ตอนเย็นหลังจากเฝิงหย่งเลิกงานกลับบ้านมา เขายังเอาเศษผ้ากลับมาด้วยอีกหนึ่งรถสามล้อ ซย่านีหยิบของขึ้นมาดูนึกไม่ถึงเลยว่าในนั้นจะมีผ้าแพรต่วนอยู่ด้วย
“พี่เฝิงหย่ง พี่ไปเอาผ้าพวกนี้มาจากไหนหรือคะ?”
เฝิงหย่งกำลังขนกระสอบลงจากรถสามล้อ เขาพูดด้วยรอยยิ้ม “เมื่อวานเซี่ยงเหมยบ่นว่าวัสดุที่ฉันเอามาไม่ค่อยดีนัก วันนี้ฉันเลยไปที่โกดังของโรงงานเสื้อผ้า ฉันไปลองค้นๆ ดูนิดหน่อยฉันก็เจอของดีๆ เข้าจริงๆ ด้วย ก็แบบนี้แหละ วัสดุชนิดนี้ดีมาก พวกชิ้นใหญ่ๆ ก็ถูกพนักงานในโรงงานซื้อกันไปหมดแล้วจะเหลือก็แต่เศษผ้าชิ้นเล็กๆ พวกนี้เท่านั้น”
ซย่านีหยิบวัสดุสองชิ้นขึ้นมาดูแล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ไม่เล็กเลยๆ วัสดุเท่านี้ก็เพียงพอจะทำยางรัดผมได้แล้ว”
เฝิงหย่งยังคงกังวลเล็กน้อยเพราะกลัวว่าจะใช้เงินไปแบบผิดๆ จึงยืนยันกับซย่านีอีกครั้ง “พอแล้วจริงๆ หรือ? ฉันเห็นว่าพวกเธอทำยางรัดผมชิ้นใหญ่มาก ก็เลยดูเหมือนว่าจะต้องใช้ผ้าชิ้นใหญ่น่ะสิ”
ซย่านีใส่ผ้ากลับลงไปในถุงกระสอบ “พวกเราเองก็ไม่ได้จะทำยางรัดผมชิ้นใหญ่ทั้งหมดหรอกค่ะ เรายังจะทำยางรัดผมเส้นเล็กกันด้วยแล้วก็ขายถูกลงหน่อย แต่ชิ้นที่เป็วัสดุดีๆ ก็จะขายได้ราคาสูงเหมือนเดิม”
ในเวลานี้เซี่ยงเหมยยกอาหารออกมาจากห้องครัวพอดี เธอกล่าวว่า “ซย่านี เธอกำลังอธิบายอะไรให้ตาแก่นี่ฟังอยู่หรือ เขาไม่เข้าเื่การค้าขายพวกนี้หรอก”
“หากพี่เฝิงหย่งไม่เข้าใจก็สามารถเรียนรู้ได้นี่คะ อย่างไรพี่เขาก็ยังต้องไปที่โรงงานเสื้อผ้าอยู่ดีเพื่อซื้อผ้าให้พวกเรา” ซย่านียิ้มกล่าว “พี่เฝิงหย่ง พี่ช่วยยกถุงกระสอบพวกนี้เข้าไปไว้ในบ้านได้ไหมคะ เดี๋ยวฉันจะไปช่วยพี่สะใภ้เซี่ยงเหมยยกหม้อกับชามในครัวก่อน”
เฝิงหย่งโบกมือ “ได้ๆ ไม่มีปัญหาหรอก”
ตอนนี้ถึงเวลากินข้าวเย็นแล้ว เซี่ยงเหมยเล่าเื่รายได้ของวันนี้ให้เฝิงหย่งฟังแล้วก็ถอนใจ “เดือนหนึ่งพี่มีรายได้แค่สี่สิบกว่าหยวนเอง ปีหนึ่งก็ได้แค่ห้าร้อยกว่าหยวน ฉันกับซย่านีขายของกันสองวัน ก็เก็บเงินได้มากกว่าพี่ทั้งปี...การค้าขายนี่มันช่างมีกำไรจริงๆ”
เฝิงหย่งคิดไม่ถึงว่าภรรยาของตนจะทำการค้ากับซย่านีแล้วจะหาเงินได้มากขนาดนี้ ตอนแรกที่เขายอมให้ภรรยาทำงานกับซย่านี เพียงเพราะเขากลัวว่าหากเซี่ยงเหมยอยู่บ้านเฉยๆ แล้วจะคิดฟุ้งซ่าน ส่วนอีกข้อก็คือต้นทุนของยางรัดผมไม่ได้สูงมากนัก ครอบครัวของพวกเขายังสามารถลงทุนกับมันได้ ผลสุดท้ายล่ะเป็ยังไงพวกเขาได้ประโยชน์จากการทำธุรกิจกับซย่านีซะอย่างนั้น
เฝิงหย่งคีบหมูสามชั้นให้ซ่งวั่งซูกับซ่งตงซวี่ วันนี้เขาตั้งใจซื้อมันมาเป็พิเศษเลย “เอ้า กินกันเยอะๆ หน่อย ดูสิว่าพวกเธอสองคนน่ะผอมมากแค่ไหน...ซย่านีเอ๋ย ก่อนหน้านี้ฉันได้ยินเซี่ยงเหมยบอกว่าเธออยากเช่าบ้านแล้วย้ายออกไปอยู่กับลูกๆ งั้นหรือ?”
ซย่านียิ้มๆ พลางกล่าวว่า “ใช่แล้วค่ะ...พี่เฝิงหย่ง พี่มีเพื่อนหรือเพื่อนร่วมงานคนไหนที่คิดจะปล่อยบ้านเช่าบ้างไหม? ถ้าราคาดูเหมาะสมฉันก็จะตกลงเช่าเลย”
เฝิงหย่งกล่าว “ฉันมีเพื่อนร่วมงานคนหนึ่ง เขาอยากปล่อยบ้านเช่าอยู่พอดี แต่บ้านของเขาน่ะอยู่ไกลจากที่นี่หน่อยนะ”
“ไกลก็ดีแล้ว ฉันเองก็อยากอยู่ไกลๆ เหมือนกัน” ซย่านียิ้มอย่างเก้อเขิน “พี่เฝิงหย่ง พี่ก็รู้ว่าสถานการณ์ในบ้านของฉันเป็ยังไง ฉันไม่กลัวที่จะพูดเื่อื้อฉาวในบ้านหรอก ฉันกับแม่สามีไม่ลงรอยกันจริงๆ แต่ละวันต้องมีเื่ให้ทะเลาะกันอยู่ตลอด มันส่งผลต่อการเรียนรู้ของเด็กๆ มากเกินไป ดังนั้นฉันคิดว่า ถ้ายิ่งอยู่ไกลจากบ้านสามีมากเท่าไหร่ก็ยิ่งดี”
เฝิงหย่งความเข้าใจความ้าของซย่านีเพราะอย่างไรสถานการณ์ในบ้านของเขาก็คล้ายๆ กับเธอ “บ้านหลังนั้นอยู่แถวโรงงานเครื่องจักร มันเป็เรือนหลังเดียวมีลานบ้านและห้องสองห้อง แต่ลานบ้านนั้นเล็กมากเล็กยิ่งกว่าบ้านของพวกเราเสียอีก”
ซย่านีเพียงได้ยินว่าบ้านอยู่ฝั่งโรงงานเครื่องจักรก็ส่ายหัวทันที “ฉันอยากหาบ้านใกล้ๆ โรงเรียนของลูกหน่อย เช่นนี้แล้วเด็กๆ จะได้ไปโรงเรียนสะดวกขึ้น” โรงงานเครื่องจักรกับโรงเรียนของเด็กๆ นั้น อยู่ห่างกันคนละทิศละทางซึ่งมันไกลกันเกินไป
“ถูกแล้วๆ ควรคิดถึงเด็กๆ ดีแล้ว” เฝิงหย่งหัวเราะอย่างจริงใจ “นับว่าเธอยังมีความคิดที่รอบครอบอยู่...เช่นนั้นเธออยากได้บ้านแบบไหนหรือ ฉันจะลองไปถามดูให้”
“จริงหรือคะ? ขอบคุณพี่เฝิงหย่งมากเลย” ความรู้สึกขอบคุณฉายชัดอยู่เต็มใบหน้าของซย่านี
ในยุคปัจจุบันนี้ไม่เหมือนยี่สิบปีให้หลัง หาก้าบ้านสักหลังก็แค่ไปที่บริษัทตัวแทนอสังหาริมทรัพย์ก็สามารถหาบ้านที่ถูกใจได้แล้ว แต่ในยุคนี้หากคนต่างถิ่นที่ดูไม่คุ้นหน้าอย่างซย่านีแถมยังไม่มีเพื่อนคอยช่วย เธอก็ได้แต่พึ่งตัวเองโดยการเดินสำรวจเท่านั้น แต่ก็คงไม่สามารถหาบ้านที่ถูกใจได้หรอก
เฝิงหย่งเสนอความช่วยเหลือออกมาเองเช่นนี้ นับว่าเป็การช่วยแก้ปัญหาใหญ่ให้ซย่านีได้พอดี
เฝิงหย่งโบกไม้โบกมือพลางกล่าวว่า “ขอบคุณอะไรกัน หากไม่มีเธอ เซี่ยงเหมยภรรยาของฉันก็คงไม่อาจขายยางรัดผมจนทำเงินได้มากขนาดนี้หรอก”
เซี่ยงเหมยตบไหล่ซย่านีแล้วกล่าวเสริม “ใช่แล้ว ถ้าเธอยังพูดขอบคุณอีก ฉันจะรู้สึกไม่ดีแล้วนะ ระหว่างสหายช่วยเหลือกันก็ถือเป็เื่ที่สมควรทำแล้ว รีบบอกมาเถอะเธออยากได้บ้านแบบไหน?”
ซย่านีคิดไว้นานแล้ว “ฉันอยากได้บ้านที่เป็บ้านเดี่ยวที่สำคัญที่สุดก็คือมีห้องน้ำแยกต่างหาก หากเป็ไปไม่ได้จริงๆ ก็ขอที่ห้องน้ำไม่ไกลจากตัวบ้านมากก็พอแล้วค่ะ”
ข้อเรียกร้องนี้อาจฟังดูไม่สูงมากแต่ความจริงแล้วในยุคนี้ บ้านหลายหลังในตรอกเก่าไม่มีห้องน้ำแยก ทุกคนต่างไปใช้ห้องน้ำสาธารณะที่ท้ายซอย
กลางฤดูหนาว ทุกครั้งที่ซย่านีจะไปเข้าห้องน้ำเธอจะต้องเตรียมของให้ครบเสมอ ทั้งยังต้องเดินทางไกลมากกว่าจะถึงห้องน้ำสาธารณะที่ท้ายซอย ซย่านีผู้เคยชินกับชีวิตที่สะดวกสบายในศตวรรษที่ 21 นั้นสุดจะทนแล้วจริงๆ
เฝิงหย่งพยักหน้าเข้าใจ “ได้ เดี๋ยวฉันจะช่วยเธอหาดูนะ”
“แล้วลูกสองคนเล่า อยากได้บ้านแบบไหนกัน?” ซย่านีหันหน้าไปถามลูกทั้งสองคน
ซ่งวั่งซูกล่าวเสียงชัดถ้อยชัดคำ “หนูอยากมีห้องเป็ของตัวเองค่ะ!”
ซ่งตงซวี่ทำตามพี่สาวของตน เขาชูมือขึ้นทั้งที่ยังถือตะเกียบอยู่ในมือ “ผมเองก็อยากมีห้องเป็ของตัวเองเหมือนกันครับ”
ซย่านีตอบรับคำของพวกเขาอย่างได้ใจ “ได้ งั้นพวกเราก็เช่าบ้านหลังใหญ่หน่อยก็แล้วกัน”
ซ่งวั่งซูตอบ “หนูอยากได้บ้านหลังใหญ่ๆ ที่ลานบ้านมีชิงช้าด้วยค่ะ”
ซย่านีประหลาดใจมาก ก่อนจะย้ายมาเมืองปักกิ่งบ้านเก่าของเธอหลังใหญ่มากและที่ลานบ้านก็มีชิงช้าอยู่ด้วย ชิงช้านั้นซ่งหานเจียงเป็คนสร้างเองกับมือ ซย่านีคิดไม่ถึงว่าซ่งวั่งซูจะชอบชิงช้ามากขนาดนี้ ตอนนั้นลูกคนนี้มักใช้เวลาส่วนใหญ่ออกไปเล่นนอกบ้านกับเพื่อนๆ น้อยมากที่เธอจะเห็นซ่งวั่งซูเล่นชิงช้าในบ้าน
“ได้ งั้นพวกเราก็หาบ้านที่มีลานบ้านใหญ่ๆ กันเถอะ ถึงตอนนั้นค่อยให้พ่อของลูกช่วยทำชิงช้าให้ลูกแล้วกัน”
หลังทานอาหารเย็นเสร็จ ซ่งวั่งซู กับซ่งตงซวี่ก็ทำการบ้านของตัวเองเสร็จกันหมดแล้ว ซย่านีจึงพาเด็กทั้งสองมาช่วยกันทำหนังยางรัดผม วิธีการทำหนังยางรัดผมนั้นเริ่มจากกลับด้านผ้าเพื่อมาห่อหนังยางรัดผมแล้วเย็บปิดเป็ทางยาว จนเหลือรูเล็กๆ ไว้ จากนั้นก็ควักผ้าด้านหน้าออกมาจากรูนั้น สุดท้ายก็ปิดผนึกเป็อันเสร็จ
การดึงผ้าออกจากรูเล็กๆ ถือเป็ขั้นตอนที่ง่าย ซย่านีจึงมอบหน้าที่นี้ให้เด็กทั้งสองคน ซ่งวั่งซูทำงานอย่างขยันขันแข็งมากแต่ซ่งตงซวี่พอทำงานไปได้ครู่หนึ่งก็เริ่มเบื่ออีกแล้ว ซย่านีจึงให้เขาไปเล่นเป็เพื่อนซิงซิงแทน
ซ่งวั่งซูไม่ได้ทำแค่งานเท่านั้น เธอยังจำหน้าที่ในวันนี้ของตนเองได้อยู่จึงทักขึ้นว่า “แม่คะ แม่ยังจำพินอินที่เรียนเมื่อวานได้อยู่ไหม”
ซย่านีพูดไม่ออกขึ้นมาทันที “…”
