ตูม!
สิ้นเสียงดังสนั่น เงาร่างสองสายพลันแยกออกจากกัน
เฟิงฉางเกอยังคงยืนขวางหลงอวี้ไม่ขยับ ทั้งเด็ดเดี่ยวและหนักแน่นดุจูเาไท่ซาน
แต่ผู้าุโเฟิงเทียนเสียงกลับถูกกระแทกจนต้องถอยหลังไปหลายก้าว ใบหน้าซีดลงเล็กน้อย กลิ่นอายอสุราเบาบางลง เห็นได้ชัดว่าเสียท่าจากการปะทะกับเฟิงฉางเกอเมื่อครู่
“ เฟิงฉางเกอ เ้าเป็ถึงประมุขของตระกูล แต่กลับอนุญาตให้คนนอกตระกูลลงมือในหอวิทยายุทธ์เช่นนี้ ควรจะลงโทษเช่นไร ”
เฟิงเทียนเสียงจ้องเฟิงฉางเกอเขม็ง ทั้งสีหน้าและน้ำเสียงล้วนดุดันเกรี้ยวกราด
“ เช่นนั้นหรือ ในสายตาของเ้ายังมีประมุขตระกูลอย่างข้าอยู่ด้วย? ”
เฟิงฉางเกอกล่าวด้วยน้ำเสียงเฉยชา “ ถ้าเช่นนั้น ข้าจะใช้สิทธิ์ของประมุขตระกูล ขอประกาศว่า เฟิงลั่วใช้พลังอันรุนแรงก่อเื่ในหอวิทยายุทธ์อย่างไร้เหตุผล แล้วตอนนี้ยังถูกทำลายขาข้างหนึ่ง นั่นนับเป็บทลงโทษของตัวมันแล้ว! ส่วนหลงอวี้นั้นไร้ซึ่งความผิด ”
“ มันจะมากเกินไปแล้ว! ”
เฟิงเทียนเสียงแทบกระอักเื ดวงตาทั้งสองราวกับจะลุกเป็ไฟ
“ เ้าดูให้ดีว่าใครกันแน่ที่ทำเกินกว่าเหตุ ”
ดวงตาของเฟิงฉางเกอฉายแววดุดัน “ ในเมื่อเ้าไม่รักดี ประมุขเช่นข้าคงต้องลงโทษอีกครั้งแล้ว เฟิงเทียนเสียง ในฐานะที่เ้าเป็ผู้เฝ้าหอวิทยายุทธ์วันนี้ ทว่ากลับอนุญาตให้ลูกหลานตระกูลเฟิงต่อสู้กันภายในหอวิทยายุทธ์ ตามกฎของตระกูล เ้าต้องถูกยึดตำแหน่งผู้าุโ ั้แ่นี้ไป เ้าไม่ต้องมาเฝ้าหอวิทยายุทธ์อีก ”
“ เ้า! ”
เฟิงเทียนเสียงโมโหจนตาแทบถลน “ เฟิงฉางเกอ เ้ามีสิทธิ์อะไรมาปลดตำแหน่งผู้าุโของข้า ”
“ สิทธิ์ที่ข้าเป็ประมุขตระกูลอย่างไรเล่า ”
เฟิงฉางเกอกล่าวอย่างเด็ดขาดโดยไม่มีโอกาสให้โต้แย้งใดๆ
พริบตานั้นเอง เฟิงเทียนเสียงพลันหน้าซีดราวกับขี้เถ้า
ซวยแล้วคราวนี้!
ไม่เพียงแต่โดนยึดตำแหน่งผู้าุโเท่านั้น เขายังรักษาขาของเฟิงลั่วไว้ไม่ได้ด้วย เกรงว่าหลังจากนี้ยังต้องเผชิญหน้ากับการเอาผิดจากพี่ชายและบิดาของเฟิงลั่วอีก...
พอคิดถึงตรงนี้ เฟิงเทียนเสียงก็จ้องมองหลงอวี้ด้วยสายตาอาฆาต
เขาคิดว่าที่ตัวเองต้องกลายเป็แบบนี้ ก็เพราะเ้าสวะนี่ หากไม่ใช่เพราะมัน มีหรือที่เขาจะตกที่นั่งลำบากเช่นนี้!
แต่เขาแทบไม่เคยคิดเลยว่า ที่ผลลัพธ์กลายเป็แบบนี้ เพราะตัวเขาก่อเื่ขึ้นเองทั้งสิ้น
“ เสี่ยวอวี้ เ้าเป็อะไรไหม ”
เฟิงฉางเกอหันมายิ้มให้หลงอวี้อย่างอ่อนโยน
“ ไม่เป็ไรขอรับ ขอบพระคุณพ่อบุญธรรมที่เป็ห่วง ”
หลงอวี้ส่ายหน้าน้อยๆ
“ ถ้าเช่นนั้น เ้าไปเลือกวิชาในหอวิทยายุทธ์เถิด ”
เฟิงฉางเกอกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ ไม่จำเป็แล้ว พ่อบุญธรรม ข้าอยากออกเดินทาง ”
หลงอวี้ส่ายหน้า
ในเมื่อตัดสินใจออกจากตระกูลเฟิงแล้ว เขาไม่คิดจะไปแตะต้องวิทยายุทธ์ของตระกูลอีก
“ ออกเดินทางงั้นหรือ ”
เฟิงฉางเกอชะงักไปชั่วขณะ ก่อนจะหัวเราะเสียงเบา “ ประเสริฐยิ่ง ในเมื่อเ้าโค่นเฟิงลั่วได้ในกระบวนท่าเดียว เช่นนั้นคงสามารถเอาตัวรอดจากการเดินทางครั้งนี้ได้ บิดาเ้ามีคนรู้จักอยู่ที่ลัทธิสยบฟ้า เ้าลองไปที่ลัทธิสยบฟ้าดูก่อนจะดีหรือไม่ ”
“ ลัทธิสยบฟ้าหรือ ดีเลยขอรับ ”
หลงอวี้พยักหน้ารับทั้งดวงตาเป็ประกาย
คนรู้จักของท่านพ่อที่ลัทธิสยบฟ้าคือผู้ใดกัน?
แม้ตอนนี้จะยังไม่ทราบแน่ชัด คงต้องไปถึงลัทธิสยบฟ้าก่อน
ในเมื่อตัดสินใจได้แล้ว เขารีบออกเดินทางย่อมดีกว่า
หลงอวี้และเฟิงฉางเกอ เร่งออกจากหอวิทยายุทธ์เพื่อกลับไปเตรียมตัว
ส่วนเื่ราวที่เกิดขึ้นในหอวิทยายุทธ์นั้น ทั้งตระกูลเฟิงล้วนรับรู้ได้ภายในเวลาอันรวดเร็ว ไอ้เศษสวะหลงอวี้บัดนี้ไม่อาจดูถูกได้อีกต่อไป
นอกจากจะสลัดฉายาเศษสวะไปแล้ว เขายังสามารถขยี้ขาข้างหนึ่งของเฟิงลั่วทิ้งได้อีก นับว่าจิตใจทมิฬหินชาติยิ่งนัก!
จากนั้นก็มีข่าวลืออีกว่า เ้าหลงอวี้จะมุ่งหน้าไปที่สำนักน้ำแข็งเยือก วางแผนเข้าร่วมกับหนึ่งในเจ็ดสำนักลัทธิใหญ่ของอาณาจักรต้าถัง
“ เ้าสวะนั่นเนี่ยนะจะเข้าร่วมสำนัก ฝันลมๆ แล้งๆ! ”
“ นั่นสิ แค่ชนะไอ้ปัญญาอ่อนเฟิงลั่วได้ ก็คิดว่าตัวเองมีพร์มากนักหรือไร น่าขันสิ้นดี ”
“ พูดแบบนั้นก็ไม่ถูก บุตรสาวของท่านประมุขเป็ถึงลูกศิษย์แนวหน้าของสำนักน้ำแข็งเยือก ไม่แน่ว่าไอ้สวะหลงอวี้อาจใช้เส้นสายเข้าไปก็เป็ได้ ฮ่าๆ! ”
ภายในตระกูลเฟิง ผู้คนต่างพูดกันไปต่างๆ นานา โดยไม่รู้เลยว่าสิ่งที่พวกเขารู้ล้วนเป็เพียงข่าวลวง
เป้าหมายของหลงอวี้คือลัทธิสยบฟ้า หาใช่สำนักน้ำแข็งเยือก สำนักน้ำแข็งเยือกอยู่ทิศเหนือของเมืองอวี้กวน ส่วนลัทธิสยบฟ้าอยู่ทิศใต้ หนึ่งเหนือหนึ่งใต้ อยู่ห่างกันนับหมื่นลี้!
ที่ต้องทำเช่นนั้นเพราะหลงอวี้ทราบดีว่า เมื่อได้ขยี้ขาของเฟิงลั่วทิ้งไปหนึ่งข้างย่อมต้องมีคนที่ไม่ยอมจบเื่นี้ง่ายๆ
สองวันที่ผ่านมา ขณะเตรียมตัวออกเดินทาง บิดาของเฟิงลั่ว หรือพี่ชายของเฟิงฉางเกอเ้าของนาม ‘ เฟิงฉางเทียน ’ นั้นได้ทะเลาะกับเฟิงฉางเกอเสียใหญ่โตเพราะเื่นี้อยู่หลายครั้ง
ทันทีที่หลงอวี้ออกเดินทาง อีกฝ่ายย่อมต้องตามมาเล่นงานไม่ผิดแน่!
ดังนั้นเมื่อปล่อยข่าวไปเช่นนั้น แม้อีกฝ่ายคิดจะเล่นงานก็คงไม่มีทางหาร่องรอยของหลงอวี้เจอ
ค่ำคืนของอีกสามวันต่อมา หลงอวี้ที่เตรียมตัวเสร็จเรียบร้อย ได้เก็บเงินที่เฟิงฉางเกอเตรียมไว้สำหรับใช้เดินทางใส่กระเป๋า แล้วลอบออกไปจากเมืองอวี้กวน มุ่งหน้าสู่ทิศใต้
ลัทธิสยบฟ้าอยู่ห่างออกไปราวหมื่นลี้ ต่อให้ควบม้าไปก็ยังต้องใช้เวลาหลายวัน
“ โอสถยอดหยกระดับกลางเม็ดนี้เป็พ่อบุญธรรมที่อุตส่าห์เตรียมไว้ให้ แต่ในตัวข้าตอนนี้ยังมีพลังของโอสถหยกวิเศษเหลืออยู่ เช่นนั้นเก็บเอาไว้ก่อนก็แล้วกัน ”
ขณะที่หลงอวี้จากมา เมื่อหันกลับไปมองก็เห็นเพียงเมืองอวี้กวนที่อาบไล้แสงจันทร์เรืองรอง ในเมืองแห่งนี้มีเพียงเฟิงฉางเกอผู้เดียวที่เป็ห่วงเขาจากใจจริง
“ วางใจเถอะพ่อบุญธรรม ข้าจะยกระดับความสามารถให้เร็วที่สุด งานชุมนุมประจำตระกูลในอีกสามเดือนข้างหน้า ข้าจะกลับมาช่วยท่านเอง! ”
เมื่อตัดสินใจแล้ว เขาพลันเร่งฝีเท้าออกเดินทางไป
หลังจากที่หลงอวี้ออกเดินทาง ตระกูลเฟิงก็เกิดการเคลื่อนไหวขึ้น
มียอดฝีมือวิถียุทธ์จำนวนไม่น้อยที่มุ่งหน้าไปยังทิศเหนือเพื่อตามฆ่าหลงอวี้ แต่หลังจากไล่ตามอยู่หลายวันก็ยังไม่เห็นแม้แต่เงา คนพวกนั้นจึงรู้ตัวว่าถูกปั่นหัวเข้าแล้ว!
“ เสี่ยวอวี้ บัดนี้ตระกูลเฟิงไม่ค่อยสงบนัก หากเ้าสามารถลงหลักปักฐานในลัทธิสยบฟ้าได้ ย่อมดีกว่าอาศัยอยู่ในตระกูลเฟิงไม่น้อย ”
ณ ตระกูลเฟิง เฟิงฉางเกอยืนอยู่บนจุดสูงสุดของคฤหาสน์ ทอดสายตามองออกไปยังที่ไกลแสนไกลอยู่นาน ก่อนจะถอดถอนใจในที่สุด
ตระกูลเฟิงตอนนี้กำลังปั่นป่วน เกรงว่างานชุมนุมตระกูลในอีกสามเดือนคงได้กลายเป็วันแต่งตั้งประมุขคนใหม่!
......
ตลอดระยะเวลาสามวัน หลงอวี้ควบม้าตะบึงไปยังทิศที่ตั้งของลัทธิสยบฟ้า
พลังฟ้าดินจากโอสถหยกวิเศษที่เก็บไว้ในร่างกายค่อยๆ ถูกนำมาใช้ใน่เวลาที่ผ่านมา ระหว่างที่เข้าใกล้ลัทธิสยบฟ้า ก็สามารถทะลวงขีดจำกัดขึ้นสู่วิถียุทธ์ขั้นที่สามสำเร็จ
วิถียุทธ์ขั้นที่สาม มีพละกำลังกว่าสี่พันชั่ง หากรวมกับพลังหนึ่งพันชั่งที่ได้จากความสามารถของสัญลักษณ์ัเขียว เขาจะแข็งแกร่งกว่าผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสามทั่วไป
หลังจากก้าวสู่วรยุทธ์ขั้นที่สามแล้ว ดูเหมือนสัญลักษณ์ัเขียวจะเกิดการเปลี่ยนแปลงบางอย่าง แต่หลงอวี้ดูไม่ออกว่าเปลี่ยนไปตรงไหนจึงไม่ได้สนใจเื่นี้นัก
เช้าวันนี้ ในที่สุดหลงอวี้ก็เห็นเทือกเขาใหญ่ที่ทอดยาวสุดลูกหูลูกตา
เขารู้ได้ทันทีว่านั่นคือเทือกเขาสยบฟ้า ที่ตั้งของลัทธิสยบฟ้า!
“ลัทธิสยบฟ้าเป็หนึ่งในเจ็ดสำนักลัทธิใหญ่ของอาณาจักรต้าถังเช่นเดียวกับสำนักน้ำแข็งเยือกที่เฟิงเหยาเข้าร่วม”
หลงอวี้ควบม้าไปข้างหน้าพร้อมสำรวจเทือกเขานั้นพลางนึกถึงสิ่งที่บันทึกในหนังสือที่เคยอ่านในตระกูลเฟิง “ วิถีแห่งวรยุทธ์เก้าขั้น ยังมิใช้จุดสูงสุดของวรยุทธ์เหนือวิถีวรยุทธ์ทั้งเก้าขั้นยังมีขอบเขตที่แข็งแกร่งยิ่งกว่า ตัวตนระดับนั้น สามารถพบเห็นได้ที่ลัทธิสยบฟ้าเท่านั้น… ซึ่งตอนนี้เขาใกล้จะถึงที่หมายแล้ว! ”
ผ่านไปอีกครึ่งชั่วยาม หลงอวี้ได้ควบม้ามาหยุดตรงจุดที่ไม่ห่างจากเทือกเขามากนัก เบื้องหน้า เป็หุบเขาแห่งหนึ่งที่ถูกเรียกว่า ‘ หุบเขาสยบฟ้า ’ ที่ใช้เป็ทางเข้าไปสู่ลัทธิสยบฟ้าเพียงทางเดียว
ผู้ฝึกวรยุทธ์ที่จะเข้าร่วมลัทธิ หากผ่านหุบเขาสยบฟ้าไปได้ก็ถือว่าผ่านการทดสอบ ที่เป็เช่นนี้เพราะการจะผ่านเข้าไปในหุบเขานั้นไม่ใช่เื่ง่าย
ปากทางเข้าหุบเขาสยบฟ้ามีผู้ฝึกวรยุทธ์นับร้อยจากทั่วสารทิศกำลังพักผ่อนอยู่กลุ่มหนึ่ง
ผู้ฝึกวรยุทธ์เหล่านี้เป็ผู้ฝึกยุทธ์วัยเยาว์ที่อยากเข้าร่วมลัทธิสยบฟ้า ตามกฎแล้วอายุของผู้ฝึกวรยุทธ์วัยเยาว์นั้นห้ามเกินสิบแปดปี
หลงอวี้อายุสิบแปดปีพอดี หากช้ากว่านี้หนึ่งปีละก็ ลัทธิจะไม่รับเขาเป็ศิษย์เด็ดขาด ดูเหมือนหมัดของบ่าวรับใช้ร่างอ้วนจะนำโชคมาให้เขาจริงๆ
“ ไอ้ที่กำลังขี่ม้าอยู่นั่น จงลงมาหาข้าเดี๋ยวนี้! ”
น้ำเสียงเย่อหยิ่งจากสตรีนางหนึ่งพลันดังขึ้น ทำเอาหลงอวี้ถึงกับขมวดคิ้ว
เขาหันไปตามเสียงนั้น เห็นสาวน้อยชุดแดงท่าทางหยิ่งยโสนางหนึ่งกำลังเดินมาทางเขาพร้อมกับกลุ่มบ่าวรับใช้ที่รายล้อม
“ ข้าหมายถึงเ้านั่นแหละ จะมองหาอะไรอีก ”
สาวน้อยท่าทางจองหองคนนี้พอเห็นหลงอวี้ขมวดคิ้ว ก็ยิ่งรู้สึกรำคาญใจ “เพราะเ้าขี่ม้ามาแสดงว่ารู้วิธีดูแลม้าเป็อย่างดี ข้าจะเข้าไปในหุบเขาสยบฟ้าระหว่างนั้นเ้าจงดูแลไป๋เสวี่ยของข้าให้ดี หากเกิดอะไรขึ้นแม้เพียงเสี้ยวเดียวละก็ข้าเอาเื่เ้าแน่! ”
สาวน้อยพูดพลางชี้ม้าสีขาวท่าทางเหนื่อยล้าจนแทบสำลักตัวหนึ่งที่อยู่ด้านข้าง นี่คงเป็ ‘ ไป๋เสวี่ย ’ ที่นางพูดถึง
เมื่อนางกล่าวจบก็มองหลงอวี้อย่างวางมาด ราวกับว่าการได้ดูแลม้าของนางนับเป็เกียรติอันสูงส่งก็ไม่ปาน
ผู้คนรอบข้างเมื่อเห็นความวุ่นวายที่เกิดขึ้นก็เริ่มหันหน้าซุบซิบกัน
“ นั่นมันถานเยว่ นึกไม่ถึงว่านางจะมาด้วย ดูท่าวันนี้จะมีคนพิชิตยอดเขาสยบฟ้าได้อีกคนแล้ว ”
“ ถานเยว่เป็ใครหรือ ข้าว่านางดูหยิ่งยโสเหลือเกิน หรือนางจะมีเื้ั ”
“ ชู่ เบาเสียงหน่อย หากนางได้ยินเข้าเ้าซวยแน่! นางเป็คนของตระกูลถาน หนึ่งในสี่ตระกูลของเมืองอวี้กวน กล่าวกันว่าประมุขตระกูลถานเป็ยอดฝีมือวรยุทธ์ขั้นเก้า ทั้งเมืองอวี้กวนไม่มีใครกล้าแข็งข้อ! ”
“ ไม่เพียงแค่นั้น ถานเยว่ผู้นี้ยังมีพี่ชายเป็ศิษย์ขั้นสูงแห่งลัทธิสยบฟ้ามายาวนาน อันดับของเขาในบรรดาลูกศิษย์ขั้นสูงคงติดอยู่ในสามอันดับแรกไม่ผิดแน่อนาคตต้องประสบความสำเร็จแน่นอน! ”
พอได้ยินบทสนทนาของผู้คนรอบข้าง สาวน้อยถึงกับยืดอก เผยแววตาได้ใจราวกับตนเป็องค์หญิงผู้สูงส่งที่สุดในโลกก็ไม่ปาน
แต่ในสายตาของหลงอวี้ สาวน้อยตรงหน้าก็แค่คนเขลา
หญิงสาวนางนี้คิดว่าตัวเองเป็ใคร ถึงกล้าชี้นิ้วสั่งคนที่เพิ่งเห็นหน้าตรงทางเข้าหุบเขาให้ดูแลม้าราวกับบ่าวรับใช้กัน?
จากประสบการณ์ในอดีตของหลงอวี้ มีคำคำหนึ่งที่ใช้บรรยายสาวน้อยลักษณะเช่นนี้ได้ นั่นคือ คำว่า “โรคเ้าหญิง[1]”!
หลงอวี้มิได้สนใจถานเยว่ผู้หยิ่งยโสแม้แต่น้อย ทว่ากลับหันไปอีกทาง เตรียมมุ่งหน้าเข้าสู่หุบเขาสยบฟ้าทันที
ผู้ฝึกวรยุทธ์ต้องไม่หวาดกลัวต่อภัยอันตราย เมื่อคิดจะเข้าร่วมลัทธิสยบฟ้าก็ไม่ควรเสียเวลา แล้วมุ่งเข้าสู่หุบเขาสยบฟ้าทันที ยิ่งเื่ดูแลม้าที่เหนื่อยแทบอ้วกของถานเยว่นั้นก็ยิ่งแล้วใหญ่
ผู้คนรอบข้างพอเห็นการเคลื่อนไหวของหลงอวี้ก็พากันตกตะลึง
‘ ไอ้บ้าชุดดำนี่ กล้าเมินคำพูดของถานเยว่อย่างนั้นหรือ คงจะเบื่อชีวิตแล้วสินะ! ’
เป็อย่างที่คาด เมื่อถานเยว่เห็นหลงอวี้เดินจากไป สีหน้าของนางพลันเปลี่ยนเ็า
นางไม่คิดว่าในพื้นที่แถบนี้จะยังมีรุ่นเยาว์ที่กล้าเมินเฉยนางอยู่!
......
[1] เป็คำแสลงในภาษาจีน หมายถึงหญิงเอาแต่ใจ ที่ชอบให้คนอื่นมาดูแลเหมือนเ้าหญิง
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้