กล้ามเนื้อหย่อนคล้อยบนใบหน้าของโจวหมัวมัวมีความโเี้พาดผ่าน “เด็กๆ จับเอาไว้ โบยไปพร้อมๆ กัน!”
บ่าวรับใช้ที่ถูกถีบกระเด็นเมื่อสักครู่เก็บอัดโทสะไว้เต็มท้อง เขาตะเกียกตะกายลุกขึ้นมาด้วยความโมโหพร้อมทั้งเงื้อไม้กระบองเข้าใส่เฟิ่งเฉี่ยน เฟิ่งเฉี่ยนยืนอยู่กับที่ไม่เคลื่อนไหว ใบหน้างดงามนั้นทอประกายคมปลาบ ดวงตาทั้งคู่ราวกับมีเปลวเพลิงสุมอยู่ นางเดือดดาลถึงที่สุดแล้ว!
กระทั่งไม้กระบองห่างจากหน้าผากนางไม่ถึงฉื่อ นางขยับตัวแล้ว แต่การขยับครั้งนี้เป็เช่นเสือดาวที่จ้องตะครุบเหยื่อ นางะโขึ้นหลบหลีกอย่างว่องไว!
มือทั้งคู่ของนางจับไม้กระบอกเอาไว้มั่น นางยืมแรงของอีกฝ่าย ร่างทั้งร่างจึงดีดขึ้นสูง ขาทั้งคู่ถีบใส่หน้าอกของคนผู้นั้น ถีบรัวๆ สิบครั้งติดกันและใช้แรงในการะโถีบ ความรวดเร็วนั้นทำให้คนตกตะลึง เห็นเพียงเท้าทั้งคู่ที่เป็เงาซ้อนกัน นาทีถัดมา คนผู้ทำหน้าที่โบยก็ นอนหงายอยู่กับพื้น! กระอักเืสดๆ ออกมาจากปาก
โหดร้ายเกินไปแล้ว!
ผู้คนที่เดิมทีล้อมนางอยู่ต่างมีสีหน้าซีดขาวและถอยร่นไปด้านหลัง
เฟิ่งเฉี่ยนชูกระบองไว้ในมือ ตวาดใส่คนทั้งหมดเสียงเย็น “ผู้ใดอยากเข้าใกล้ ก็ลองดู”
โจวหมัวมัวคาดไม่ถึงว่าคนผู้นี้ถึงกับมีฝีมือถึงเพียงนี้ หลังจากหายตะลึงแล้วนางได้สติทันที นางตวาดใส่บ่าวทั้งหลายว่า “พวกเ้ากลัวอะไร แค่จอมยุทธ์ระดับเบื้องต้นก็ทำให้พวกเ้าหวาดกลัวถึงเพียงนี้ แต่ละคนล้วนกินปัสสาวะหรือ”
คนทั้งหมดได้สติ ใช่แล้ว อีกฝ่ายเป็เพียงจอมยุทธ์ระดับเบื้องต้น หากมองจากวรยุทธ์ของอีกฝ่ายแล้วอีกฝ่ายเป็เพียงจอมยุทธขั้นเบื้องต้นเท่านั้น ไฉนจึงทำให้พวกเขาใจนแน่นิ่ง
ถูกต้อง เพราะสายตา! เป็เพราะสายตาของนาง!
เหมือนเช่นพญามัจจุราชที่เดินออกมาจากนรก ร่างทั้งร่างเต็มไปด้วยไอสังหาร ทำให้คนรู้สึกหนาวเยือก
หลังจากได้สติแล้ว คนทั้งหมดรวบรวมกำลังแล้วเข้าล้อมนางอีกครั้ง!
“ลุย!”
เฟิ่งเฉี่ยนไม่กลัวแม้แต่น้อย ไม้กระบองอยู่ในมือ ดวงตาเปี่ยมไอสังหารนั้นกวาดมองไปรอบๆ
ท่าทีของนางพร้อมที่จะเปิดศึก!
น้ำเสียงคมปลาบดังขึ้นจากด้านนอกประตูในเวลานี้เอง เสียงนี้ทำลายบรรยากาศที่กำลังตึงเครียด “หยุดนะ!”
คนทั้งหมดหันไปมอง เห็นเพียงเซวียนหยวนเช่อปรากฎกายขึ้นหน้าประตู
โจวหมัวมัวสะดุ้งโหยง นางเจตนาร้องเสียงดัง “ฝ่าา! บ่าวถวายพระพรฝ่าา!”
คนที่อยู่ในลานเรือนคุกเข่าลงพร้อมๆกัน “ถวายพระพรฝ่าา!”
การเคลื่อนไหวนี้ทำให้องค์หญิงหลานซินที่อยู่ในตำหนักรู้ตัวและรีบออกมารับเสด็จ
“หม่อมฉันถวายพระพรฝ่าาเพคะ!”
เซวียนหยวนเช่อมองคนทั้งหมดที่คุกเข่าอยู่ในลานเรือนโดยไม่พูดจา สายตาของเขามองไปที่เก้าอี้ยาว เฟิ่งเฉี่ยนกำลังแก้เชือกให้กับจื่อซู เห็นร่างของจื่อซูเต็มไปด้วยเืสดๆ คิ้วของเขาขมวดแน่น
องค์หญิงหลานซินยอบกายลง เนิ่นนานไม่ได้ยินเสียงเซวียนหยวนเช่อพูดจา นางจึงยอบกายค้างอยู่ที่นั่นไม่กล้าลุกขึ้น
หลายวันมานี้เซวียนหยวนเช่อไม่อยู่ในวัง เดิมทีนางคิดจะไปหาเื่ฮองเฮา ใครเลยจะรู้ว่านางพบว่าฮองเฮาไม่อยู่ในตำหนักเย็น ดังนั้นจึงจับกุมตัวสาวใช้คนสนิทข้างกายกลับมาสอบถาม ไหนเลยจะคิดว่าฝ่าากลับวังกะทันหันทำให้นางรับมือไม่ทันเช่นนี้
เซวียนหยวนเช่อไม่พูดจานานเท่าใด ในใจนางยิ่งกระวนกระวนมากเท่านั้น เมื่อเงยหน้าขึ้นลอบมองเขาปราดหนึ่ง กลับพบว่าสายตาของเขาตกอยู่บนร่างของสตรีปิดหน้าในชุดสีขาว
สตรีนางนี้เป็ใคร
นางและสาวใช้ของฮองเฮารู้จักกันหรือ
นางพลันรู้สึกได้ถึงความไม่ปลอดภัย จึงรีบเป็ฝ่ายเอ่ยปากอธิบายก่อน “ฝ่าา หลายวันมานี้พระองค์ไม่ได้ประทับอยู่ในวัง หม่อมฉันคิดจะไปเยี่ยมพี่หญิงฮองเฮาในตำหนักเย็นสักหน่อย แต่ใครจะรู้ว่าพี่หญิงฮองเฮาถึงกับไม่อยู่ในตำหนักเย็น หม่อมฉันเป็ห่วงความปลอดภัยของพี่หญิงฮองเฮาจึงได้นำตัวสาวใช้ของนางมาสอบถามเพคะ”
เฟิ่งเฉี่ยนได้ยินเช่นนั้นจึงพูดขึ้นเสียงเย็น “องค์หญิงจึงเชิญตัวคนมาสอบถามด้วยวิธีเช่นนี้หรือ”
องค์หญิงหลานซินขมวดคิ้วตวาดกลับมา “บังอาจ! เ้ามีสิทธิ์อะไรมาพูดจาที่นี่”
เซวียนหยวนเช่อพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเยียบเย็น “เจิ้นก็อยากรู้เช่นกันว่าการสอบถามที่เ้ากล่าวถึงนั้น เหตุใดจึงกลายมาเป็เช่นที่เห็นอยู่นี้”
“นี่...” องค์หญิงหลานซินตะลึงงัน หลบเลี่ยงสายตาราวกับกำลังปั้นเื่ “นี่เป็เพราะ...เพราะทำอย่างไรสาวใช้นางนี้ก็ไม่ยอมพูดออกมาว่าพี่หญิงฮองเฮาอยู่ที่ใด หม่อมฉันเกรงว่านางจะไม่ประสงค์ดีต่อพี่หญิงฮองเฮา จึงได้ใช้วิธีการบางอย่าง”
“อะไรนะ ฮองเฮาหายไปหรือ”
เฟิ่งซินเหยาสองแม่ลูกรีบเร่งมายังตำหนักยีหลัน ทันทีที่ก้าวเข้าประตูมาก็ได้ยินว่าฮองเฮาหายตัวไป ฮูหยินรองรู้สึกประหลาดใจอย่างที่สุด
“อยู่ดีๆ ไฉนจึงหายไปได้” ฮูหยินรองก้าวเข้าไปหาจื่อซู “จื่อซู ฮองเฮาไปไหนกันแน่ นางมิใช่ถูกขังไว้ในตำหนักในหรือ เช่นนั้นตอนนี้มิเท่ากับว่านางออกจากตำหนักเย็นโดยพลการหรือ นี่ถือเป็โทษตายเชียว ดีไม่ดีอาจต้องปะาเก้าชั่วโคตร!”
ฮูหยินรองหน้าเปลี่ยน นางเริ่มลนลาน นางยังไม่อยากตายนะ!
เฟิ่งซินเหยาได้ยินเช่นนั้นพลันตื่นตระหนก “ปะาเก้าชั่วโคตรหรือ ข้าไม่เอา! ความผิดที่นางได้ก่อไว้ ถือดีอย่างไรต้องให้พวกเรามารับโทษด้วย พี่เขย พระองค์ปรีชาสามารถ พระองค์คงไม่สั่งปะาเก้าชั่วโคตร ถูกต้องหรือไม่เพคะ”
แววตาเฟิ่งเฉี่ยนไหววูบ นางกวาดสายตามองสองแม่ลูกอย่างเ็า “พวกเ้าเป็ครอบครัวของฮองเฮา ตอนนี้ที่ควรใส่ใจคือความปลอดภัยของฮองเฮากระมัง”
ฮูหยินรองกลับไม่คิดเช่นนั้น “คำพูดนี้ไม่ถูกต้องนัก! แม้ฮองเฮาจะเป็คนของสกุลเฟิ่ง แต่หากนางทำความผิด พวกเราสกุลเฟิ่งไม่มีทางช่วยเหลือนางเด็ดขาด! ฝ่าา ฮองเฮาออกจากตำหนักเย็นโดยพลการ นี่เป็พฤติกรรมของนางเพียงคนเดียว ไม่เกี่ยวข้องอันใดกับสกุลเฟิ่งของพวกเรา ฝ่าาทรงตรวจสอบให้กระจ่างด้วยเพคะ!”
เฟิ่งซินเหยาพยักหน้าหงึกๆ “ถูกต้อง พวกเราไม่รู้เื่อันใดทั้งสิ้นว่าพี่สาวทำอะไร! ความผิดของนางเอง ก็เป็เื่ของนาง ไม่เกี่ยวข้องอันใดกับพวกเราแม้แต่น้อยเพคะ”
เห็นสองแม่ลูกที่มัวแต่สนใจหน้าตาเกียรติยศของตนเองโดยไม่สนใจความเป็ความตายของตน ในใจเฟิ่งเฉี่ยนรู้สึกหนาวเยือก ต่อให้เป็ญาติพี่น้องในครอบครัว ก็ยังไร้เยื่อใยเช่นนี้ ความโกรธแค้นทั้งหมดแปรเปลี่ยนเป็รอยยิ้มเ็าบนริมฝีปาก
เซวียนหยวนเช่อเห็นทุกอย่างในสายตา แววตาของเขาหม่นลงเล็กน้อย
จื่อซูเอ่ยปากด้วยเสียงอ่อนแรง “ฮูหยินรอง เหนียงเหนียงไม่ได้หนีออกจากตำหนักเย็นโดยพลการ ท่านอย่าได้พูดจาเลอะเทอะเ้าค่ะ!”
องค์หญิงหลานซินเป็คนฉลาด ฟังมาถึงตรงนี้ก็พอจะจับนิสัยใจคอของฮูหยินรองได้แล้ว นางจึงจงใจพูดขึ้นว่า “เฟิ่งฮูหยิน ยังคงเป็ท่านที่เก่งกาจ คนของข้าไต่สวนนางอยู่ครึ่งค่อนวัน นางไม่ยอมพูดแม้แต่ประโยคเดียว ท่านมาถึงนางก็อ้าปากพูดจา รู้แต่แรกข้าควรเชิญท่านมาช่วยข้าไต่สวน บางทีตอนนี้อาจรู้ว่าฮองเฮาอยู่ที่ไหนแล้วก็ได้”
ได้ยินนางเรียกตนเองว่าเฟิ่งฮูหยิน ฮูหยินรองถึงกับเบิกบานใจทันที นางพูดกลั้วหัวเราะ “องค์หญิง ท่านเข้าใจผิดแล้ว ข้ามิใช่เฟิ่งฮูหยิน ข้าเป็ฮูหยินรองของสกุลเฟิ่ง”
“ล้วนเหมือนกันทั้งสิ้น!” องค์หญิงหลานซินพูดจายิ้มแย้ม “ได้ยินมานานแล้วว่าฮูหยินรองของสกุลเฟิ่งทั้งเก่งกาจและฉลาดเฉลียว เป็คนกว้างขวาง ไม่ใช่เฟิ่งฮูหยิน แต่ทำหน้าที่ยิ่งกว่าเฟิ่งฮูหยิน!”
ฮูหยินรองหน้าบานเป็จานเชิง “องค์หญิงกล่าวชมเกินไปแล้ว”
แววตาขององค์หญิงหลานซินมีความเย้ยหยันพาดผ่าน “หลานซินมีเื่อยากขอร้อง หวังว่าฮูหยินจะรับปาก”
ฮูหยินรอง “เชิญองค์หญิงตรัสมา หม่อมฉันจะช่วยเต็มกำลังแน่นอน!”
“เช่นนั้นหลานซินขอบคุณฮูหยิน” องค์หญิงหลานซินยอบกาย ขนตายาวนั้นบดบังแววตาเปี่ยมไปด้วยความลำพองใจของนางเอาไว้ “หลานซินอยากจะขอให้ฮูหยินช่วยไต่ถามสาวใช้คนนี้ว่าฮองเฮาไปที่ใดกันแน่”
ฮูหยินรองตบหน้าอกตนเอง “เื่เล็กแค่นี้ มอบให้ข้าจัดการ! เื่สั่งสอนบ่าวรับใช้ ข้ามีประสบการณ์ที่สุด ในสกุลเฟิ่งขอเพียงมีข้าอยู่ ไม่มีข้ารับใช้คนใดกล้าแอบเกียจคร้าน! หากผู้ใดกล้าแอบเกียจคร้าน ข้าจะเฆี่ยนนางอย่างทารุณ!”
องค์หญิงหลานซินรอเพียงคำพูดประโยคนี้ของนางเท่านั้น “เช่นนั้นต้องรบกวนฮูหยินแล้ว”