หลินเฟิงจัดการเฟิงเซียวที่อยู่จุดสูงสุดของขอบเขตแห่งจิติญญาขั้นที่ 6 ได้ด้วยดัชนีพิฆาตเพียงท่าเดียว
แค่ดัชนีพิฆาตก็เพียงพอที่จะทำลายชีพจรของเฟิงเซียวได้ รวมถึงทำลายการบ่มเพาะของเฟิงเซียวด้วย
“พละกำลังช่างน่ากลัวยิ่งนัก”
ผู้คนมองหลินเฟิงอย่างสงบนิ่ง แต่ภายในใจกำลังสั่นระริก ไม่สงสัยเลยว่าทำไมต้วนหวู่หยาถึงกล่าวว่าหลินเฟิงสามารถเอาชนะเฮยม่อได้ เจตจำนงการต่อสู้นั่นราวกับมันแผดเผาฟ้าดิน มันช่างน่ากลัวเกินไปแล้ว
เจตจำนงนั่นสามารถกลืนกืนได้ทุกสิ่ง นี่สิคือพลังที่แท้จริงของผู้ฝึกยุทธ์
พวกเขาจะรู้ได้อย่างไรว่าหลินเฟิงเกือบจะสังหารเฮยม่อได้ ตอนนั้นพละกำลังของเขาไม่ได้แข็งแกร่งเหมือนวันนี้ เจตจำนงรวมไปถึงดัชนีพิฆาตถูกควบคุมโดยเจตจำนงดาบ ดาบศักดิ์สิทธิ์สีดำเล่มนั้นนับวันหลินเฟิงยิ่งรู้แจ้ง ซึ่งทำให้เกิดเจตจำนงอันไม่สิ้นสุด
ในขณะเดียวกันหลินเฟิงยังประหลาดใจกับตัวเองว่าทำไมจิติญญานักรบถึงได้แข็งแกร่งขนาดนี้ จิติญญานักรบบนคัมภีร์แห่ง์หน้าที่หนึ่ง ได้มอบประสาทััอันทรงพลังและเพิ่มพูนความเข้าใจของเขา ส่ววนหน้าที่สองได้มอบดาบเล่มหนึ่งให้แก่เขา นั่นก็คือดาบศักดิ์สิทธิ์ มันช่างน่าทึ่งมาก
แม้แต่ใจหลินเฟิงยังเกิดคำถามที่น่าขันว่า จิติญญานักรบนั้นมันคืออะไรกันแน่? ทำไมถึงมีหลายประเภทเช่นนี้ และยังเกิดเป็จิติญญาคัมภีร์แห่ง์ที่ยอดเยี่ยมราวกับปาฏิหาริย์อีก
ขณะนั้นเืได้ไหลมาจากมุมปากของเฟิงเซียงอย่างต่อเนื่อง ั์ตาของเขาเบิกกว้างมองหลินเฟิงอย่างไม่อยากเชื่อ ในแววตานั้นมีทั้งความประหลาดใจ ตกตะลึง และหวาดกลัว
หลินเฟิงทำลายการบ่มเพาะของเขา?
เมื่อตระหนักถึงความจริง ร่างของเฟิงเซียวก็สั่นสะท้านขึ้นมา อุณหภูมิในร่างกายเย็นลงอย่างไม่มีที่สิ้นสุด จนแผ่นหลังเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ
จากนี้เป็ต้นไปไม่มีอีกแล้วการบ่มเพาะ เขาเป็เพียงคนไร้น้ำยาคนหนึ่ง และคนไร้น้ำยาเช่นเขาจะถูกกลั่นแกล้งโดยคนในตระกูลนับแต่นี้เป็ต้นไป เขาจะไม่มีอำนาจในตระกูลอีก อีกทั้งเหล่าพี่น้องของเขาก็จะกลืนกินเขาจนไม่เหลือแม้แต่กระดูก
สิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่เฟิงเซียวต้องเผชิญ ความหวาดกลัวเกาะกินถึงส่วนลึกในจิตใจ เขารู้สึกเสียใจอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ทำไมกัน เขาแค่้าเปิดเผยตัวตน ไม่เพียงผลลัพธ์จะไม่สามารถเอาชนะใจองค์หญิงได้เท่านั้น แต่ยังตกอยู่ในสภาพน่าสมเพชเช่นนี้อีก ไม่ต้องเอ่ยถึงองค์หญิงที่อยู่เหนือกว่าเลย แม้แต่หญิงรับใช้ก็ต่างดูถูกเขา
ตระกูลใหญ่ล้วนมีอำนาจและอิทธิพล แต่ตระกูลใหญ่ก็มีกฎระเบียบรวมถึงความโศกเศร้าเช่นกัน
“เมื่อครู่พี่เฟิงว่าจะไม่สังหารข้าและเมตตาข้า ตอนนี้ข้าเพียงทำลายการบ่มเพาะของท่าน แต่จะไม่สังหารท่าน นั่นก็ถือว่าข้าเมตตาท่านมากแล้ว”
หลินเฟิงกล่าวแบบเดียวกับที่เฟิงเซียวได้กล่าวไว้
ตอนนี้เองที่เฟิงเซียวเพิ่งตระหนักได้ ว่าประโยคนั้นเขาได้กล่าวกับหลินเฟิงไปเมื่อไม่นาน
ในขณะนั้นร่างของหลินเฟิงพลันวูบไหว เขาคว้าร่างของเฟิงเซียวด้วยมือข้างหนึ่ง และเคลื่อนที่ไปตามผิวน้ำจนเกิดคลื่น ราวกับเป็ลูกศรที่แหวกว่ายไปเหนือผิวน้ำด้วยความรวดเร็ว
เพียงชั่วครู่หลินเฟิงเริ่มเข้าใกล้ศาลามากขึ้นเรื่อยๆ เขาเคลื่อนไหวราวกับนกั์ จากนั้นได้มาถึงภายในศาลา และโยนร่างของเฟิงเสี่ยวลงบนพื้นอย่างไม่แยแส
“ทักษะการเคลื่อนไหวช่างร้ายกาจยิ่งนัก”
ผู้คนต่างตกตะลึง เมื่อเทียบกับตอนที่เฟิงเซียวท้าประลองจบแล้ว การเคลื่อนไหวของหลินเฟิงนั้นถือว่าไม่รุนแรงและแสนธรรมดา แต่ในตอนนี้การเคลื่อนไหวกลับรวดเร็วกว่าเดิม จึงทำให้ฝูงชนต่างประหลาดใจ
ในความเป็จริงแล้ว หลินเฟิงนั้นไม่ชำนาญทักษะการเคลื่อนไหว เนื่องจากเขาไม่ได้ฝึกฝนมันมากนัก ยิ่งไปกว่านั้นทักษะการเคลื่อนไหวก็ไม่เกี่ยวข้องกับจิติญญานักรบ เพียงแต่เขาฝึกเคล็ดวิชาฉุนหยวนจนมั่นคงและกำหนดลมหายใจได้ แค่ลมหายใจเดียวก็ทรงพลังมาก ดังนั้นเขาจึงสามารถเคลื่อนไหวได้รวดเร็ว เพียงแค่ลมหายใจเดียวก็สามารถไปถึงศาลาได้
เมื่อเห็นเฟิงเซียวที่นอนบนพื้นเหมือนปลาตายทุกคนจึงไร้วาจาใดๆ เมื่อครู่นี้เป็เฟิงเซียวที่บอกว่า้าทำลายการบ่มเพาะของหลินเฟิงก่อน ซึ่งการกระทำของหลินเฟิงตอนนี้ถือว่าไม่เกินไปเลยสักนิด
“หลินเฟิง เ้าช่างยโสโอหังเกินไปแล้ว วันนี้ฝ่าาได้เชิญพวกเรามางานเลี้ยง และองค์หญิงก็อยู่ที่นี่ด้วย คาดไม่ถึงว่าเ้าจะโหดร้ายเช่นนี้ ไม่มีความเมตตาเลยสักนิด และยังทำลายการบ่มเพาะของเฟิงเซียวอีก เ้ากำลังทำให้องค์ชายรองขายหน้าอย่างงั้นหรือ?” ขณะนั้นมีเสียงเ็าดังขึ้นเสียงหนึ่ง ทำให้หลินเฟิงประหลาดใจ
เขาหันหลังไป และสายตาของหลินเฟิงก็ไปหยุดอยู่ที่เิชง และเิชงก็กล่าวอย่างเฉยเมยว่า “เ้ายังสามารถไร้ยางอายได้มากกว่านี้อีกไหม? ”
คาดไม่ถึงว่าเิชงจะพูดจาไร้สาระเช่นนี้ นั่นทำให้หลินเฟิงปลดปล่อยกลิ่นอายอันหนาวเหน็บออกมา
“หรือว่าข้าพูดผิด? เ้าทำลายการบ่มเพาะของเฟิงเซียว ทุกคนต่างเห็นทุกการกระทำของเ้า” เิชงกล่าวด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด
ปรากฏรอยยิ้มเ็าขึ้นที่มุมปากของหลินเฟิง เขาจ้องเิชงเขม็งและกล่าวว่า “ในเมื่อเ้าว่าข้าเหี้ยมโหด งั้นข้าจะโหดให้ดู! เิชง เมื่อครู่ทุกคนยังเห็นกับตาว่าเ้าได้ท้าทายข้าไว้”
เมื่อเิชงเห็นรอยยิ้มเยือกเย็นที่มุมปากของหลินเฟิง หัวใจของเขาพลันสั่นระริก และสีหน้าก็เปลี่ยนไป เขากล่าวว่า “เ้าเหี้ยมโหดเช่นนี้ ข้าเิชงจะไม่รับคำท้าจากเ้า”
“เ้ามันคนไร้ยางอายอย่างนี้สินะ?”
สีหน้าของหลินเฟิงฉายแววหยอกล้อ จากนั้นแววตาค่อยๆ เปลี่ยนไปเป็เ็า ก่อนกล่าวว่า “นึกจะสู้ก็สู้ นึกจะไม่สู้ก็จะไม่สู้ เ้าคิดว่าข้าเป็คนแบบไหนกัน?”
สิ้นเสียงของหลินเฟิง เขาก็พุ่งเข้าหาเิชงทันที
สีหน้าของเิชงเปลี่ยนไป จากนั้นร่างของเขาก็กะพริบและพุ่งออกนอกศาลา ถ้าแม้แต่เฟิงเซียวยังต้องสยบให้กับดัชนีพิฆาตของหลินเฟิง แล้วมีหรือที่เิชงจะรอดจากหลินเฟิงไปได้
ขณะนั้นหลินเฟิงะโขึ้นไปบนหลังคาของศาลา และมองไปร่างของเิชงแล้วแสยะยิ้มเหี้ยม เขาพลันปลดปล่อยคลื่นดาบอันทรงพลังออกมา
“กลับมาซะ!”
หลินเฟิงใช้ฝ่ามือฟาดฟันไปในอากาศ ทันใดนั้นคลื่นดาบที่ทรงพลังได้แหวกว่ายไปในอากาศอย่างต่อเนื่อง จนในที่สุดคลื่นดาบก็ปะทะร่างของเิชง
เิชงไม่สามารถเคลื่อนไหวในอากาศได้ เขาใช้ลมปราณเหือกสุดท้ายเพื่อหลบหนีจากการโจมตีของหลินเฟิง เดิมทีแล้วเิชงไม่สามารถต้านทานพลังได้ แม้คลื่นดาบของหลินเฟิงจะไม่รุนแรงมาก แต่มันก็เพียงพอที่จะจัดการเิชงได้
เมื่อคลื่นดาบเข้าปะทะร่างของเิชง ทำให้ร่างของเิชงต้องร่วงลงมาจากอากาศ
“ไอ้สารเลว เิชงผู้นี้ไม่มีทางปล่อยเ้าไปแน่!”
เิชงคำรามอย่างเกรี้ยวโกรธขณะดิ่งลงสู่ผืนทะเลสาบ แต่เขากลับเห็นหลินเฟิงยิ้มเยาะพลางกล่าวว่า “ในเมื่อเป็เช่นนี้ งั้นข้าก็จะไม่เกรงใจแล้ว”
น้ำเสียงเ็าของหลินเฟิงทำให้เิชงต้องแข็งทื่อ ขณะที่กำลังตกลงมา เขาหันหลังไปเห็นหลินเฟิงกำลังพุ่งมาหา สีหน้าของเขากลายเป็ซีดขาวราวกับกระดาษ เขาตระหนักได้ว่าไม่น่าพูดจาไร้สาระเช่นนั้นกับหลินเฟิงเลย
“วืด!!!”
มีเสียงหนึ่งดังขึ้น แล้วหลินเฟิงก็เคลื่อนที่มาถึงหน้าเิชง เขาใช้ดัชนีพิฆาตชี้ไปที่เิชงอย่างไม่ลังเล
ทันใดนั้นเจตจำนงดาบได้ปรากฏออกมาจากนิ้วของหลินเฟิงและแทงทะลุร่างของเิชง จนทำลายการบ่มเพาะของเิชงอย่างไม่ความเมตตาแม้แต่น้อย
“อ๊าก…!!!” เสียงที่เ็ปได้ออกมาจากปากของเิชง ทุกคนต่างรู้สึกได้ถึงกลิ่นอายอันหนาวเหน็บนั่น หลินเฟิงช่างน่ากลัวเกินไปแล้ว เดิมทีแล้วเขาไม่ได้้าทำเช่นนี้ แต่เมื่อบอกว่าลงมือก็ลงมือ ทำลายการบ่มเพาะก็ทำลายการบ่มเพาะ ไม่มีความหวาดกลัวใดๆ คนที่เหี้ยมโหดเช่นนี้พวกเขาเหล่าขุนนางต่างรู้กันดีว่าไม่ควรไปยุ่งด้วย
ไม่ว่าจะเป็คนดีหรือร้าย หากเหล่าขุนนางเจอคนที่ร้ายกาจกว่าพวกเขา พวกเขาต่างต้องระมัดระวังและหวาดกลัวเพื่อเอาตัวรอด
เห็นได้ชัดว่าหลินเฟิงได้สอนบทเรียนให้แก่พวกเขา ช่างเป็บทเรียนที่เข้าใจได้ง่ายยิ่งนัก
ทั้งยังเป็บทเรียนที่มีค่าใช้จ่ายคือการบ่มเพาะพลังของเฟิงเซียวรวมถึงเิชงอีกด้วย
หลินเฟิงแบกร่างของเิชงที่ถูกทำลายการบ่มเพาะกลับมาที่ศาลา จากนั้นเขาก็โยนร่างของเิชงลงบนพื้นข้างๆ เฟิงเซียว เิชงในตอนนี้มีท่าทางเซื่องซึม สีหน้าซีดขาว แม้แต่จะขยับตัวก็ไม่มีแรงพอที่จะขยับได้ ทำได้เพียงจ้องมองหลินเฟิงด้วยแววตาอาฆาต
“ไม่ต้องมองข้าขนาดนั้นก็ได้ หากข้าเป็เช่นเ้าในตอนนี้ พวกเ้าก็คงทำกับข้าเช่นนี้เหมือนกัน เดิมทีแล้ววันนี้ข้าไม่อยากทำอะไร แต่เป็พวกเ้าที่มายั่วยุก่อน ข้าจึงสนองความ้าให้ อย่างประโยคที่ว่า ‘ตาต่อตา ฟันต่อฟัน’ นั่นไงล่ะ”
สีหน้าของหลินเฟิงยังคงเฉยเมยราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น จากนั้นเขาก็เงยหน้าขึ้น กวาดสายตามองผู้คนและกล่าวว่า “ยังมีใครอยากลองอีกมั้ย? บอกมาตรงๆ แล้วข้าจะสนองความ้าให้”
เสียงของเขาดังก้องไปทั่วศาลา ทำให้สายตาของผู้คนต่างแข็งทื่อฉับพลัน เ้าหมอนี่ช่างบ้าระห่ำนัก ไม่ว่าใครก็ตามที่ท้าทายเขา เขาล้วนรับคำท้าทั้งสิ้น
ขณะนั้นหลินเฟิงได้ยืนอยู่ท่ามกลางผู้คน แม้ว่าจะอยู่ต่อหน้าผู้คน แต่ภายในใจเขากลับไม่มีใครอยู่ในสายตาเลย
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้