ฉินอวี้เซวียนผละออกมาจากหน้าต่างรถม้า โม่หลันพับเก็บผืนม่านที่หนาหนักอย่างพิถีพิถัน แล้วปล่อยลงมาแต่เพียงม่านโปร่งบางเบา ผู้ที่อยู่บนรถจะมองเห็นทิวทัศน์ภายนอกได้ แต่ผู้ที่อยู่ด้านนอกกลับเห็นคนที่อยู่บนรถไม่ชัดเจน ภายในอากาศไหลเวียนสะดวก ลมหนาวโชยเข้ามาทางหน้าต่าง แต่เพราะมีคนอยู่หลายคน ทั้งยังสวมอาภรณ์หนาที่ให้ความอบอุ่นจึงไม่รู้สึกหนาวมากมายนัก
วัดชิงเหลียงมิได้อยู่ไกลเกินไป เดินทางประมาณสองชั่วยามก็ถึงแล้ว
เมื่อมาถึงทางเข้าวัดก็พากันลงจากรถม้า เห็นอวี้ซือหรงและเฉินซื่อมารดาของนางยืนรออยู่ ด้านข้างยังมีสาวใช้ที่รอปรนนิบัติอีกสองสามคน เมื่อเห็นรถม้าของจวนฉินหยุดลง สายตาของอวี้ซือหรงก็พุ่งเข้าหาฉินอวี้เซวียนซึ่งกำลังพลิกกายลงจากอานม้า จากนั้นก็ยกชายกระโปรงขึ้นวิ่งไปหาเขาทันที โดยไม่สนใจผู้เป็มารดาที่พยายามขยิบตาให้นาง
เมื่อยืนอยู่ต่อหน้าฉินอวี้เซวียน ท่าทางการแสดงออกของอวี้ซือหรงพลันเปลี่ยนเป็กุลสตรีในห้องหอผู้นุ่มนวลอ่อนหวาน ช้อนตามองฉินอวี้เซวียนอย่างเขินอายแล้วกล่าวทักทาย “ซือหรงคารวะพี่ชายเซวียนเ้าค่ะ”
“ไม่ต้องมากพิธีหรอกญาติผู้น้อง” ฉินอวี้เซวียนค้อมกายเล็กน้อยทักทายกลับตามมารยาท แล้วรีบสาวเท้าก้าวใหญ่เข้าไปคารวะเฉินซื่อผู้มีศักดิ์เป็ป้าสะใภ้ มิได้สนทนากับหญิงสาวมากมายนัก อวี้ซือหรงโมโหกระทืบเท้าไม่พอใจ แต่ทำอะไรไม่ได้ต้องเดินย้อนกลับมา
ฮูหยินผู้เฒ่าฉินลงมาจากรถ มองไปที่อวี้ซือหรงด้วยสายตาเ็า เห็นได้ชัดว่าไม่สบอารมณ์ยิ่ง ริมฝีปากเม้มแน่นแต่สงวนวาจา นางไม่เคยรู้สึกชมชอบคุณหนูใหญ่สกุลอวี้ผู้นี้มาแต่ไหนแต่ไร ปรกติก็มักทำตัวหยิ่งทะนง ซ้ำยังเอาแต่วิ่งไล่ตามเซวียนเอ๋อร์โดยไม่คำนึงถึงมารยาทและความเหมาะสม มิได้นำพาต่อสถานะตนว่าเป็ถึงธิดาของตระกูลใหญ่ ไม่รู้จักกาลเทศะสักนิด
ลูกสะใภ้ผู้มีวิสัยทัศน์คับแคบของตนหมายให้นางแต่งเข้ามาสกุลฉิน แต่สตรีเช่นนางมีแต่จะเป็ตัวถ่วงเซวียนเอ๋อร์ตลอดชีวิต หลานชายสุดที่รักผู้องอาจหล่อเหลาของนางคู่ควรกับธิดาของตระกูลสูงศักดิ์ในเมืองหลวง แม้แต่โม่เสวี่ยถงก็ยังดีกว่าอวี้ซือหรงมากมายนัก
เดิมทีฮูหยินผู้เฒ่าฉินก็ไม่อยากมาวัดชิงเหลียงวันนี้ แต่คิดไม่ถึงว่าลูกสะใภ้จะพาเฉินซื่อมาหา พอเข้าประตูมาก็บอกว่าได้จองห้องพักไว้ให้พวกนางแล้ว ทั้งยังบอกอีกว่าจะเดินทางไปด้วยกัน ขณะที่ตนเองกำลังจะเอ่ยปากปฏิเสธ สาวใช้ิเยวี่ยที่ปรกติก็หัวไวเฉลียวฉลาดของนางเกิดปากไวโพล่งออกไปว่า “ช่างประจวบเหมาะนัก เหล่าไท่ไท่ของพวกเราก็กำลังอยากไปอยู่พอดี เสียแต่จองที่พักไม่ได้”
คำพูดประโยคนี้ทำให้วาจาที่นางเตรียมไว้ติดอยู่ที่ลำคอ กลืนก็ไม่เข้าคายไม่ออก สุดท้ายจึงต้องรับปากไปวัดชิงเหลียงด้วยความจนใจ แน่นอนว่าในหัวใจรู้สึกอึดอัดยากจะรับได้ยิ่งกว่ากลืนแมลงวันเข้าไปเสียอีก ฝ่าคลื่นลมในเรือนหลังมานานหลายปี ไยฮูหยินผู้เฒ่าฉินจะดูไม่ออกเล่า สาวใช้รุ่นใหญ่ข้างกายตนก็เป็คนของสะใภ้สกุลอวี้ แล้วจะไม่ให้นางโมโหได้อย่างไร สีหน้าก็พลันนิ่งขรึมลง แต่ต่อหน้าเฉินซื่อ นางกลับไม่อาจเอ่ยวาจาใด
แม้ต่อมาจะสั่งลงโทษิเยวี่ยไปแล้ว แต่โทสะในใจก็ยังไม่คลาย
โชคดีที่อวี้ซื่อยังรู้จักเชิญถงเอ๋อร์มาด้วย มิใช่คิดจะเปิดทางให้หลานสาวของตนเองได้มีโอกาสอยู่กับเซวียนเอ๋อร์เพียงลำพัง มิเช่นนั้นนางคงชักสีหน้าใส่เฉินซื่อไปแล้ว
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ ฮูหยินผู้เฒ่าฉินก็มองไปที่อวี้ซื่อลูกสะใภ้ที่กำลังลงจากรถม้าซึ่งอยู่ไม่ไกลนัก สีหน้านิ่งขรึมลง ลูกไม้เล็กน้อยของลูกสะใภ้นางแสร้งทำมองไม่เห็นมาโดยตลอด ด้วยเห็นแก่ที่นางคลอดหลานชายเฉลียวฉลาดให้ จึงมิได้เอาความกับนางจริงจังเื่อนุภรรยาในเรือนหลังของฉินเอ๋อร์ แต่ไม่คิดว่านางจะกล้ายื่นมือล้ำเข้ามาในพื้นที่ของตนเอง ไฉนเลยจะรู้สึกพึงพอใจได้
วันนี้นางก็มิได้เตรียมเสื้อผ้ามาด้วย เป้าหมายก็เพื่อหาเหตุผลกลับจวน เจตนาในใจของอวี้ซื่อและเฉินซื่อ ฮูหยินผู้เฒ่าฉินย่อมทราบดี แม้เดิมทีจะไม่กระจ่างชัด แต่เห็นอวี้ซือหรงมาปรากฏตัวที่นี่ ยังมีสิ่งใดไม่ชัดเจนอีกเล่า าุโทุกคนล้วนอยู่ที่นี่ อวี้ซือหรงไม่เข้ามาแสดงความเคารพไม่ว่า ยังตามตื๊อเซวียนเอ๋อร์ไม่หยุดหย่อน หามีการวางตัวเยี่ยงกุลสตรีแม้แต่น้อยไม่ ยิ่งเห็นก็ยิ่งน่าโมโห
ไม่ต้องเอ่ยถึงว่าโทสะในท้องของฮูหยินผู้เฒ่าฉินมีมากมายเพียงใด ไม่มีใครในสกุลอวี้ที่ทำให้นางรู้สึกเจริญหูเจริญตาได้สักคน
อีกทางหนึ่งอวี้ซือหรงก็ถูกเฉินซื่อผู้เป็มารดาลากตัวเดินเข้ามาอย่างไม่เต็มใจ เมื่อมาถึงหน้าฮูหยินผู้เฒ่าฉินก็คารวะทักทาย หลังจากโม่เสวี่ยถงลงจากรถม้ามาแล้ว ย่อมเข้ามาคารวะฮูหยินผู้เฒ่าก่อน หลังจากนั้นก็คาระวอวี้ซื่อ เฉินซื่อตามลำดับ ก่อนถอยไปยืนก้มหน้าก้มตาอยู่ด้านหลังของฮูหยินผู้เฒ่า ฟังพวกนางสนทนากันอยู่เงียบๆ
สายตาริษยาชิงชังของอวี้ซือหรงกวาดมองไปที่โม่เสวี่ยถง เบื้องลึกในดวงตาฉายแววยิ้มย่องร้ายกาจ
“ฮูหยินผู้เฒ่ามาถึงเสียที เห็นเวลาจวนเจียน ซือหรงอยู่ที่นี่ก็ถามถึงหลายคราแล้ว นางกลัวว่าฮูหยินผู้เฒ่าจะไปผิดที่ทำให้พลัดหลงหากันไม่เจอ จึงลากข้าออกมารอรับที่หน้าประตู ช่างเป็เด็กที่มีนิสัยใจร้อนจริงๆ” เฉินซื่อย่อมเห็นแววตาไม่พอใจของอีกฝ่าย จึงรีบยกเหตุผลมาอธิบายด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
“ซือหรงช่างเป็เด็กดีเฉลียวฉลาดนัก ปรกติก็รักและเคารพท่านแม่เป็อย่างยิ่ง ได้ยินว่าท่านแม่จะมา ไหนเลยจะนั่งรอเฉยอยู่ได้ นี่คงมายืนตากลมรออยู่ได้สักพักหนึ่งแล้วกระมัง ดูสิใบหน้าเย็นหมดแล้ว” อวี้ซื่อย่อมช่วยพี่สะใภ้ของตนเอง เอื้อมมือมาลูบใบหน้าของอวี้ซือหรง กล่าวอย่างตระหนกมากกว่าตำหนิ
โม่เสวี่ยถงหรี่ตาลงเล็กน้อย เงยหน้าขึ้นมองไปบนยอดไม้ ยังไม่ถึงยามมะเมีย แม้แสงตะวันจะเจิดจ้า แต่ก็ไม่แรงกล้าเกินไป ยิ่งไปกว่านั้นบนูเายามเหมันต์ถึงจะมีต้นไม้ต้านลมไว้ได้ส่วนหนึ่ง แต่ลมก็ยังแรงอยู่ดี ขนาดนางเพิ่งมายืนได้ชั่วครู่ก็ยังหนาวจนตัวสั่น โม่หลันสังเกตเห็นนางเริ่มหนาว จึงเข้ามายืนขวางทางลมให้ที่ด้านหน้า
“แม่หนูอวี้ช่างเป็เด็กดีจริงๆ แต่มารอหน้าประตูั้แ่เช้าขนาดนี้ระวังจะเสียสุขภาพได้ ตรงนี้มีผู้คนผ่านไปมามากมาย ทั้งยังมีแขกที่เป็บุรุษอีกด้วย พวกเ้าก็กระไรเลย ไฉนจึงไม่รู้จักเกลี้ยกล่อมนางหน่อย ให้เด็กสาวผู้หนึ่งแล่นมารอถึงหน้าประตู จะให้ข้าอายุสั้นหรืออย่างไร เฮ้อ... เป็เพราะข้าแท้ๆ” ถ้อยคำของฮูหยินผู้เฒ่าฉินก้ำกึ่งแฝงแววตำหนิ แม้ว่าใบหน้าจะอาบด้วยรอยยิ้ม คำพูดก็ดูเกรงใจยิ่ง แต่ฟังอย่างไรก็ไม่รื่นหู
พูดจาอ้อมค้อมไปมาก็ล้วนส่อเจตนาต่อว่าอวี้ซือหรงว่าไม่มีคุณสมบัติของกุลสตรี วิ่งมาเฝ้ารอคนถึงหน้าวัดเช่นนี้ มีสตรีดีงามที่ไหนเขาทำกันบ้าง แม้แต่เฉินซื่อก็ถูกว่ากระทบไปด้วยว่าไม่รู้จักธรรมเนียม ถึงอวี้ซือหรงจะยังเยาว์วัยไม่รู้ความ อยากไปไหนก็จะไปให้ได้ แต่เฉินซื่อเป็ถึงฮูหยินคนหนึ่ง ไฉนจึงปล่อยปละละเลยบุตรสาวของตนเอง
คำกล่าวนี้ทำให้เฉินซื่อหน้าแดงก่ำ อวี้ซือหรงก็อับอายจนไม่กล้าเงยหน้า แต่ก็ยังไม่วายแอบชำเลืองมองฉินอวี้เซวียน สองมือบีบเข้าหากัน นึกแช่งชักหักกระดูกอยากให้ฮูหยินผู้เฒ่าที่เข้ามาขวางเื่ดีงามของตนตายไปเสียไวๆ หากยายแก่ผู้นี้สิ้นบุญเมื่อไร สกุลฉินย่อมตกอยู่ในมืออาหญิงของนาง จะให้พี่ชายเซวียนแต่งตนเองเข้าตระกูลก็อาศัยแค่คำพูดประโยคเดียวเท่านั้นเองมิใช่หรือ
ยายเฒ่าสมควรตายจะมาวุ่นวายเื่ของชาวบ้านไปทำไม!
“เอาล่ะๆ ไหนๆ ก็มาแล้ว เข้าไปข้างในกันก่อนเถิด อย่ามายืนขวางหน้าประตูอยู่เลย โดนลมมากไปหากไม่สบายขึ้นมาจริงๆ จะทำให้ท่านแม่เสียแรงกังวลเปล่าๆ เด็กอายุน้อยยังไม่รู้ความ แม้ว่ามีใจกตัญญูอย่างแท้จริงก็ไม่อาจทำเช่นนี้ได้”
อวี้ซื่อแสร้งฟังไม่เข้าใจเดินเข้ามาไกล่เกลี่ย เหลือบตามองฉินอวี้เซวียนที่อยู่ข้างกาย เมื่อเห็นบุตรชายดูเหมือนจะไม่นำพาต่อสิ่งใด ก็ระบายลมหายใจอย่างโล่งอก
จากนั้นสายตาก็เลื่อนไปอยู่ที่โม่เสวี่ยถงซึ่งยืนฟังพวกนางคุยกันด้วยท่าทางเหม่อลอย แววตาพลันนิ่งลึก เื่ราวที่เกี่ยวพันถึงความสุขของน้องสาวและหลานสาวของตนเอง นางจะไม่พยายามช่วยเหลืออย่างสุดจิตสุดใจได้อย่างไร
เมื่อคิดถึงสิ่งที่เตรียมไว้ในครานี้ อวี้ซื่อก็เหลือบตาไปมองพี่สะใภ้ของตน เฉินซื่อรู้สึกได้ว่ามีคนจ้องอยู่ จึงฉวยโอกาสที่ฮูหยินผู้เฒ่าฉินกำลังหัวเราะคล้อยตามคำพูดหันไปผงกศีรษะให้ แสดงให้รู้ว่าตนเองเข้าใจความหมายของอีกฝ่ายที่บอกให้ไปเตรียมทุกอย่างให้เรียบร้อย มุมปากของอวี้ซื่อกระดกขึ้นยิ้มเยาะ นางไม่เชื่อว่าเด็กสาวผู้นี้จะยังโชคดีเหมือนทุกครั้ง
พวกนางเข้าไปในวัดชิงเหลียง ต่างเดินกันไปคุยกันไปด้วยท่าทางมีมารยาท โดยมุ่งหน้าไปทางที่พักอาศัย เรือนพักรับรองแขกของวัดจะติดป้ายอักษรต่างกัน แบ่งเป็ ‘เรือนเทียน’ ‘เรือนตี้’ ‘เรือนเสวียน’ และ ‘เรือนหวง’ ไม่มีแยกส่วนชายหญิงชัดเจน
เรือนเทียนใช้สำหรับต้อนรับแขกที่มีสถานะพิเศษเหนือสามัญ เรือนตี้มีไว้สำหรับรองรับตระกูลขุนนาง ผู้เข้าพักเรือนเสวียนโดยมากจะเป็บุคคลประเภทพ่อค้า และเรือนหวงเป็ที่พักสำหรับสามัญชนทั่วไป
สกุลฉินกับสกุลอวี้เข้าพักในเรือนตี้ ซึ่งตั้งอยู่ในตำแหน่งเกือบจะติดกับศูนย์กลางของวัด เรือนที่พักของชนชั้นสูงจะค่อนข้างสะดวกสบาย สามารถเข้าไปนมัสการพระพุทธรูปด้านในได้เลย คณะเดินทางของพวกเขาคุยกันไปเดินกันไปบนทางเดินเล็กๆ สายหนึ่ง หลวงจีนหนุ่มผู้นำทางพาพวกเขาเดินผ่านเรือนเทียนก่อน ด้านหลังของเรือนเทียนก็คือเรือนตี้
สาวใช้ประคองโม่เสวี่ยถงเดินไปด้านหลังสุด ยามที่เดินผ่านเรือนเทียนก็สังเกตว่ามีสองสามห้องซึ่งอยู่ภายในปิดอยู่ แสดงว่ามีผู้มาเข้าพัก องครักษ์สองคนที่เฝ้าอยู่หน้าประตูก็รู้สึกคุ้นตายิ่ง ขณะที่กำลังใคร่ครวญอยู่ เบื้องลึกดวงตาพลันเผยแววยิ้ม อวี้ซื่อต้องคาดไม่ถึงแน่ว่าที่นี่ยังมีบุคคลผู้นี้อยู่ด้วย
โม่เสวี่ยถงถูกจัดให้อยู่ในห้องที่ห่างไกลและวังเวงที่สุดในเรือนตี้ ยามที่นางเข้าไป ผู้ที่พักอยู่ห้องด้านข้างดูเหมือนว่าจะเป็บุรุษ รู้สึกไม่สะดวกเลยจริงๆ แต่ไม่อาจพูดอะไรได้ เมื่อเตรียมการมาอย่างชัดเจนเยี่ยงนี้ก็ไม่อาจบอกได้ว่ามาผิดที่
หลังจากสาวใช้ประจำตัวของอวี้ซื่อจัดการให้นางเข้าพักเรียบร้อยแล้ว ก็กลับไปพร้อมกับรถม้า กล่าวว่าจะไปจัดสัมภาระให้นางกับฮูหยินผู้เฒ่า ความหมายย่อมบ่งชัดว่าอวี้ซื่อจะพักอยู่ต่อแน่นอน
“คุณหนู เมื่อครู่ฮูหยินผู้เฒ่าบอกว่าให้ท่านพักผ่อนก่อน อีกประเดี๋ยวจะให้คนมาตามไปฟังธรรมเทศนาด้วยกันเ้าค่ะ” โม่หลันเก็บของไปก็นำเื่ที่ฮูหยินผู้เฒ่ากำชับไว้ระหว่างทางให้โม่เสวี่ยถงรับทราบ
โม่เสวี่ยถงลุกขึ้นผลักหน้าต่างให้เปิดออก ภายนอกอากาศสดใส เนื่องจากแสงแดดไม่แรงจัด ภายในหุบเขาจึงดูราวกับอยู่ในห้วงความฝัน ทัศนียภาพงดงามยิ่ง มิน่าเล่าผู้คนมากมายจึงพากันมาไหว้พระที่นี่ ช่างเป็สถานที่ที่เหมาะแก่การมาพักผ่อนยามว่างอย่างแท้จริง
ขณะที่กำลังค่อยๆ จัดสิ่งของที่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง โม่เสวี่ยถงก็เอ่ยถามขึ้น “โม่หลัน อย่าเพิ่งเก็บของกันเลย ธูปเทียนที่ให้เ้าเตรียมไว้ได้นำมาหรือไม่” เมื่อมาถึงวัดแล้ว นางจะไม่ไปสวดมนต์ต่อหน้าพระให้มารดาได้อย่างไร
“นำมาแล้วเ้าค่ะ คุณหนูจะไปตอนนี้เลยหรือเ้าคะ”
“มาถึงที่นี่ทั้งที ก็ต้องไปจุดธูปสักการะบูชาพระพุทธองค์แทนท่านแม่สิ” โม่เสวี่ยถงเม้มริมฝีปาก แหงนหน้ามองออกไปนอกหน้าต่าง ก่อนกล่าวเสียงเรียบ
โม่หลันรู้สึกได้ถึงความเศร้าสลดที่ครอบคลุมรอบกายของโม่เสวี่ยถงก็ทอดถอนใจ สงบวาจาลง แล้วหยิบธูปเทียนที่เตรียมไว้ออกมา หลังจากนั้นก็เดินตามโม่เสวี่ยถงออกไปข้างนอก โม่เยี่ยรั้งอยู่เฝ้าห้องและจัดของให้เรียบร้อย เพื่อป้องกันไม่ให้คนของอวี้ซื่อเข้ามาเล่นตุกติกได้
เนื่องจากเป็ฤดูเหมันต์ ผู้คนที่ขึ้นเขาจึงดูเงียบสงบแตกต่างจากยามฤดูวสันต์และฤดูสารท หอกลางสำหรับกราบไหว้พระอยู่ด้านหน้า โม่เสวี่ยถงให้โม่หลันเฝ้าอยู่ด้านนอก ส่วนตนเองก็ก้าวเข้าไปด้านใน ยามมองลึกเข้าไปในดวงเนตรของพระพุทธองค์ที่เปี่ยมไปด้วยความเมตตาต่อสรรพสัตว์ที่เวียนว่ายอยู่ในทะเลทุกข์ หัวใจของโม่เสวี่ยถงพลันรู้สึกเศร้าสลดสุดพรรณนา นางจุดธูปเทียนแล้วคุกเข่าต่อหน้าองค์พระด้วยหัวใจที่เ็ปไร้ที่ยึดเหนี่ยว