ด้วยความที่ผู้ชายสกุลเหยียนทุกคนรูปลักษณ์จะค่อนข้างดี ตัวสูงและหล่อ จึงกลายเป็ที่พูดถึงของคนระดับสูงอยู่บ่อยๆ สำหรับเหยียนจวิ้นแล้ว ตอนที่เขายังหนุ่มเองก็เป็หนุ่มหล่อที่มีสาวๆ มารุมล้อม
ถึงแม้ตอนนี้เขาจะอายุใกล้หกสิบปีแล้ว แต่ก็ยากที่จะทิ้งสไตล์ของเขาในตอนนั้นไปได้ เพียงแต่สไตล์นี้เหยียนจิ่งจื้อไม่เห็นด้วย เขาคิดว่าความรักที่เหยียนจวิ้นมีต่อเหม่ยเวยมันป่วย ป่วยจนมันส่งผลกระทบมาถึงรุ่นพวกเขา
“มาหาผมมีอะไรหรือ?” เหยียนจิ่งจื้อจือแสดงท่าทีสบายๆ ออกมา
“แกไปไหนมา?” แววตาของเหยียนจวิ้นแฝงไปด้วยการจับผิดเหมือนหมาจิ้งจอก น้ำเสียงไม่ได้เป็มิตรมากเท่าไร
“เื่นี้คงไม่จำเป็ต้องบอกพ่อหรอกมั้ง”
การถาม-ตอบแบบนี้เหมือนการพูดกันของคนสองคนที่เกลียดกันมาั้แ่ชาติปางก่อน โชคดีที่คนที่ยืนอยู่ด้านข้างเป็คนที่มีประสบการณ์มามาก ไม่อย่างนั้นคงตกตะลึงกับการพูดคุยของสองพ่อลูก
“เอาล่ะ ไม่คุยเื่ไร้สาระกับแกแล้ว ฉันมาที่นี่ก็เพื่อยืนยันสองเื่” ในที่สุดเหยียนจวิ้นก็เข้าธุระสำคัญตรงๆ “เื่แรก คนข้างกายของฉันที่มีฉายาว่ามือขวาหายตัวไป ก็เลยมาถามแก”
เหยียนจิ่งจื้อไม่ได้แสดงออกอะไรมาก แล้วพูดต่อ “เื่สองล่ะ?”
“แกยังไม่ตอบเื่แรกกับฉันเลย”
“ไม่รู้”
จู่ๆ เหยียนจวิ้นก็หัวเราะออกมา อย่างไรเขาก็แก่ลงเรื่อยๆ เขามีลูกชายอยู่ทั้งหมดสองคน ลูกชายคนโตไม่ค่อยมีความทะเยอทะยานมากเท่าไร เขาจึงตั้งความหวังที่ค่อนข้างสูง เอาไว้ที่เหยียนจิ่งจื้อ ไม่อย่างนั้นคงไม่เข้มงวดไปจนถึงด้านความรักด้วย
ในตอนนั้นเอง เป็เหยียนจวิ้นที่ยอมก่อน “ก็แค่ลูกน้องคนหนึ่ง ฉันก็ไม่ได้สนใจอะไรมากหรอก แต่ว่านะจิ่งจื้อ แกยังเด็กเกินไปหน่อย อย่าเพิ่งรีบสลัดฉันทิ้ง เื่ที่สองที่ฉันจะพูดคือ อาทิตย์หน้าจะมีงานเลี้ยงตระกูลเจินร่วมมือกับสิบอันดับจ้าวธุรกิจทั่วประเทศ ถึงตอนนั้นฉันเองก็จะเข้าร่วมด้วย”
มองดูเหยียนจวิ้นเดินขึ้นรถไปพร้อมกับบอดี้การ์ดจำนวนมาก เหยียนจิ่งจื้อก็แค่นหัวเราะออกมา งานเลี้ยงร่วมมือทำธุรกิจในอาทิตย์หน้า เดิมทีเขาเองก็ตัดสินใจจะไป
ถึงแม้จะลงจากตำแหน่งของลูกเขยตระกูลเจินในอนาคต ก็ไม่สามารถเขย่าตำแหน่งเ้าแห่งโลกธุรกิจของเขาในอนาคตได้
เหยียนจิ่งจื้อกลับมาถึงบ้านก็โยนชุดสูททิ้งลงบนโซฟาทันที ตอนที่นั่งลงแล้วเอนกายไปด้านหลังก็ยังเก็บมันขึ้นมาแต่โดยดี
จำได้ว่ามีบางคนเคยบ่นเขาว่า “อย่าโยนของทิ้งมั่วซั่วสิ ไม่มีระเบียบเลย!”
เหยียนจิ่งจื้อรู้สึกว่าตัวเองอาจจะเป็มาโซคิสม์อยู่หน่อยๆ แน่ ถึงได้คิดถึงวันเวลาที่พวกเขาอยู่ร่วมบ้านเดียวกันเป็พิเศษ ถึงแม้จะถูกเธอรังแก แต่นั่นก็เป็การถูกรังแกที่มีความสุข
“คุณชายคะ เมื่อครู่มีสายโทรเข้ามาสองสาย สายแรกมาจากคุณหนูติง อีกสายมาจากคุณหนูเจินค่ะ” แม่บ้านเดินเข้ามาบอกด้วยท่าทางกล้าๆ กลัวๆ เื่รายงานอะไรพวกนี้เธอไม่ค่อยถนัดเท่าไหร่ เพราะว่าแต่ก่อนคุณชายเหยียนจิ่งจื้อถือเป็คนที่มีประวัติขาวสะอาด เคยมีผู้หญิงหลายคนโทรมาหาพร้อมกันที่ไหน!
เหยียนจิ่งจื้อถึงนึกขึ้นได้ว่าเขาโยนโทรศัพท์ไปไว้ข้างหลังรถเพราะหานอวี้จือโทรมาหา
เขาโบกมือ “รู้แล้ว”
แม่บ้านเดินออกไป แต่ก็ยังเดินหนึ่งก้าวหันมามองสามที เกรงว่าคุณชายจะโทรกลับไป เธอจะได้เอาโทรศัพท์มาส่งให้
คิดไม่ถึงว่าเธอจะต้องเอาโทรศัพท์ไปให้อยู่ดี ไม่ใช่เพราะเหยียนจิ่งจื้อจะโทรกลับไป แต่เป็เพราะฝั่งนั่นโทรมาอีกแล้ว
เหยียนจิ่งจื้อทำสัญญาณมือ หลังจากนั้นแม่บ้านก็เข้าใจและช่วยกดปุ่มลำโพงช่วยคุณชายรับสาย ปลายสายมีเสียงของเจินเนี้ยนดังออกมา “คุณเหยียนกลับมาหรือยัง?”
แม่บ้านเห็นเหยียนจิ่งจื้อส่ายหน้า เธอเองก็ส่ายหน้า “ขอโทษด้วยค่ะคุณหนูเจิน คุณเหยียนยังไม่กลับมาเลยค่ะ”
เจินเนี้ยนเองก็ไม่ได้เซ้าซี้ต่อแล้ววางสายไป
จากที่เหยียนจิ่งจื้อรู้จักเจินเนี้ยนมา โทรศัพท์สายนี้คงจะโทรมาเพื่อขอเป็คู่ควงในงานเลี้ยง ตอนนั้นเขาคิดว่าเจินเนี้ยนมีดีอยู่สามอย่าง คือหุ่นดี หน้าตาตี นิสัยดี ตอนนี้พอมาคิดกลับไปแล้ว เขาก็มีความรู้สึกขยะแขยงขึ้นมา
มีความสัมพันธ์คลุมเครือกับเพื่อนสนิทของภรรยามาหกปีเต็ม คิดว่าเซิงเสี่ยวเองก็รู้สึกขยะแขยงแค่ไม่พูดออกมาเท่านั้น
เมื่อคิดดังนั้นในใจของเขาก็รู้สึกขยะแขยงตัวเองขึ้นมาด้วย…จึงไม่รับสาย
แม่บ้านเดินไปได้ไม่ถึงสามเมตรโทรศัพท์ก็ดังขึ้นมาอีก เธอมองมาที่เหยียนจิ่งจื้ออย่างกล้าๆ กลัวๆ แล้วรับสาย ครั้งนี้อีกฝ่ายคือติงเจียลี่ “คุณน้าคะ จิ่งจื้อกลับมาหรือยังคะ?”
เหยียนจิ่งจื้อเงียบไปไม่ถึงสามวิ จากนั้นก็ลุกขึ้นไปรับโทรศัพท์จากมือของแม่บ้าน “โทรหาฉัน?”
แม่บ้านตะลึงตาค้าง ถึงเป็แค่แม่บ้านคนหนึ่ง แต่ตอนนี้เื่ราวในสมองของเธอมีอะไรเต็มไปหมด อย่างเช่นทำไมไม่รับสายเจินเนี้ยนแต่รับสายติงเจียลี่
หนึ่ง อาจจะเพราะคุณหนูเจินไม่ได้ใช้คำพูดที่มีมารยาท คุณลองคิดถึงคุณหนูติงที่เอ่ยปากด้วยน้ำเสียงหวานๆ เรียกว่าคุณน้าคะดูสิ แม่บ้านรีบตัดความคิดทิ้งไป เหยียนจิ่งจื้อไม่มีทางใส่ใจว่าเธอจะเรียกแม่บ้านว่าคุณน้าหรือไม่นี่นะ
สอง เหยียนจิ่งจื้อชอบคุณหนูติงมากกว่าคุณหนูเจิน คุณดูข่าวและหนังสือพิมพ์ใน่นี้สิ แม้แต่คุณท่านเมื่อครู่ยังจ้องหนังสือพิมพ์ตาไม่กะพริบเลย
แม่บ้านคิด แย่แล้ว หรือว่าคุณหนูติงจะแต่งเข้าตระกูล? เธอยังรอคอยน้าเนี่ยสุดสวยที่คุณหนูเจียอวี๋คนนั้นเรียกมาตลอดนะ!
เหยียนจิ่งจื้อในตอนนี้มองไม่ออกว่าในใจของแม่บ้านมีความคิดมากมายแค่ไหน เขากดปิดลำโพงก็ได้ยินติงเจียลี่ถามว่า “ทำไมโทรศัพท์โทรไม่ติดเลยล่ะ?”
ความจริงติงเจียลี่คนนี้เป็ผู้หญิงที่ซื่อสัตย์มาตลอด ทั้งที่โรงหนังครั้งนั้นด้วย รวมถึงตอนที่เขาอยู่ที่อเมริกาหลังจากที่ได้บังเอิญช่วยเธอไปก็เช่นกัน แต่จากประโยคคำถามสั้นๆ ของเธอ เขาััได้ว่าเธอไม่เหมือนแต่ก่อนแล้ว
“มีธุระอะไร” เหยียนจิ่งจื้อตอบกลับด้วยคำถาม ในสายตาเขา คำถามนี้ไม่จำเป็ต้องตอบ
ติงเจียลี่เองก็รู้จึงไม่ได้ถามต่อและเปลี่ยนมาพูดพลางหัวเราะแทน “เอเจนซี่ถามฉันว่าวันศุกร์หน้ามีกิจกรรมอะไรพิเศษหรือเปล่า ไม่อย่างนั้นเขาจะจัดงานประกาศให้ฉันแล้ว” เป็ประโยคขู่กึ่งชวน
ทันใดนั้นเหยียนจิ่งจื้อก็หัวเราะออกมา “คืนวันศุกร์หน้าเวลาของเธอเป็ของฉัน ถ้าหากเอเจนซี่ของเธอไม่ยอมก็ให้เขามาหาฉัน”
ในเวลานั้นใจของติงเจียลี่ก็รู้สึกลิงโลดขึ้นมา ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเธอได้ถูกเสน่ห์ของเหยียนจิ่งจื้อดึงดูดเข้าให้แล้ว หนึ่งในสิ่งที่ทำให้เธอหลงใหลมากก็คือความเอาแต่ใจนั่น!
ผู้ชายบางคนมีรูปลักษณ์ดูเอาแต่ใจ แต่คุณสมบัติกลับไม่ได้เป็แบบนั้น มีผู้ชายบางคนมีทั้งคุณสมบัติและมีเงิน แต่กลับหน้าตาไม่ดี ทว่าในบรรดาผู้ชายที่มีคุณสมบัติและมีเงิน เหยียนจิ่งจื้อนับเป็ระดับพรีเมี่ยม
ติงเจียลี่วางสายก่อนจะหวีผมของตัวเอง กว่าเธอจะได้เจอของดีแบบนี้มันไม่ง่ายเลย จึงอดคิดไปถึงชุดกระโปรงสีเขียวตัวนั้นไม่ได้
เนี่ยเซิงเสี่ยวจามออกมาอย่างแรง จนเนี่ยเหนี่ยวเหนี่ยวพองลมแก้มป่องอยู่ด้านข้างพร้อมมองเธอ “แม่ฮะ ผมว่ามีคนกำลังคิดถึงแม่อยู่”
“ไร้สาระ จามสองครั้งต่างหากที่แปลว่าคิดถึง จามหนึ่งครั้งแปลว่ากำลังโดนด่า ลูกรีบนอนเถอะ” เนี่ยเซิงเสี่ยวกดเขาเข้าไปในผ้าห่ม หมอบอกว่า เพื่อที่จะฟื้นฟูร่างกายเขาจะต้องนอนกลางวัน เธอจึงพยายามฝึกให้เหนี่ยวเหยี่ยวนอนกลางวันอยู่
แต่เ้าเด็กคนนี้ลงไปนอนตั้งนานแล้ว แต่ดวงตาคู่โตก็ยังกะพริบปริบๆ จนเนี่ยเซิงเสี่ยวอยากจะหาเข็มมาเย็บซะ
“ถ้ายังไม่นอนแม่จะตีแล้วนะ…” ยังไม่ทันได้ยกมือขึ้นมาโทรศัพท์ก็ดังขึ้น
หยิบหน้าจอขึ้นมาดู “ลุงจ้าวของลูก”
เนี่ยเหนี่ยวเหนี่ยวได้ยินเสียงโทรศัพท์ก็ตื่นเต้นขึ้นมาทันที เขาคิดว่าจะเป็พ่อเหยียนของเขาเสียอีก
“เซิงเสี่ยว ครั้งที่แล้วที่บอกกับเธอเื่งานเลี้ยง ได้คำตอบหรือยัง?” เสียงของจ้าวหยวนฟางยังคงอ่อนโยนเหมือนเดิม
แต่ตอนนี้เนี่ยเซิงเสี่ยวไม่เหมือนเดิมแล้ว ในหัวสมองกำลังคิดว่าเธอที่เป็กิ๊กแอบๆ จะกลายเป็คู่เต้นรำของคนอื่นในงานเลี้ยงได้อย่างไร
ในตอนที่กำลังจะปฏิเสธ เนี่ยเหนี่ยวเหนี่ยวก็ชี้ไปที่โทรทัศน์แล้วพูดเสียงดัง “เสี่ยวเสี่ยวดูสิ นั่นมันอาเหยียนไม่ใช่หรือ!”
ในวินาทีนั้นเนี่ยเซิงเสี่ยวลืมตอบจ้าวหยวนฟางไปและหันไปมองที่หน้าโทรทัศน์ ทันทีที่เห็นเธอก็อยากจะทุบโทรทัศน์ทิ้ง ถึงแม้จะเป็การแสดงแต่ก็ไม่ต้องใกล้ชิดกันขนาดนั้นก็ได้ไหม!
ถ้าแค่จับมือก็ช่างมันเถอะ ขึ้นไปอยู่บนรถสองต่อสองเป็ชั่วโมงก็ยังพอทน แต่ถึงขนาดพากลับบ้าน…
จู่ๆ เธอก็คิดว่าแค่ไปร่วมงานเลี้ยงกับจ้าวหยวนฟางแค่นั้นเอง ไม่มีอะไรสักหน่อย คิดเสียว่าเป็การตอบแทนบุญคุณเขาด้วย
“หยวนฟาง งานเลี้ยงมีเมื่อไหร่ล่ะ แล้วจัดที่ไหน?”
“คืนวันศุกร์ ถึงเวลาเดี๋ยวฉันไปรับ” จ้าวหยวนฟางที่ได้รับคำตอบแล้วก็รีบวางสาย
จู่ๆ เนี่ยเซิงเสี่ยวก็รู้สึกเสียใจภายหลัง เธอรู้สึกเหมือนตัวเองจะทำตัวตามอารมณ์เกินไปหน่อยแล้ว…