เว่ยเฉี่ยนมีทักษะยุทธ์ดีเยี่ยม แต่ฉีเฉินไหนเลยจะเป็คู่ต่อสู้กับมือสังหารที่ฝึกฝนมาเป็อย่างดีเ่าั้ได้ บัดนี้ได้เขาตกอยู่ในอันตราย ในขณะที่ดาบเล่มหนึ่งกำลังจะฟันมาที่ตัวเขา หนานกู่เยว่พุ่งเข้าไปบังเขาไว้อย่างไม่กลัวตาย สถานการณ์อันตรายเกินไป จวินหวงไม่มีทางเลือกจึงต้องใช้พิษช่วยหนานกู่เยว่ให้แคล้วคลาดจากดาบเล่มนี้ แต่ลงมือช้าไปนิดเดียว ดาบยังคงพุ่งไปที่หลังของหนานกู่เยว่ แต่ใน่เวลาวิกฤตินั้น เว่ยเฉี่ยนได้สะบัดก้อนหินก้อนหนึ่งเข้ามาปะทะด้านข้างของกระบี่ ส่วนที่ฟันลงมาที่หลังของหนานกู่เยว่จึงเป็เพียงสันดาบที่ปราศจากความคม
นางเจ็บจนล้มลงไปในอ้อมแขนของฉีเฉิน ม้ามและปอดได้รับาเ็จากแรงกระแทกจนกระอักเืออกมา จวินหวงสายตาเย็นเยียบ เอามือล้วงเข้าไปหยิบเข็มพิษจำนวนหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อแล้วปาไปยังมือสังหารเ่าั้ มือสังหารเ่าั้ตาเบิกโพลงราวกับลูกกระพรวน วินาทีถัดมาก็ร่วงลงกับพื้น
ฉีเฉินอุ้มองค์หญิงไว้เหงื่อแตกพลั่กด้วยความตื่นตระหนก ในดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความร้อนใจ "คุณชาย เ้าไม่เป็อะไรใช่ไหม?"
จวินหวงหัวคิ้วขมวดยุ่ง รีบวิ่งเข้าไปยกแขนของหนานกู่เยว่ขึ้นมา แล้วตรวจชีพจรให้นาง จากนั้นถึงค่อยถอนหายใจด้วยความโล่งอก "ฝ่าพระบาทโปรดวางพระทัย องค์หญิงไม่ได้เป็อะไรมาก เพียงแค่หลังถูกกระแทกอย่างแรงจึงสลบไปเท่านั้น อีกไม่นานก็ฟื้น"
ฉีเฉินได้ยินเช่นนั้นก็โล่งอก อีกเพียงนิดเดียวเท่านั้น เขานึกว่าตนเองจะต้องตายแล้ว แต่ก็อีกนิดเดียวเช่นกันที่เขานึกว่าตนเองจะต้องเสียหมากที่กำลังไปได้ดีไปเสียแล้ว
ในเวลานั้นเว่ยเฉี่ยนก็เดินเข้ามา ในมือถือป้ายหยกไว้ชิ้นหนึ่ง ซึ่งนางค้นมาได้จากตัวของมือสังหารคนที่เป็หัวหน้า นางส่งให้ฉีเฉินด้วยท่าทางนอบน้อม หลังจากฉีเฉินรับมาดู แววตาของเขาก็เปลี่ยนไปราวกับมีพยับเมฆก่อตัวขึ้นภายในดวงตา
"ป้ายหยกนี้มีอะไรผิดปกติหรือ?" จวินหวงเห็นท่าทางของฉีเฉินก็รู้แล้วว่าเื่นี้ไม่ใช่เรียบง่าย นางถามอย่างกังวล เพราะในใจกลัวว่าฉีอวิ๋นจะไม่เข้าใจสถานการณ์แจ่มแจ้งจึงส่งคนออกมา
"นี่เป็ของฮองเฮา" ฉีเฉินกล่าวเสียงเย็น จากนั้นก็แค่นเสียงหัวเราะออกมาคราหนึ่งก่อนจะสั่งให้เว่ยเฉี่ยนส่งจวินหวงกลับจวน ส่วนตนเองก็อุ้มหนานกู่เยว่ที่หมดสติเข้าไปในรถม้า แล้วขับรถม้าไปทางวังหลวง
ไม่ต้องถามจวินหวงก็รู้ว่าฉีเฉินคิดจะไปทำอะไร นางส่งเขาไปด้วยสายตา ในใจก็นึกปลงสังเวชแทนฮองเฮาผู้น่าสงสาร แต่คนที่น่าสงสารก็มักจะมาจากสถานที่ที่น่าชัง และมีแต่จะยิ่งทำให้คนเกลียดชังอยู่ร่ำไป
เมื่อเข้าไปถึงวังหลวงแล้ว ฉีเฉินก็ยังคงอุ้มหนานกู่เยว่ไปยังตำหนักหลวงของฮ่องเต้ ใบหน้าของเขาดูน่าสะพรึงกลัว ขันทีที่อยู่ด้านข้างไม่กล้าเข้าไปสอบถาม แต่เมื่อเห็นหนานกู่เยว่ที่หน้าซีดเผือดอยู่ในอ้อมแขนของฉีเฉินก็ตระหนกสุดขีด ไม่กล้าถ่วงเวลาให้ล่าช้า รีบเข้าไปรายงานทันที
"ใต้ฝ่าพระบาท รัชทายาทขอเข้าเฝ้า" ขันทีค่อยๆ กล่าวอย่างระมัดระวัง
ฮ่องเต้ที่กำลังตรวจสอบฎีกาอยู่เงยหน้าขึ้น พลางคิดว่าหลายวันมานี้ฉีเฉินไม่ได้มาที่นี่ มาครั้งนี้ไม่รู้ว่ามีเื่อะไร จึงเพียงขมวดพระขนงไม่ได้ตรัสสิ่งใด
ขันทีพิจารณาจากสีพระพักตร์ของฮ่องเต้ที่เปลี่ยนไป จึงสูดลมหายใจลึกๆ ก่อนจะกล่าวว่า "ยังมีองค์หญิงหนานกู่เยว่เสด็จมาพร้อมกันด้วยพ่ะย่ะค่ะ"
"เช่นนั้นยังไม่รีบเชิญเข้ามาอีก" ฮ่องเต้วางฎีกาลงแล้วกล่าวขึ้น ขันทีรับพระบัญชาแล้วก็ออกมาแจ้ง
ตอนที่ฉีเฉินอุ้มหนานกู่เยว่เข้าไป ฮ่องเต้ตกพระทัยอย่างยิ่ง พระองค์เข้ามาทอดพระเนตรสตรีที่ไม่มีทีท่าว่าจะฟื้นที่อยู่ในอ้อมแขนของฉีเฉิน แล้วสั่งให้คนรีบไปเชิญหมอหลวงมา และประคองหนานกู่เยว่ไปนอนที่ตั่งกุ้ยเฟยที่อยู่ด้านข้าง
"นี่มันเกิดอะไรขึ้น?"
"เดิมทีลูกนัดกับองค์หญิงออกไปท่องเที่ยว ใครจะรู้ว่าระหว่างทางจะพบกับมือสังหารที่ผู้หวังดีส่งมา องค์หญิงก็ได้รับาเ็จากสาเหตุนี้" ฉีเฉินหลุบสายตาต่ำลง แล้วล้วงเข้าไปในแขนเสื้อหยิบป้ายหยกสีเขียวมรกตชิ้นนั้นออกมา เหตุใดฮ่องเต้จะทรงจำไม่ได้เล่า?
พระองค์ทรงพิโรธอย่างหนัก ตรงดิ่งไปที่ตำหนักของฮองเฮาทันที ในยามนี้เป็เวลากลางวันท้องฟ้าแจ่มใส ฮองเฮาไม่คิดว่าฮ่องเต้ที่ราชกิจมีรัดตัวจะเสด็จมาได้ ก็ตกตะลึงไปชั่วขณะ แต่ไม่นานก็รู้สึกตัวรีบยอบกายคำนับ "หม่อมฉันไม่ทราบว่าใต้ฝ่าพระบาทจะเสด็จ จึงไม่ได้เตรียมการต้อนรับ ขอใต้ฝ่าพระบาททรงอภัยโทษ"
ฮ่องเต้ทรงมองฮองเฮาด้วยสายตาเย็นเยียบ มองจนกระทั่งฮองเฮารู้สึกหวาดกลัว จากนั้นนางก็มีท่าทางกระวนกระวายใจจริงๆ ฮ่องเต้โยนป้ายหยกไปตรงหน้า เมื่อฮองเฮาเห็นป้ายหยกก็หน้าถอดสี
"ฮองเฮา เ้าทำให้เราผิดหวังยิ่งนัก เ้าทำเื่กำเริบเสิบสานเช่นนี้ไปได้อย่างไร? รู้หรือไม่ว่าหากหนานกู่เยว่ตายในเป่ยฉีของข้า เช่นนั้นก็แสดงว่าเราเห็นหนานมู่เป็ศัตรู"
ฮองเฮาได้ยินเช่นนั้นก็เข่าอ่อนทรุดนั่งลงกับพื้น แววตาล่องลอย ความเคียดแค้นเกลียดชังทำให้นางตาบอด มาตอนนี้ย้อนกลับไปคิดก็นึกเสียใจไม่ทันแล้ว เหงื่อเย็นซึมออกมาเปียกชุ่มอาภรณ์
ฮ่องเต้ทรงมองดูสตรีที่ต่างถ้อยทีถ้อยอาศัยอยู่ร่วมชีวิตกันหลายสิบปี ในที่สุดก็ถอนพระปัสสาสะอย่างจนพระทัย ส่ายพระพักตร์แล้วตรัสว่า "สำหรับความผิดของเ้า ให้ถอดออกจากตำแหน่งฮองเฮา จากนี้ไปก็ให้อยู่ที่นี่ห้ามออกไปที่ไหนอีกเลยตลอดชีวิต!" ตรัสแล้วก็สะบัดแขนเสื้อเดินจากไป
ทางด้านหนานกู่เยว่ได้ฟื้นขึ้นมาแล้ว เมื่อลืมตาขึ้นมาก็เห็นหนานจี๋หานที่กำลังมองตนเองอยู่ท่าทางร้อนใจราวกับไฟเผา นางรู้สึกใเล็กน้อย เื่ทุกเื่ในวังหลวงแห่งนี้ มีเื่ไหนบ้างที่จะไม่แพร่ออกไปภายนอก หนานจี๋หานได้ยินว่าน้องสาวคนเล็กของตนเองได้รับาเ็ก็รีบเข้าวังอย่างเร่งด่วน
หนานกู่เยว่ไม่เห็นฉีเฉินก็รู้สึกวิตกกังวล พยายามประคองตัวลุกขึ้นมานั่ง นางดึงแขนของหนานจี๋หานไว้แล้วถามว่า "พี่ใหญ่ ฉีเฉินล่ะ? เขาเป็อะไรหรือไม่? ตอนนี้เขาอยู่ที่ไหน?"
หนานจี๋หานขมวดคิ้วยุ่ง มองไปด้านนอก หนานกู่เยว่ก็หันหน้าไปทางด้านนอก ก็เห็นใบหน้าที่กระวนกระวายใจของฉีเฉินที่ถูกหนานจี๋หานไล่ออกไปข้างนอก ในใจของนางรู้สึกลิงโลด "ฉีเฉิน ท่านรีบเข้ามาเร็วๆ"
ฉีเฉินได้ยินเสียงเรียกก็เดินเข้าไปโดยไม่สนใจอะไรอีก เมื่อเห็นหนานกู่เยว่นั่งอยู่บนเตียงยิ้มให้กับตนเอง เขาถึงถอนหายใจด้วยความโล่งอก ความกลัดกลุ้มบนใบหน้าเมื่อครู่พลันมลายหายสิ้น เวลานี้ฮ่องเต้ก็เสด็จกลับมา เมื่อทรงเห็นว่าหนานกู่เยว่ไม่ได้เป็อะไรมากก็โล่งพระทัย
"องค์หญิงรู้สึกไม่สบายตรงไหนหรือไม่?" ฮ่องเต้ตรัสถาม
หนานกู่เยว่ส่ายหน้า คิดจะกล่าวอะไรสักอย่างแต่ถูกหนานจี๋หานขัดจังหวะไว้ก่อน หนานจี๋หานกล่าวเสียงเย็น "กระหม่อมเห็นว่าใต้ฝ่าพระบาทควรจะอธิบายอะไรสักหน่อยเกี่ยวกับเื่ที่เกิดขึ้นในวันนี้หรือไม่?"
"เสด็จพี่ ท่านพูดอะไรน่ะ? เื่นี้เกี่ยวอันใดกับพวกเขา?" หนานกู่เยว่ขมวดคิ้วเครียดกล่าวขัดขึ้นมา จากนั้นก็ถูกหนานจี๋หานถลึงตาใส่ไปทีหนึ่ง
ฉีเฉินมองหนานกู่เยว่แล้วก็สูดลมหายใจลึกๆ แล้วยืนขึ้นกล่าวว่า "เื่นี้เหตุเกิดมาจากข้า ข้ายินดีรับผิดชอบทุกอย่าง"
"ฉีเฉิน คำกล่าวของท่านหมายความว่าอย่างไร?" หนานกู่เยว่กล่าวจบก็หันไปมองหนานจี๋หานและฮ่องเต้ แล้วกล่าวอย่างลนลาน "ตอนนี้ข้าขอประกาศว่า ข้าจะแต่งให้กับฉีเฉิน เื่นี้ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเขาแม้แต่น้อย หากไม่ใช่เพราะฉีเฉินเกรงว่าข้าคงจะสิ้นชีพไปนานแล้ว"
ทุกคนได้ฟังต่างตกตะลึงในฉับพลัน ผู้ที่มีปฏิกิริยาตอบรับก่อนก็คือฮ่องเต้ ทรงรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย "ที่องค์หญิงกล่าวมาเป็เื่จริงหรือ?"
"จริงแท้แน่นอน" หนานกู่เยว่มองฉีเฉินในวินาทีนั้น นางไม่ห่วงถึงความสำรวมที่สตรีพึงมีอีกแล้ว นางรู้สึกเพียงว่าหากไม่ได้พูดออกไป นางกลัวว่าฉีเฉินจะไปจากตนเอง
ฉีเฉินมองหนานกู่เยว่ด้วยความรู้สึกลึกซึ้ง ลมหายใจคล้ายจะหยุดลงปานนั้น เขาเริ่มมีปฏิกิริยาอีกครั้งก็เมื่อเห็นหนานกู่เยว่ยิ้มให้ตนเอง แล้วเอ่ยปากถามเขาว่า "ฉีเฉิน องค์หญิงเช่นข้าขอถามเ้า ว่าเ้ายินดีหรือไม่?"
เมื่อได้เห็นดวงตาที่เปี่ยมไปด้วยความรักของหนานกู่เยว่ ฉีเฉินก็นิ่งงันอยู่นานถึงยิ้มออกมาแล้วพยักหน้ารับ "หากองค์หญิงยินดีแต่งให้ข้า ข้าก็ย่อมยินดีแต่งกับองค์หญิงอยู่แล้ว"
ฮ่องเต้ย่อมไม่เปิดโอกาสให้หนานจี๋หานได้กล่าวสิ่งใด ออกพระโอษฐ์ขึ้นทันที "ในเมื่อองค์หญิงกับเฉินเอ๋อร์มีน้ำใสใจจริงต่อกัน เช่นนั้นเราก็จะอนุญาตงานสมรสของพวกเ้า"
หนานจี๋หานเห็นสองพ่อลูกร้องรับกันเป็ปี่เป็ขลุ่ย ก็ได้แต่มองดวงตาที่เปี่ยมไปด้วยรอยยิ้มแห่งความยินดีของหนานกู่เยว่ สุดท้ายก็ไม่พูดอะไรออกมา เขาปรารถนาเพียงให้หนานกู่เยว่มีความสุขกับเส้นทางที่ตนเองเป็ผู้เลือก แล้วตัวเขาก็เดินออกไป
ไม่เกินครึ่งวัน เื่งานอภิเษกสมรสเชื่อมสัมพันธ์ระหว่างฉีเฉินและหนานกู่เยว่ก็เป็ที่รู้กันทั่วทั้งเมือง หนานจี๋หานส่งคนไปแคว้นหนานมู่เพื่อนำเื่นี้กลับไปกราบบังคมทูล หนานกู่เยว่ก็เพียงแค่รอคอยงานอภิเษกสมรสระหว่างฉีเฉินกับนางด้วยใจระทึก
เมื่อกลับมาถึงจวนอ๋อง ฉีเฉินก็ตรงไปเรือนข้าง บังเอิญเห็นจวินหวงกำลังรดน้ำต้นไม้ดอกไม้อยู่พอดี ดูเหมือนว่ากำลังเพลิดเพลินอยู่กับตนเอง
"น้องเฟิงดูมีความสุขเช่นนี้อยู่ทุกวันเลยนะ" ฉีเฉินกล่าวแล้วเดินเข้าไป
จวินหวงได้ยินก็วางของในมือลงหันกลับมามอง แล้วก็เพียงยิ้มบางๆ ให้กับฉีเฉิน "ฝ่าพระบาทมีงานมงคลจิตใจย่อมเปี่ยมสุข ผู้น้อยควรจะแสดงความยินดีที่ฝ่าพระบาทอุ้มโฉมสะคราญกลับมาได้ถึงจะถูก"
ฉีเฉินได้ฟังวาจาแล้วก็ยิ่งยิ้มกว้าง ในความเห็นของเขา หนานกู่เยว่กำลังจะมาเป็ของตนเองในอีกไม่ช้า แล้วเขาจะไม่รู้สึกสบายใจได้อย่างไร
"โชคดีที่ได้แผนการอันเยี่ยมยอดของน้องเฟิง มิเช่นนั้นแล้วหนานกู่เยว่จะเสนอเื่อภิเษกสมรสออกมาเองเช่นนี้ได้อย่างไร"
"หากฝ่าพระบาทวางพระทัยในการทำงานของผู้น้อย ผู้น้อยอยากจะช่วยฝ่าพระบาทจัดงานฉลองมงคลสมรสในครั้งนี้" จวินหวงกล่าวพลางเงยหน้าขึ้นมองฉีเฉิน
ฉีเฉินนิ่งคิดไปชั่วครู่ ตอนนี้เขาเป็รัชทายาทแล้ว งานอภิเษกควรจะให้กรมพิธีการเป็ผู้จัดงาน แต่อย่างไรเฟิงไป๋อวี้ก็เป็คนที่เขาโปรดปราน ผ่านไปชั่วครู่เขาก็พยักหน้า "ในเมื่อเป็เช่นนี้ ก็ต้องรบกวนน้องเฟิงแล้ว ได้น้องเฟิงเป็คนจัดการเื่นี้เปิ่นหวางก็เบาใจ"
ดังนั้นฉีเฉินจึงมอบอำนาจในการจัดการเื่งานอภิเษกสมรสทั้งหมดให้จวินหวง ทั้งยังบอกกับทุกคนว่า หากใครกล้าขัดขวางการทำงานของจวินหวง เขาก็จะไม่เอาไว้ เมื่อคำกล่าวนี้ประกาศออกมา ใครจะกล้าทำอะไรจวินหวงได้
วันนี้จวินหวงไปหาโหรวเอ๋อร์ถึงที่พัก นางไม่ต้องมากมารยาทกล่าวเข้าเื่ทันที "องค์ชายสี่คงเคยบอกเป้าหมายที่เ้ามาที่นี่แล้ว ตอนนี้ข้าได้รับอำนาจในการจัดพิธีอภิเษกสมรสเรียบร้อย เื่คนคงต้องมอบหมายให้เ้าแล้ว ข้า้าคนในวันพรุ่งนี้"
โหรวเอ๋อร์เก็บภาพลักษณ์ที่ดูอ่อนแอในยามปกติลงไป ใบหน้าของนางในเวลานี้เรียบเฉยเ็าราวกับเปลี่ยนเป็คนละคน นางหยิบโคมส่งสารออกมา แล้วฉวยโอกาสที่คนไม่ได้สังเกตนำโคมออกไปวาง
เมื่อคนที่ฉีอวิ๋นมอบหมายให้เฝ้าอยู่นอกจวนอ๋องได้รับโคมส่งสารแล้ว ก็ถอดสารลับออกก่อนจะไปจัดเตรียมคนที่จวินหวง้า
รุ่งเช้าวันต่อมาจวินหวงออกจากจวนอ๋องไปสถานที่ซื้อขายทาส แล้วก็เห็นคนที่ฉีอวิ๋นจัดเตรียมไว้จริงๆ คนเ่าั้ดูไม่แตกต่างอะไรกับคนธรรมดา แต่ความจริงแล้วเป็ยอดฝีมือระดับหัวกะทิ แต่ก็ไม่รู้ว่าเป็เพราะสัญชาตญาณขององครักษ์เงามีความระแวงสูงหรือสังเกตเห็นอะไรเข้า เว่ยเฉี่ยนจึงหยุดคนที่จวินหวงเลือกไว้ ไม่พูดไม่จาก็ซัดฝ่ามือออกไปที่คนผู้นั้น
ฝ่ามือที่นางซัดออกไปรุนแรงมาก บุรุษที่มีแขนและไหล่ดูบึกบึนก็ถูกฝ่ามือของนางซัดร่วงลงไปกองที่พื้น กระอักเืออกมา เสียงวิพากษ์วิจารณ์ดังเซ็งแซ่ใน่เวลานั้น
จวินหวงโกรธมาก ชี้หน้าเว่ยเฉี่ยนแล้วตะคอกใส่ "เว่ยเฉี่ยน เ้ารู้หรือไม่ว่าทำอะไรลงไป? เ้าลืมที่ฝ่าพระบาทกล่าวเอาไว้แล้วหรือ เ้าทำเช่นนี้เพราะไม่เชื่อใจข้าใช่หรือไม่?"
เว่ยเฉี่ยนหลุบสายตาลง "ข้าน้อยผิดไปแล้ว ขอคุณชายโปรดลงโทษ"
จวินหวงมองเว่ยเฉี่ยน แล้วแค่นเสียงหึ! อย่างเ็า จากนั้นก็ให้คนมาประคองคนที่ถูกซัดฝ่ามือจนล้มลงไปขึ้นมา แล้วนำคนเ่าั้เดินออกไป ไม่แยแสเว่ยเฉี่ยนแม้แต่น้อย เว่ยเฉี่ยนยืนนิ่งอยู่นาน ในที่สุดก็หัวเราะกับตัวเอง ในใจรู้สึกปวดร้าวเกินบรรยาย