“แบบนี้นี่เอง” กู้หลานอันกลอกตาแล้วถามเธอว่า “งั้นเธอจะทำยังไงดีล่ะทีนี้? ”
จากการประเมินของเธอ คาดไม่ถึงเลยว่ากู้หลานอันจะพูดตรงขนาดนี้สวีย่าพูดไม่ออก ผ่านไปครึ่งค่อนวันแล้วเธอค่อยตอบเขาเสียงอ่อนว่า “ฉันก็ไม่รู้ว่าจะทำยังไงเพราะไม่คิดว่าจะเกิดอุบัติขึ้นในงานเลี้ยงดังนั้นฉันจึงไม่ได้เตรียมเสื้อคลุมมาเผื่อ อยากออกไปเปลี่ยนแต่ก็ไม่สะดวกเลยค่ะ” สวีย่าพูดจบ ไม่ได้ยินกู้หลานอันตอบกลับอะไร เธอก็มองไปรอบๆ อย่างเขินอายเมื่อเห็นสายตาของคนในงานที่มองพวกเขาเหมือนกำลังดูละครแล้วเธอก็เสนอขึ้นมาว่า “หลานอันคะฉันขอยืมเสื้อคลุมของคุณหน่อยได้ไหมคะ? เดี๋ยวคุณไปที่รถตู้กับฉันถ้าฉันเปลี่ยนเสื้อเสร็จฉันจะคืนให้คุณค่ะ”
“เสื้อคลุมเหรอ? ” กู้หลานอันดึงเสื้อคลุมเขาถอดออกแล้วยื่นให้สวีย่า “ฉันให้เธอเธอคลุมไปเปลี่ยนเสื้อได้เลย ฉันไม่เอาแล้ว”
“หืม?” สวีย่าอึ้งนี่มันไม่เหมือนกับที่เธอคิดไว้เลย
“ทำไม? ไม่อยากได้แล้วเหรอ? ” กู้หลานอันถามกลับ ทำท่าทางเหมือนจะสวมเสื้อสวีย่ารีบหยุดเขาไว้ “เอาๆๆ! ฉันเอาค่ะ” แทนที่จะไม่ได้อะไรเลย ได้เสื้อคลุมไว้ตัวหนึ่งก็ยังดี เธออาจจะใช้เสื้อคลุมหนึ่งตัวให้เป็ประโยชน์ได้อีกมากมาย
“งั้นก็เอาไปสิ” กู้หลานอันโยนใส่มือเธอมองไปบริเวณโดยรอบ ถึงแม้สายตาของคนในงานจะไม่ได้มองดูพวกเขาอย่างโจ่งแจ้งแต่สายตาของคนที่มองมาเป็ครั้งคราวนั้นมีทั้งแววตาเกลียดชัง มีความสุขและอิจฉาเขาพูดกับสวีย่าว่า “รีบไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเถอะในตอนที่ยังมีเวลา เธอดูสายตาของคนรอบตัวที่มองเธอสิ ล้วนแต่กำลังหัวเราะเยาะเธอ”
สวีย่าได้ยินดังนั้น หน้าบึ้งถมึงตามองไปรอบๆแล้วเค้นรอยยิ้มออกมาพูดกับกู้หลานอันว่า “งั้นฉันไปก่อนนะคะเดี๋ยวเจอกันค่ะ หลานอัน”
“รีบไปเถอะ” กู้หลานอันเร่งเธอ
“อือ” สวีย่าอิดออดไม่อยากจากไป กู้หลานอันมองตามหลังเธอแล้วโบกมือไปทางบริกรหยิบไวน์มาแก้วหนึ่งแล้วยิ้มมุมปาก ผู้หญิงคนนี้คิดเพ้อเจ้อจะใช้เสื้อผ้าที่มีรอยเปื้อนมาเป็ข้ออ้างในการสร้างโอกาสให้พวกเขาอยู่กันตามลำพังมันจะได้ผลได้อย่างไร ในเมื่อเขามองออกั้แ่แรกแล้ว
กู้หลานอันหัวเราะแล้วมองไปยังเจาเยี่ยที่กำลังคุยกับจางเจียอี้อย่างออกรสออกชาติ [จางเจียอี้: อันที่จริงแล้วฉันพูดอยู่คนเดียวั้แ่ต้นจนจบแต่จะทำอะไรได้ ฉันก็จนปัญญาแล้ว] เขากวักมือเรียกบริกรให้เทไวน์ใส่แก้วจนเต็มมองอย่างยั่วยุแวบหนึ่งไปที่หลินเซวียนที่กำลังจ้องเขาตาเขียวปัด แล้วเดินไปข้างๆเจาเยี่ยและจางเจียอี้ ยังไม่พูดอะไร เขาก็เริ่มเอียงมือก่อน ทันใดนั้นไวน์เต็มแก้วในมือก็หกใส่ตัวเขา
“โอ้ เหล้าหกหมดเลย! ” กู้หลานอันขมวดคิ้วแล้วรีบตรวจดูเสื้อเชิ้ตขาวของเขาจากสีขาวกลายเป็สีแดง ผลลัพธ์ไม่เลวเลย
“เอ่อ...” เขาชนตัวเอง? แถมยังลอกเลียนแบบทักษะของคนอื่นมาอีกด้วย?
เจาเยี่ยจะหัวเราะก็ไม่ได้จะร้องไห้ก็ใช่ที่ เ้าเด็กน้อยคนนี้เมื่อไรจะโตสักทีนะ
“รีบเช็ดสิ! ” จางเจียอี้ที่เห็นเหตุการณ์กล่าวรีบเอากระดาษให้เขา กู้หลานอันเช็ดแล้วเช็ดอีกก็เช็ดไม่ออกเขาโยนกระดาษทิ้งทำหน้าเสียใจแล้วพูดกับเจาเยี่ยว่า “เช็ดไม่ออก”
“พวกหวังเว่ยก็ไม่ได้เตรียมเสื้อผ้ามาให้ฉันเลย ไปเอาที่รถก็ไกลมากจะให้ฉันใส่แบบนี้จนงานเลี้ยงเลิกเลยเหรอ? น่าอายจัง”
“ฉันมีเสื้อผ้าอยู่ที่นี่ ให้ฉันเรียกคนไปเอามาให้เธอเปลี่ยนไหม? ” จางเจียอี้กล่าว
“ไม่ต้อง เสื้อผ้าของคนอื่นผมใส่ไม่ได้ ดูร่างกายคุณสิกำยำขนาดนั้นส่วนผมก็ผอมมาก อีกอย่างผมค่อนข้างให้ความสำคัญกับการใส่เสื้อผ้าจะใส่แค่เสื้อที่ตัวเองชอบเท่านั้น” กู้หลานอันกล่าวแล้วเล็งไปที่ร่างของเจาเยี่ยอย่างมีนัยชัดเจน
เมื่อเห็นเจาเยี่ยยังคงเมินเฉย เขาเงยหน้าแล้วพูดกับเขาว่า “เจาเยี่ย นายให้ฉันยืมเสื้อคลุมหน่อยได้ไหม? เดี๋ยวหลิวฉู่ส่งเสื้อผ้ามาให้ฉันจะรีบคืนให้นายทันทีเลย”
เจาเยี่ยจ้องเขาอยู่หนึ่งวินาทีแล้วถอดเสื้อออกคลุมบนตัวเขาแล้วหมุนร่างกลับออกไป กู้หลานอันดึงเสื้อให้แนบติดกันกำลังจะตามไปจู่ๆ จางเจียอี้ก็พูดขึ้นมาว่างานเลี้ยงได้เริ่มขึ้นแล้วจากนั้นก็ขึ้นไปกลางเวทีหยิบไมโครโฟนขึ้นมา หากมีคนกำลังพูดอยู่เนื่องจากต้องให้เกียรติผู้พูด กู้หลานอันจึงหยุดเดินและอดทนฟังจางเจียอี้พูดจนจบ
หลินเซวียนที่เฝ้าดูสถานการณ์ของเจาเยี่ยมาตลอดเมื่อเห็นเจาเยี่ยเดินออกไปก็รีบแหวกฝูงชนตามออกไปด้วยเมื่อเห็นเจาเยี่ยหยุดอยู่อีกด้านหลินเซวียนพูดกับเขาว่า “ออกมากับฉันหน่อย” พูดจบเขาก็เดินออกไป
เจาเยี่ยไม่ขยับ รอจนจางเจียอี้พูดจบ เขาค่อยหันตัวและตามออกไป
“ทำไมเพิ่งออกมาตอนนี้! ” หลินเซวียนกล่าวอย่างหงุดหงิดตอนที่เจาเยี่ยออกมา หลินเซวียนสูบบุหรี่ไปครึ่งมวนแล้ว
“เขายังพูดอยู่” เจาเยี่ยพูดกระชับแต่ครอบคลุมเดินไปพิงราวกั้นข้างๆ ซึ่งค่อนข้างห่างจากหลินเซวียน
“นายฟังรู้เื่ด้วยเหรอ? ” หลินเซวียนหัวเราะเย้ยหยัน “ในเมื่อฟังรู้เื่ทำไมเมื่อกี้ยังปล่อยให้กู้หลานอันเข้าใกล้นายอีกแถมยังให้ท้ายไม่แฉกลอุบายของมันอีก? เจาเยี่ยในเมื่อนายก็รู้แล้ว ว่าฉันได้เตือนนายไปตอนนายกำลังถ่ายทำละครงั้นทำไมยังกล้าที่จะหันปากกระบอกปืนใส่ตัวเองอีกหรือว่าครั้งนี้นายได้รับาเ็น้อยไป? ”
“นายยังจะให้ฉันถอยห่างจากเขาอีกจริงๆ เหรอ หลินเซวียนพวกเราเป็เพื่อนนักแสดงด้วยกันนะ ฉันกับเขายังต้องอยู่ด้วยกันอีกเป็เวลานานถ้านายไม่มีปัญญาหยุดยั้งเขา นายก็ไม่ต้องมาข่มขู่ฉัน” เจาเยี่ยกล่าวทันใดนั้นเขาก็หันไปมองหลินเซวียนแล้วพูดกับเขาว่า “หลินเซวียนเจาเยี่ยคนนี้เป็คนที่เติบโตมากับการถูกปฏิบัติอย่างทารุณนายคิดว่านายจะข่มขู่ฉันได้เหรอ? สำหรับฉันแล้วการตายดีกว่าการมีชีวิตอยู่เสียอีกดังนั้นฉันจึงไม่เคยกลัวนายเลย ตอนนี้ฉันยังปฏิบัติกับนายอย่างเชื่อฟังเป็เพราะว่าฉันยังซาบซึ้งและยังให้ความใส่ใจกับนายอยู่เพราะฉะนั้นนายควรจัดการตัวเองให้ดี อย่ามาทำให้ฉันโกรธ ไม่งั้นมิตรภาพสิบสองปีของเราอาจจะถึงเวลาต้องจบลงแล้วยังไงฉันก็เป็คนที่ไม่้าเพื่อนอยู่แล้ว มีหรือไม่มีนายสักคนมันก็ไม่แตกต่าง มากสุดก็แค่เสียใจอยู่่หนึ่งแค่นั้นเอง”
“คิดไม่ถึงเลยว่านายจะพูดอะไรแบบนี้ออกมาได้? ” หลินเซวียนมองดูเขา พลางเขวี้ยงก้นบุหรี่ในมือลงกับพื้น “เจาเยี่ย นายเป็คนที่เหี้ยมเกรียมจริงๆ ฉันอยู่เคียงข้างนายมานานขนาดนี้ท้ายที่สุดแล้วก็ยังทำให้นายรู้สึกได้แค่ว่ามีหรือไม่มีฉันก็ได้”
“ไม่ใช่มีหรือไม่มีก็ได้ ก็แค่ค่อยๆเปลี่ยนเป็ไม่อยากให้ความสำคัญมากขนาดนั้นแล้ว” เจาเยี่ยยิ้มดวงตาหรี่เป็มุมโค้งที่ดูเศร้าโศก “หลินเซวียนฉันกำลังหลบหนีเขาตามความประสงค์ของนายทุกอย่าง นายอย่าบีบคั้นฉัน มิฉะนั้นแล้วคนที่ฉันจะทิ้งไปก็คือพวกนายทั้งหมด”
“ฉัน...” หลินเซวียนพูดไม่ออก เขาสะกดอารมณ์ทั้งหมดไว้ทันทีมองเจาเยี่ยเป็แบบนี้แล้วเขาก็พูดไม่ออก กำหมัดแน่นอย่างโกรธเคืองแล้วก็เดินจากไป
เมื่อเขาจากไปแล้วเจาเยี่ยก็หันกลับมา แล้วแหงนหน้าขึ้นมองพระจันทร์มีน้ำตาไหลหยดจากหางตา ส่องประกายแวววาวอยู่ใต้แสงจันทร์ เขาเคยคิดว่าตราบใดที่ยังมีชีวิตอยู่เขาก็จะได้พบกับใครสักคนที่ดีและจริงใจต่อเขา กล้าที่จะเชื่อในเื่การทำดีของเขาและจะให้ผลตอบแทนที่ดีกลับมาแต่ว่าตอนนี้หัวใจของเขากลับเ็าแล้ว ไม่ใช่ว่าหาไม่เจอ แต่ไม่มีหนทางที่จะหาเจอผ่านมาเนิ่นนานขนาดนี้ เขารู้สึกเหนื่อยมากหรือบางทีอาจจะเป็ดั่งที่แม่เขาเคยพูดไว้ว่ามิตรภาพ สายสัมพันธ์ในครอบครัวและความรักคือสิ่งที่คนแบบเขาไม่มีวันเรียกร้องได้ตลอดกาลแต่เขาเป็คนแบบไหนน่ะเหรอ? เขาก็ไม่รู้เลย
เจาเยี่ยยิ้มเช็ดน้ำตาแล้วหันกลับมาหยิบก้นบุหรี่ที่หลินเซวียนเขวี้ยงทิ้งไว้ลงถังขยะ จากนั้นเขาก็เข้าห้องน้ำไปล้างหน้าแล้วก็ออกมาตามทางเดิน หาที่ที่สงบไร้ผู้คนสักที่ จะได้นั่งตากลมอย่างสงบคนเดียวแต่กู้หลานอันที่สวมเสื้อคลุมของเขาไว้ก็ปรากฏตัวขึ้น
“เจาเยี่ยนายไปไหนมา? ฉันหานายไม่เจอสักที่เลยฉันนึกว่านายมีธุระกลับไปแล้วเสียอีก” กู้หลานอันพูดอย่างกระวนกระวายใจ
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้