดินตามหลังหลิ่วจิ้งออกไป
อวี้จิ่นเงยหน้ามองเด็กหนุ่ม เมื่อเห็นว่าเขาไม่ขยับนางจึงเอ่ยทั้งสีหน้าเ็าว่า “เ้าไม่ไปหรือ คิดว่าฮูหยินไม่ควรยื่นมือเข้ามาซื้อตัวเ้าใช่หรือไม่หากเ้าไม่ยอมไปจริงๆ เช่นนั้นก็แล้วไป”
อวี้จิ่นว่าพลางหันไปมองชายที่รับเงินไปและแบมือให้เขา หวังจะเอาตั๋วเงินห้าร้อยตำลึงเงินคืน
“ยะ…ยะ…อย่า” ชายผู้นั้นพูดพร้อมกับรีบร้อนออกจากห้องไปจนไม่เห็นแม้แต่เงา
“เ้าจะไปหรือไม่” นางคิดว่ามัวแต่ยืดยาดอยู่อย่างนี้ ป่านนี้ฮูหยินคงออกไปจากโรงงิ้วแล้วกระมังอวี้จิ่นเองก็หมดความอดทนเช่นกัน ท้ายที่สุดเด็กหนุ่มก็ยอมเดินออกไปนอกประตูด้วยท่าทางฝืนใจเป็ที่สุด
จริงดังว่า ตอนอวี้จิ่นและเด็กหนุ่มผู้นั้นเดินออกมา ทั้งหลิ่วจิ้งกับอิ๋งเหอก็ลงบันไดไปนานแล้ว
อวี้จิ่นเร่งฝีเท้าไล่ตามส่วนเด็กหนุ่มผู้นั้นตามหลังมาอย่างเอ้อระเหย
เมื่อพวกเขาตามหลิ่วจิ้งเดินออกมานอกโรงงิ้วแล้วชายที่เพิ่งรับเงินไปก็กลับปรากฏตัวออกมาจากมุมหนึ่ง เขาเหลียวซ้ายแลขวามีเด็กที่ทำหน้าที่ต้อนรับแขกคนหนึ่งวิ่งมากระซิบข้างหูเขาจากนั้นทั้งสองคนก็แยกย้ายกันไป
“ทำบ้าอันใดอยู่นะ ครึ่งค่อนวันแล้วยังไม่ตามมาอีก”อิ๋งเหอเดินตามหลิ่วจิ้งออกมานอกโรงงิ้วแล้วหันหน้ากลับไปดูหลายครั้งแต่ก็ยังไม่เห็นอวี้จิ่นและเด็กหนุ่มผู้นั้นออกมาเสียทีจึงอดบ่นขึ้นมาไม่ได้
หลิ่วจิ้งหัวเราะ “อิ๋งเหอเ้ามีเวลามาบ่นอยู่ที่นี่มิสู้ออกไปดูว่ามีรถม้าผ่านมาหรือไม่ดีกว่า จะได้พาพวกเรากลับไป”
ทั้งสามคนเพิ่งออกจากเรือนกันเองเป็คราแรกจึงยังไม่มีประสบการณ์ คิดเพียงว่าจะเช่ารถม้าให้ส่งพวกนางมานี่แต่กลับลืมไปว่าที่แห่งนี้ไม่ใช่แหล่งชุมชน ใช่ว่าคิดจะเช่ารถม้าก็เช่าได้ทันที
ฉะนั้นเวลานี้หลิ่วจิ้งจึงกำลังกลุ้มใจอยู่ว่าจะไม่มีรถม้าพากลับไป
“อิ๋งเหอ มิเช่นนั้นเ้าก็เข้าไปลองถามคนต้อนรับในโรงงิ้วดูว่าจะหารถม้าเช่าที่ใกล้ที่สุดได้ที่ใด”นางกำลังสั่งความอิ๋งเหอ ก็พอดีมีรถม้าคันหนึ่งแล่นมาจากไกลๆชะเง้อมองไปเห็นว่ามีคนอยู่บนรถม้า
“เฮ้อ ถ้าไม่มีคนจะดีเพียงใดนะ” หลิ่วจิ้งทอดถอนใจ
พริบตาเดียวรถม้าคันนั้นก็มาถึงเบื้องหน้าหลิ่วจิ้งซ้ำยังหยุดอยู่ตรงหน้านางห่างไปไม่กี่ก้าวด้วย บังเอิญจริงๆรถม้าคันนั้นส่งแขกมาที่นี่ คิดว่าแขกที่มาก็คงมาชมงิ้วที่นี่เช่นกันกระมัง
หลิ่วจิ้งรีบเดินเข้าไป “คนขับส่งพวกข้ากลับไปที่จวนแม่ทัพได้หรือไม่ ไม่ขาดเงินค่ารถให้เ้าแน่นอน”
“เอ๋”
“เอ๋”
หลิ่วจิ้งเดินเข้าไปใกล้ๆจึงมองเห็นว่าคนขับรถม้าคันนั้นกลับเป็คนเดิมกับคนที่มาส่งนางตอนขามาทั้งนางและเขาจึงอุทานขึ้นพร้อมกัน มีเื่บังเอิญเช่นนี้ด้วยหรือนี่
หลิ่วจิ้งเริ่มระแวงขึ้นมาอีกครั้งเื่ที่บังเอิญเกินไปล้วนทำให้นางต้องยิ่งระวังตัว คงมิใช่ว่าคนขับรถม้าผู้นี้จะมารออยู่ข้างๆนานแล้วเพื่อรอนางออกมาโดยเฉพาะหรอกนะ
เมื่อครู่คนขับรถม้าเพิ่งจะรีบกลับไปจนกระทั่งไปถึงในย่านกลางเมืองที่เขาคุ้นเคยจึงปล่อยวางความกังวลในใจลงได้เขาเป็คนยืนด้วยลำแข้งตนเอง อย่าได้ต้องมาวุ่นวายเพราะพวกฮูหยินร่ำรวยแต่ไร้แก่นสารพวกนี้เลย
เขารีบทำตัวให้กระปรี้กระเปร่าแล้วไปหาแขกที่้ารถม้าต่อไม่นานก็ได้รับแขกผู้หนึ่ง เห็นทีว่าเขาจะเป็คนที่มีวาสนาเื่สตรีไม่เบาทีเดียวแขกที่มาเช่ารถครานี้ก็เป็สตรีคนหนึ่ง เด็กสาวผู้นั้นดูท่าทางเหนียมอายนักมองไปไม่มีท่าทีคุกคามแต่อย่างใด
ยามได้ยินสาวน้อยบอกว่านางก็จะไปที่ ‘คณะงิ้วสกุลอวิ๋น’ เช่นกัน เขาก็ยิ่งรู้สึกแปลกใจ วันนี้พิลึกจริงๆ เพิ่งจะไป ‘คณะงิ้วสกุลอวิ๋น’ มารอบหนึ่ง แล้วก็มีคนจะไปที่นั่นอีกแล้ว ที่จริงเขาไม่อยากไปเพราะผู้ใดจะรู้ว่าเขาอาจบังเอิญกลับไปเจอฮูหยินที่ดูแล้วไม่มีเจตนาดีเมื่อครู่อีกก็เป็ได้แต่เขากลับทนรับสายตาวิงวอนของเด็กสาวผู้นั้นไม่ไหว จึงตัดใจขับรถม้ามาครานี้
นึกไม่ถึงว่าทางนี้แขกเพิ่งจะลงจากรถ ทางนั้นก็มีแขกจะมาเช่ารถแล้วเขายังไม่ทันหายจากความยินดีที่วันนี้การค้าเป็ไปได้ดีเลย ทว่าพอหันหน้ากลับมาเรียกว่ากลัวสิ่งใดสิ่งนั้นก็มาจริงๆนี่ไม่ใช่ฮูหยินน้อยที่เขาเพิ่งจะมาส่งหรอกหรือ
ตอนนั้นเองอวี้จิ่นก็พาเด็กหนุ่มเดินออกมาพอดีเด็กหนุ่มเอาแต่ก้มหน้าก้มตามองพื้น ด้วยท่าทีราวกับถูกคนทรมานทรกรรมมา
ที่แท้ก็มาหาความสำราญจริงดังว่า แค่เพียง่เวลาสั้นๆก็จัดการเ้าเด็กนั่นเสียสภาพไม่เป็ผู้เป็คนทีเดียว คนขับรถม้ามองหลิ่วจิ้งด้วยสายตาถากถางพลางเตรียมจะหวดให้ม้าไป พวกสตรีขยะบ้ากามชนิดนี้ก็ให้พวกนางลำบากยืนรอรถม้าคันต่อไปเถิดไม่รู้เหมือนกันว่าพวกนางยังจะโชคดีขนาดนั้นหรือไม่ให้ที่สุดแล้วฟ้ามืดพวกนางก็ยังไม่ได้รถม้ายิ่งดี
“คนขับ เ้าก็ตอบมาสักคำสิ พวกเราจะเช่ารถเ้ากลับไปจวนแม่ทัพเ้าจะไปหรือไม่” หลิ่วจิ้งรออยู่นานกลับไม่ได้คำตอบจากคนขับรถม้า จึงเอ่ยถามไปอีกหน
คนขับรถม้ากำลังยกแส้ขึ้นสูงเตรียมจะหวดให้ม้าวิ่งเมื่อได้ยินคำว่าจวนแม่ทัพเข้ามาที่หูก็กลับหยุดเสีย
“ฮูหยิน เมื่อครู่บอกว่าจะไปที่ใดนะ” เขายืนขึ้นบนรถม้า ก้มหน้าลงมาถามจากข้างบน
“กลับจวนแม่ทัพ” อิ๋งเหอตอบไปแทนหลิ่วจิ้ง
“พวกท่านเป็คนของจวนแม่ทัพหรือ?” สีหน้าของคนขับรถม้าเปลี่ยนไปทันใด กลับมีความสงสัยอยู่เต็มใบหน้า
“โธ่เอ๊ย เ้านี้มันแปลกคนนักมีคนทำการค้าแล้วยังสอบถามให้ละเอียดเช่นนี้ด้วยหรือ ฮูหยินแค่จะเช่ารถเ้า เ้ากลับมาถามว่าพวกข้าเป็คนของจวนแม่ทัพหรือไม่นี่มันหมายความว่าอย่างไร?” อวี้จิ่นตอบไปอย่างไม่สบอารมณ์
“ใช่แล้ว พวกเราเป็คนในครอบครัวของท่านแม่ทัพ” หลิ่วจิ้งมองความสงสัยของคนขับรถม้าออกจึงบอกไปตามตรงเสียเลย นางอยากเห็นว่าคนขับรถม้าจะมีท่าทีตอบสนองอย่างไรเพราะจิตใต้สำนึกของนางบอกว่าคนผู้นี้ออกจะแปลกไปสักหน่อย ไม่รู้ว่าเป็พวกโจรคราก่อนหรือไม่จึงคิดจะตรวจสอบเื้ัของเขา
_____________________________
