ทันใดนั้นแสงสีม่วงบนร่างกายของเสี่ยวไตกูก็ส่องสว่างขึ้น เกิดเป็ม่านแสงส่องประกายสะดุดตา
ไม่นานหลังจากนั้น เสี่ยวไตกูก็ลอยขึ้นไป้า พร้อมตวัดลิ้นยาวเรียวบางปลดปล่อยพิษสีดำออกไปในอากาศ
ลิ้นยาวเรียวบางในยามนี้เป็เหมือนัที่กระดิกหางอย่างสง่างาม
เสี่ยวไตกูแสดงพลังอันยิ่งใหญ่ออกมาในชั่วพริบตา การตวัดหมุนวนครั้งหนึ่งกวาดต้อนไปทั่ว ลิ้นยาวถูกปลดปล่อยออกไปไม่หยุด
ต้องรู้ว่าลิ้นพิษของเสี่ยวไตกูนั้นทรงพลังอย่างหาที่เปรียบไม่ได้!
เห็นได้ว่าค้างคาวเืแดงทุกตัวที่ลิ้นยาวของเสี่ยวไตกูตวัดไปโดนแม้เพียงเล็กน้อย พลันกลายเป็ควันดำกลางอากาศ ล่องลอยกระจัดกระจายกลายเป็อันหนึ่งอันเดียวกันกับอากาศ หายไปอย่างไร้ร่องรอยในทันที
ยามเสี่ยวไตกูยื่นลิ้นพิษออกมา ใครจะต่อกรกับมันได้!
แม้มู่จื่อหลิงจะรู้ว่าเสี่ยวไตกูมีพิษร้ายแรง แต่ด้วยลิ้นเรียวเล็กของมัน กลับสามารถแสดงพลังออกมาได้ถึงเพียงนี้ ไม่อาจหาสิ่งใดมาเทียบได้เลยจริงๆ
ด้วยความช่วยเหลือจากเสี่ยวไตกู ราวกับปาฏิหาริย์
เยี่ยม ยอดเยี่ยมมาก!
ยามเห็นภาพนี้ กุ่ยเม่ยรู้สึกพูดไม่ออก เขาแทบตะลึงงัน แต่ในขณะนี้เขาไม่มีเวลาให้คิดมากเกี่ยวกับเื่นี้
กุ่ยเม่ยไม่ยอมให้ตนดูด้อยกว่า กระบี่ยาวถูกปลดออกจากฝัก
ทันใดนั้น ประกายกระบี่แหลมคมก็กวาดไปยังกลุ่มค้างคาวเืแดงที่รุมล้อม...
เห็นเพียงร่างสีแดงเืเล็กๆ ของค้างคาวเืแดงที่พุ่งมาตรงหน้าแตกสลายไปในทันที หมอกเืปะทุขึ้นอย่างต่อเนื่องตามพลังของกระบี่ที่ตวัดออกไป ดอกไม้โลหิตกระหายเืกระเด็นไปในอากาศ
“มีพิษ ระวัง อย่าให้เืของมันโดนตัว” มู่จื่อหลิงที่หลบอยู่ พยายามไม่เข้าขัดขวางการโจมตีของกุ่ยเม่ย พร้อมทั้งควบคุมทิศทางเพื่อให้เสี่ยวไตกูโจมตีได้สะดวกยิ่งขึ้น
ใน่เวลาสำคัญนี้ มู่จื่อหลิงเอ่ยเตือนได้ทันท่วงที “ข้างกายข้ามีเสี่ยวไตกู เ้าดูแลตนเองด้วย”
ด้วยได้เห็นพลังที่แท้จริงของเสี่ยวไตกูแล้ว กุ่ยเม่ยจึงเข้าใจ
อย่างไรก็ตาม เขาไม่ได้หละหลวมลงเพราะเหตุนี้ ด้วยถึงแม้จะมีกลุ่มที่ถูกกวาดล้างไปแล้ว แต่ก็ยังมีพวกมันอีกกลุ่มใหญ่รออยู่ด้านหลัง
กุ่ยเม่ยว่องไวมาก เพราะในขณะที่ปกป้องมู่จื่อหลิง เขาก็ใช้กำลังทั้งหมดที่มีเข้าต่อสู้กับค้างคาวเืแดงที่อยู่้าไปพร้อมกัน
ในพริบตาเดียว กระบี่ยาวที่เปล่งประกายเจาะอากาศก็เต็มไปด้วยกลิ่นอายแห่งการสังหารที่อันตรายถึงชีวิต เสียงะเิดังกราวแหลมคมถูกปล่อยออกมาอย่างต่อเนื่อง
แต่ดูเหมือนค้างคาวเืแดงจะมีไม่หมดไม่สิ้น พวกมันพุ่งเข้ามาระลอกแล้วระลอกเล่ามา
กุ่ยเม่ยติดอยู่ในการต่อสู้นองเื ความแข็งแกร่งของเขาไม่ลดลง
เวลาผ่านไปครู่หนึ่ง ซากศพสีแดงของค้างคาวเืแดงโปรยปรายลงมา ช่างน่าตื่นตาตื่นใจ
......
เมื่อเทียบกับด้านพวกมู่จื่อหลิงที่มีความสงบเยือกเย็นแล้ว เห็นได้ชัดว่าพวกหลินเกาฮั่นทั้งสามลำบากเป็อย่างยิ่ง
ในเวลาเดียวกันกับที่หลินเกาฮั่นเตรียมพร้อมวิ่งหนี กลุ่มค้างคาวเืแดงได้แบ่งออกเป็สองกลุ่ม กลุ่มหนึ่งเข้าก่อกวนพวกมู่จื่อหลิง อีกกลุ่มโฉบเข้าหาพวกเขา
เห็นได้ชัดว่าพวกเขาไม่สามารถหนีไปได้เช่นกัน
ต้องรู้ว่าฝูงค้างคาวเืแดงหนาแน่นบินอยู่กลางอากาศ ไม่ได้คลานบนพื้น
พวกมันบินได้รวดเร็วเกินคาดคิด
หากวิ่งไปใน่เวลานี้ จะต้องพบทางตันอย่างไม่อาจเลี่ยง
เด็กปรุงยาทั้งสองคนเข้าใจในเื่นี้จึงค่อนข้างสงบ พวกเขาคว้าตัวหลินเกาฮั่นที่กำลังจะออกตัววิ่งเอาไว้
แต่ใครจะรู้ เห็นได้ชัดว่าหลินเกาฮั่นผู้ขี้ขลาดตาขาวด้วยความรักตัวกลัวตายไม่คิดจะสงบสติอารมณ์ดั่งเด็กปรุงยาทั้งสอง นับประสาอะไรกับอันตรายที่เข้ามา สิ่งเดียวที่เขาคิดได้คือวิ่งหนี
ดังนั้นสิ่งที่น่าเศร้าที่สุดในยามนี้คือเด็กหนุ่มทั้งสองที่ภักดีต่อหลินเกาฮั่น
ขณะดึงหลินเกาฮั่นที่รีบร้อนวิ่งไปตรงทางเข้าถ้ำอย่างไม่อาจควบคุมได้ พวกเขายังต้องต่อสู้กับค้างคาวเืแดง ทั้งยังต้องเฝ้าระวังการถูกโจมตี
ในเวลานี้เด็กปรุงยาทั้งสองไม่อาจใช้มือทั้งสองข้างในการต่อกรกับค้างคาวเืแดงจำนวนนับไม่ถ้วนได้ ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขายังต้องปกป้องดึงลากขวดน้ำมัน [1] ขวดใหญ่ เป็เช่นนี้จึงยากเกินกว่าพวกเขาจะรับมือไหว
หากหลินเกาฮั่นสามารถสงบลงได้ บางทีพวกเขาอาจยังสามารถต่อสู้ได้ดีอยู่
แต่ในขณะนี้ ดูเหมือนหลินเกาฮั่นจะบ้าไปแล้ว เขา้าเพียงวิ่งไปที่ปากถ้ำ สิ่งที่เด็กปรุงยาทั้งสองทำได้มีเพียงกอดเขาไว้แน่น
การกระทำของพวกเขาไม่เพียงทำให้หลินเกาฮั่นไม่เข้าใจ แต่ยังทำให้เขาเข้าใจผิดคิดว่าพวกเขา้าลากตนลงฝังไปด้วยกัน
ยิ่งหลินเกาฮั่นปราศจากอาวุธเช่นเดียวกับมู่จื่อหลิงยิ่งไม่ต้องพูดถึง ไม่ต้องพูดถึงว่าเขาปราศจากความรู้สึกยามต้องประจันหน้ากับภยันตราย ในยามนี้จึงมีเพียงความกลัวตายที่ทำให้เขาเสียสติไปเท่านั้น
เขาถอดหน้ากากที่ปิดบังใบหน้าออก เปล่งเสียงดังก้อง
“ปล่อย...ปล่อยข้า!”
“ได้ยินไหม...พวกเ้ารีบปล่อยข้าเร็ว!”
“เวรเอ๊ย ปล่อยข้า...”
ในขณะที่หลินเกาฮั่นรู้สึกหวาดกลัว เขาก็โกรธมากจนร้องะโออกมา!
ในยามนี้หลินเกาฮั่นไม่รับรู้ถึงเจตนาดีของเด็กปรุงยาทั้งสองเลย
อีกทั้งเื่น่าเศร้าที่สุดสำหรับเด็กปรุงยาทั้งสองคือ...พวกเขา ‘พูดไม่ได้’
ยามเผชิญหน้ากับฝูงค้างคาวเืแดงหนาแน่นเช่นนี้ พวกเขาไม่มีเวลาว่อกแว่ก ไม่อาจใช้ภาษามือมาอธิบายได้ ดังนั้นพวกเขาทำได้เพียงกอดหลินเกาฮั่นไว้แน่น
อย่างไรก็ตาม เป็เพราะหลินเกาฮั่นยังคงดิ้นรน ร้องะโสาปแช่งไม่เลิก
ไม่นานนัก บนร่างเด็กปรุงยาทั้งสองก็เริ่มมีสีสัน พวกเขาถูกพิษ
ด้วยเหตุนี้ เรี่ยวแรงของฝ่ามือทั้งสองจึงค่อยๆ ลดลง มือที่จับ หลินเกาฮั่นค่อยๆ คลายออก
ในยามนี้ ไม่รู้ว่าหลินเกาฮั่นเอาเรี่ยวแรงมาจากที่ใด สามารถหลุดออกจากพันธนาการของพวกเขาจนได้
ไม่เพียงเท่านั้น หลินเกาฮั่นยังอดกลั้นต่อความเ็ปในข้อมือ ใช้มือทั้งสองข้างจับเสื้อผ้าของเด็กปรุงยาทั้งสองจากด้านหลังให้เข้ามาบดบังร่างของตน ใช้คนทั้งสองเป็โล่มนุษย์
หาได้นึกไม่ว่าเป็เพราะการกระทำของหลินเกาฮั่นที่ทำให้เด็กปรุงยาทั้งสองต้องหยุดการเคลื่อนไหวลงพร้อมกัน ในดวงตาของเขามีเพียงประกายประหลาดใจ
พวกเขาหันหน้าไปอย่างเงียบๆ มองหลินเกาฮั่นด้วยความไม่เชื่อ
เมื่อไม่มีการโจมตีจากพวกเขา ในไม่ช้า ฝูงค้างคาวเืแดงก็พุ่งเข้ามา...
ในอีกด้านหนึ่ง มู่จื่อหลิงบังเอิญเห็นภาพนี้จากหางตาโดยไม่ได้ตั้งใจ
นี่ดูเหมือนจะเป็อย่างที่นางคาดไว้...มู่จื่อหลิงถอนหายใจอย่างเ็า นางทำเพียงชำเลืองมองแวบเดียว ก่อนเบือนหน้าหนี
แต่ใครจะรู้ ก่อนนางจะละสายตาไป ภาพต่อไปแทบจะทำให้มู่จื่อหลิงด่าประณาม
ในขณะที่ฝูงค้างคาวเืแดงพุ่งเข้ามา หลินเกาฮั่นได้ผลักเด็กปรุงยาทั้งสองไปข้างหน้า...
สิ่งที่ทำให้มู่จื่อหลิงอยากสาปแช่งไม่ใช่เพราะหลินเกาฮั่นผลักเด็กปรุงยาทั้งสองออกไปอย่างไม่ใส่ใจ นางไม่ได้มีความเมตตามากเพียงนั้น
ดังนั้นสิ่งที่ทำให้นางอยากสาปแช่งก็คือ...
ภาพไม่น่าเชื่อเกิดขึ้นต่อจากนั้น
เห็นได้ว่าฝูงค้างคาวเืแดงรุมเข้าหาเด็กปรุงยาทั้งสอง จนหลินเกาฮั่นรอดพ้นจากอันตราย
ใช่ เขารอดพ้นจากอันตรายแล้วจริงๆ
บ้าเอ๊ย! เป็เช่นนี้ได้อย่างไร? ร่องรอยของความสงสัยปรากฏขึ้นบนหน้ามู่จื่อหลิง
ในขณะที่หลินเกาฮั่นผู้ซึ่งกำลังจะหลบหนี ก็ค้นพบสิ่งนี้เช่นกัน
แม้ว่าเขาจะไม่สามารถเข้าใจได้ แต่ในยามนี้เขาไม่ควรคิด การหลบหนีเป็สิ่งสำคัญที่สุด
ในตอนท้าย หลินเกาฮั่นยังคงไม่ลืมหันไปมองพวกมู่จื่อหลิงที่ยังคงติดพันกับการต่อสู้นองเือยู่อีกด้านหนึ่ง รอยยิ้มเสแสร้งอย่างพึงพอใจปรากฏขึ้นที่มุมปากของเขา “ฮ่าฮ่า...คิดไม่ถึงว่าฉีหวางเฟยจะมีวันนี้ มีถ้ำขนาดใหญ่เป็หลุมฝังศพ ทั้งยังมีคนจำนวนมากถูกฝังร่วมกับท่าน นับว่าคู่ควรกับสถานะของท่านยิ่งนัก อาจกล่าวได้ว่านี่เป็การตายอย่างมีเกียรติ ฮ่าฮ่า...”
์เป็ใจให้ข้ายิ่งนัก!
ยามเห็นใบหน้ายั่วยุของหลินเกาฮั่น มู่จื่อหลิงก็ยิ่งโกรธมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม ในยามนี้ใบหน้าของมู่จื่อหลิงกลับสงบไม่เปลี่ยนแปลง นางไม่หันมองเขาแม้เพียงนิด ยังคงนำเสี่ยวไตกูเข้าต่อสู้ต่อไป
แต่ในยามนี้ หลินเกาฮั่นไม่สนใจความเฉยชาของมู่จื่อหลิง
เพราะในยามนี้ ในสายตาเขา พวกมู่จื่อหลิง มีค่าเท่ากับคนตาย เขาจะถือสาคนตายได้อย่างไร? เขาหัวเราะเยาะอีกสองสามครั้ง เสียงหัวเราะเต็มไปด้วยความเย้ยหยัน
จากนั้น หลินเกาฮั่นก็ถ่มน้ำลายอย่างโเี้ใส่เด็กปรุงยาทั้งสองที่ถูกเขาโยนทิ้งไปอย่างโเี้ “หึ! เ้าสิ่งที่ไร้ประโยชน์สองชิ้นนี้ คิดจะให้ข้าถูกฝังรวมกับพวกเ้าเช่นนั้นหรือ อย่าแม้แต่จะคิด”
หลินเกาฮั่นวิ่งตุปัดตุเป๋ไปยังปากถ้ำั้แ่ยังพูดไม่ทันจบประโยค โดยไม่หันกลับมามองแม้แต่น้อย...
ในเวลาเดียวกัน
“อา ไม่...”
“อย่า...ไป...”
ทันใดนั้น เสียงกรีดร้องอันน่าสยดสยองสองครั้งก็ดังออกมาจากถ้ำขนาดใหญ่ กลบเสียงทุกเสียงในถ้ำ
เมื่อได้ยินเสียงคนใบ้สองคนผู้ซึ่งกำลังกรีดร้อง หลินเกาฮั่นหยุดเท้า ก่อนจะออกวิ่งอีกครั้งโดยไม่คิดจะหันมามอง
เด็กปรุงยาทั้งสองที่กำลังจมลงไปในกลุ่มค้างคาวเืแดงมองดูร่างอ้วนวิ่งไปยังปากถ้ำด้วยความสิ้นหวัง ใบหน้าของพวกเขาเต็มไปด้วยความไม่เชื่อ ดวงตาบริสุทธิ์เต็มไปด้วยความสิ้นหวัง
นั่นคือคนที่พวกเขา้าปกป้องด้วยชีวิต!
เขา เขาทำได้อย่างไร...ทิ้งพวกตนไปได้อย่างไร?
ไม่ว่าเด็กปรุงยาทั้งสองจะคิดอย่างไร พวกเขาก็คิดไม่ถึงว่าคนที่พวกเขาพยายามปกป้องอย่างเต็มกำลังจะใช้พวกเขาเป็โล่มนุษย์ ทั้งยังโยนพวกเขาทิ้ง
แต่สิ่งที่หลินเกาฮั่นพูดในตอนท้ายทำให้ความรู้สึกสิ้นหวังของพวกเขาเลวร้ายยิ่งขึ้น
ในบั้นปลายชีวิต พวกเขาคิดไม่ออกว่าเหตุใดคนที่เลี้ยงดูตนมาั้แ่ยังเล็ก ผู้ซึ่งพวกเขาถือว่าเป็บิดา ในยามนี้จะละทิ้งพวกเขาลงได้ พวกเขาถูกโยนทิ้งแล้วในยามนี้
ที่สุดแล้วเป็เพราะเหตุใด...
พวกเขาเต็มไปด้วยความสิ้นหวังกับสิ่งที่ไม่มีวันเข้าใจ ว่านี่คือธรรมชาติของมนุษย์ที่เห็นแก่ตัว
สามารถแยกจากกันเมื่อภัยพิบัติใกล้เข้ามา [2] ขี้ขลาดตาขาว รักตัวกลัวตาย สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็สันดานมนุษย์เห็นแก่ตัว!
ยามร่างหลินเกาฮั่นเลี้ยวโค้งหายไปอย่างสมบูรณ์ เป็่เวลาที่ชีวิตของเด็กปรุงยาทั้งสองสิ้นสุดลง
หลินเกาฮั่นยามตายไปเ้าต้องตกนรก...มู่จื่อหลิงชำเลืองมองคนสองคนที่จมอยู่ใต้ฝูงค้างคาวเืแดงอย่างเห็นอกเห็นใจ
สองคนนี้ตายอย่างเหมาะสมแล้ว ก่อนตายพวกเขาได้เห็นใบหน้าที่แท้จริงของผู้ที่ตนพึ่งพาและเคารพเสมอมา ไม่ควรมีเื่ให้เสียใจอีก
แต่ก่อนที่ความรู้สึกเ่าั้ของมู่จื่อหลิงจะหมดลง ่เวลาต่อมา สีหน้าของนางก็เปลี่ยนไป ไม่มีความสงบเยือกเย็นดังก่อนหน้าอีก
เพราะในยามนี้ความช่วยเหลือที่ทรงอานุภาพที่สุดของพวกเขาเหี่ยวแห้งไปแล้ว พวกเขาจำต้องปกป้องตนเองอย่างยากลำบาก
มู่จื่อหลิงคิดถึงเพียงความเหนือชั้นที่แสนโดดเด่นของเสี่ยวไตกู แต่กลับลืมเื่งี่เง่าที่น่าผิดหวังนี้ไปเสียสนิท ่เวลาแห่งความเดือดดาลของเสี่ยวไตกูมีเพียงชั่วครู่เท่านั้น
ดังนั้นในยามนี้ ลิ้นพิษเล็กๆ ของเสี่ยวไตกูหมดลงแล้ว มันทรุดลงกับพื้น ไม่อาจสั่นไหวอีกต่อไป
หลังจากนั้น ร่างเล็กของมันไม่สามารถยืนหยัดบนไหล่ของมู่จื่อหลิงได้ มันก็ร่วงหล่นไปบนพื้นทันที ด้วยสายตาที่ว่องไว มู่จื่อหลิงจึงคว้าตัวมันไว้อย่างรวดเร็ว
ยามนี้เสี่ยวไตกูอยู่ได้นานถึงเพียงนี้ ทั้งยังกำจัดค้างคาวเืแดงไปจำนวนมากเป็ประวัติการณ์ มู่จื่อหลิงนำมันกลับเข้าไปในระบบซิงเฉินด้วยความลำบากใจ
แต่ใครจะคิดว่าค้างคาวเืแดงที่กลัวลิ้นพิษของเสี่ยวไตกู เหมือนจะรู้สึกว่าอันตรายถูกนำออกไปแล้ว
ในยามนี้ พวกมันกลับมารุมล้อมพวกเขาอีกครั้ง......
---------------------------------------
เชิงอรรถ
[1] ลากขวดน้ำมัน (拖油瓶) เป็สำนวน มีความหมายว่า ตัวภาระ ส่วนมากมักใช้เทียบลูกติดหรือกล่าวกระทบคนที่มีลูกติด
[2] แยกจากกันเมื่อภัยพิบัติใกล้เข้ามา (生死临头各自飞) เป็วลี มีความหมายว่า คนเห็นแก่ตัวที่ยามตกอยู่ใน่เวลาวิกฤตสามารถละทิ้งคนที่มีความสำคัญกับตนได้ ประโยคเต็มคือ 夫妻本是同林鸟是一句名句,下一句是大难临头各自飞 แปลว่า สามีภรรยาเดิมเป็นกในป่าเดียวกัน กลับบินแยกจากกันเมื่อภัยพิบัติใกล้เข้ามา ใช้กล่าวถึง คนเห็นแก่ตัวบางคนที่ละทิ้งสามี (หรือภรรยา) ได้ใน่เวลาวิกฤต