ผู้คนต่างครุ่นคิดในใจ และคิดว่าผู้าุโแซ่ฉินยกยอเย่เฟิงเกินไป
“ข้าเห็นด้วยกับการจัดอันดับของผู้าุโฉินนะ แต่ก็ยังแคลงใจกับอันดับที่ 4 อันดับที่ 5 รวมถึงของนักดาบแขนเดียว เย่เฟิงและอวิ๋นเจี๋ยมีพร์ที่ไม่เลว แต่จะทัดเทียมกับเว่ยจี้และเซี่ยโหวิได้อย่างไร? ข้าไม่คิดว่าสองคนนี้จะเข้าสิบอันดับแรกได้ นักดาบแขนเดียวก็เช่นกัน เขาไม่มีทางเข้าสิบอันดับแรกได้!” อาจารย์นี่จ้านเทียนกล่าว ดวงตาของเขาลุกโชน แล้วพูดต่อไปว่า “แล้วข้าก็คิดว่านี่จ้านเทียนมีความสามารถพอที่จะชิงอันดับที่ 1 แม้ตู๋กูหลงจะแข็งแกร่ง แต่ในหนึ่งปีนี้ศิษย์ข้าก็ก้าวหน้าไปไม่น้อย”
ผู้าุโฉินได้ยินเช่นนั้นก็หรี่ตาลงเล็กน้อย “เ้ามั่นใจในพลังของศิษย์รักเ้าหรือ?”
“แน่นอนอยู่แล้ว ข้าอบรมสั่งสอนเองกับมือก็ย่อมไม่มีทางด้อยไปกว่าใคร” ดวงตาของอาจารย์นี่จ้านเทียนเผยประกายเชื่อมั่น พลางลูบเคราของตน
“เช่นนั้นก็หวังว่าเ้าจะได้ในสิ่งที่้า!” ผู้าุโฉินกล่าวขณะสายตายังคงมองเย่เฟิงด้วยท่าทีใคร่ครวญ เขาเห็นหมดแล้วที่เด็กคนนี้พาบุตรสาวเขาขึ้นไปถึงบนสุดของบันไดก่อนหน้านี้ อีกอย่างเขาเลี้ยงบุตรสาวมาเป็อย่างดี ริ้นไม่ให้ไต่ ไรไม่ให้ตอม แต่วันนี้บุตรสาวเขาถูกเด็กคนหนึ่งอุ้มกอดต่อหน้าสาธารณชน แล้วจะไม่ทำให้ผู้าุโฉินคิดได้อย่างไร?
แต่ในสายตาของผู้าุโฉิน เย่เฟิงผู้นี้มีพร์ไม่เลว เขาสามารถแซงหน้าตู๋กูหลงจนขึ้นเป็ที่หนึ่งในการปีนขึ้นบันไดของการประลองรอบที่สองได้ก็ถือว่าเป็การพิสูจน์ที่ดี นอกจากเย่เฟิงแล้ว ผู้าุโฉินก็ยังสนใจอวิ๋นเจี๋ยและนักดาบแขนเดียว
ความรู้ที่อวิ๋นเจี๋ยมีต่ออำนาจฟ้าดินแกร่งกล้ามาก แล้วอำนาจฟ้าดินนั้นก็ไม่ใช่สิ่งที่ผู้ฝึกยุทธ์ระดับเดียวกันจะต่อต้านได้ พลังต่อสู้ก็ไม่เป็ที่กังขา ส่วนนักดาบแขนเดียวเป็อัจฉริยะที่หาได้ยาก ดาบของเขาว่องไวและแม่นยำ เมื่อชักดาบจักต้องเห็นเื และยังเป็นักดาบแท้จริงที่พบเห็นได้น้อย
“มีอีกเื่หนึ่ง ไม่ทราบว่าข้าจะพูดได้หรือไม่?” อาจารย์นี่จ้านเทียนพูดโพล่งขึ้นมา
“เื่อันใด? พูดมาได้เลย” ผู้าุโฉินกล่าว
“ศิษย์เล็กนี่จ้านเทียนชื่นชอบบุตรสาวท่านมาเนิ่นนาน หนุ่มหล่อสาวสวย ข้าคิดว่าพวกเขาเหมาะสมกัน มิสู้ท่านกับข้าจัดการเื่หมั้นหมายให้สองคนนี้ คิดเห็นเช่นไร?” อาจารย์นี่จ้านเทียนกล่าวด้วยดวงตาเป็ประกาย เขานั้นล่วงรู้ความปรารถนาของศิษย์รัก จึง้าทำความปรารถนานั้นให้สำเร็จ
แต่เมื่อผู้าุโสำนักยุทธ์เทียนเสวียนที่อยู่รอบ ๆ ได้ยิน แววตาของพวกเขาต่างก็เผยประกายคมกริบ คำพูดของผู้ทำพิธีผู้นี้ช่างตรงไปตรงมายิ่งนัก
ผู้าุโฉินชะงักไปชั่วขณะ ก่อนกล่าวว่า “เื่ของพวกเด็ก ๆ ไยพวกเราต้องยุ่งเล่า?”
“ข้าก็ไม่อยากยุ่ง แต่บุตรสาวของท่านนิสัยดีจริง ๆ ศิษย์เล็กจึงชื่นชอบนางมาก หากไม่ได้คู่กัน เกรงว่าจะส่งผลกระทบต่อเส้นทางแห่งการบ่มเพาะ” อาจารย์นี่จ้านเทียนกล่าว
“หากศิษย์เ้าคว้าอันดับที่ 1 ของงานประลองนี้มาครองได้ ข้าจะแนะนำเขาให้ลูกข้า” ผู้าุโฉินกล่าว บุตรสาวของเขาทั้งสวยและเก่ง แน่นอนว่าต้องเป็อัจฉริยะที่โดดเด่นที่สุดจึงจะคู่ควร
“เยี่ยม เช่นนั้นพวกเราตกลงกันแล้วนะขอรับ!” อาจารย์นี่จ้านเทียนได้ยินเช่นนั้นก็เผยรอยยิ้มอย่างพึงพอใจ
บนเวทีประลอง แน่นอนว่านี่จ้านเทียนได้ยินบทสนทนาของท่านอาจารย์และผู้าุโฉิน แววตาของเขาจึงทอประกายด้วยความตื่นเต้น และอดเหลือบไปมองฉินเยียนหรานที่อยู่ใกล้ ๆ ไม่ได้
ทักษะการฟังของผู้ฝึกยุทธ์นั้นดีเยี่ยม ยิ่งกว่านั้นเย่เฟิงที่ได้รับการชำระล้างจากทักษะหล่อิญญา จึงทำให้พลังิญญาของเขาไร้เทียมทาน รวมถึงการรับรู้ที่ทรงพลัง ดังนั้นเย่เฟิงจึงได้ยินบทสนทนาระหว่างอาจารย์นี่จ้านเทียนและผู้าุโฉินทั้งหมด ทำให้ดวงตาของเย่เฟิงฉายอย่างเย็นเยือก จากนั้นหันไปมองด้านอัฒจันทร์หลัก เขารู้ว่าคนผู้นั้นที่นั่งอยู่ตรงกลางเป็บิดาของฉินเยียนหราน
ส่วนอาจารย์ของนี่จ้านเทียน ก่อนหน้านี้เย่เฟิงเคยพูดคุยกับคนผู้นี้มาแล้ว ในงานประลองยุทธ์ที่พรรคเทียนจีจัดขึ้น เย่เฟิงเมินคำเตือนของอีกฝ่าย ทั้งยังสังหารเฟิงเฉียนศิษย์อีกคนด้วยเช่นกัน ดังนั้นเขาและผู้ทำพิธีผู้นี้ถือได้ว่ามีความแค้นเป็การส่วนตัว เขาไม่เชื่อว่าอีกฝ่ายจะเป็คนใจกว้าง แต่ต้องคิดกำจัดเขาอยู่ตลอดเวลาเป็แน่
“เ้าโง่ พ่อข้าทำเื่หมั้นหมายให้ข้า เหตุใดเ้าจึงไร้ปฏิกิริยาใด ๆ เลยเล่า?” ฉินเยียนหรานเห็นเย่เฟิงเงียบกริบก็เอ่ยออกมาด้วยความขุ่นเคือง
“ทำไม ร้อนใจหรือ?” เย่เฟิงกล่าวขณะมองฉินเยียนหราน
“ข้าไม่ได้ร้อนใจเสียหน่อย ถ้านี่จ้านเทียนคว้าอันดับที่ 1 ไปได้จริง ๆ บางทีข้าอาจพิจารณาคบกับเขาก็เป็ได้!” ฉินเยียนหรานกล่าวขณะจ้องเย่เฟิงตาเขม็ง แต่เย่เฟิงกลับรู้สึกว่ากำลังถูกผู้หญิงคนนี้ยั่วยวน
“อันดับที่ 1 เขาไม่มีทางได้ไปหรอก!” เย่เฟิงกล่าวเสียงนิ่งเรียบด้วยความมั่นใจเต็มเปี่ยม ทำให้ฉินเยียนหรานกะพริบตาปริบ ๆ คล้ายได้รับผลกระทบจากความมั่นใจเต็มเปี่ยมนั่น
ไม่นานการต่อสู้รอบนี้ก็จบลง แต่ว่าหนานกงหลิงซวงพ่ายแพ้ให้กับผู้ถูกเลือก จึงกลายเป็ผู้ถูกเลือกเสียเอง และสูญเสียสิทธิ์ในการเลือกคู่ต่อสู้ไป ทำให้หลาย ๆ คนทอดถอนใจ นี่น่ะหรือหญิงงามผู้ปลุกิญญาาหงส์ขั้นเขียวที่เคยโด่งดังไปทั่วอาณาจักรจ้าว?
จากนั้นการต่อสู้รอบที่สามเริ่มขึ้น หลังจากรอบนี้หากใครมีผลคะแนนแพ้สามตาก็จะตกรอบทันที ดังนั้นบรรยากาศในเวลานี้จึงตึงเครียดเป็อย่างมาก หลาย ๆ คนที่แพ้สองตาต่างแอบคิดในใจว่า รอบนี้ต้องคว้าชัยชนะมาให้จงได้
ตู๋กูหลง นี่จ้านเทียน และเฉินอ้าวเทียนต่างทำคะแนนได้อย่างดีเยี่ยม ทำให้หลาย ๆ คนถึงกับตัวสั่นสะท้านด้วยความหวาดผวา
“แกร่งมาก! สามคนนี้ไร้เทียมทานจริง ๆ สามอันดับแรกคงต้องเป็ของพวกเขา แต่ตู๋กูหลงน่าจะได้อันดับที่ 1 ไปครอง” ผู้คนคิดในใจ การต่อสู้ดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง ตู๋กูหลง นี่จ้านเทียน และเฉินอ้าวเทียนค่อย ๆ เผยไพ่ตายออกมาทีละนิด
สามอันดับแรกถูกกำหนดไว้แล้ว ไม่ว่าตัวแทนจากกองกำลังต่าง ๆ ของเมืองหลวง หรือเหล่าศิษย์สำนักยุทธ์เทียนเสวียนที่กำลังดูอยู่ กระทั่งผู้าุโระดับสูง ๆ ของสำนักยุทธ์เทียนเสวียนหลาย ๆ คนต่างก็คิดเช่นนี้
เมื่อเวลาล่วงเลย มีผู้ฝึกยุทธ์หลายคนตกรอบเพราะมีผลคะแนนแพ้สามตา ทว่าผู้ฝึกยุทธ์ยิ่งเหลือน้อย การต่อสู้ก็ยิ่งดุเดือดและโเี้มากขึ้นเท่านั้น
ขณะนั้นเองมีเงาร่างเดินออกมาจากขอบเวทีแล้วหยุดที่ใจกลางเวทีประลอง ก่อนสายตาจะมองไปที่คนคนหนึ่ง “ออกมาเดี๋ยวนี้ เ้ากับข้ามาประลองฝีมือกัน!”
เมื่อพูดเช่นนั้นออกไป ผู้คนจำนวนไม่น้อยต่างหันมามองเงาร่างนี้ด้วยดวงตาส่องประกายแหลมคม
“อวิ๋นเจี๋ยผู้นี้ท้าดวลกับลู่เจียงจริง ๆ ชักน่าสนใจแล้วสิ!” ผู้ฝึกยุทธ์คนหนึ่งกล่าว
อวิ๋นเจี๋ยนั้นอยู่อันดับที่ 9 ในรายนามขั้นรวมชี่ แต่ลู่เจียงอยู่อันดับที่ 7 ซึ่งสูงกว่าอวิ๋นเจี๋ยถึงสองอันดับ อีกในนัยหนึ่ง การจัดอันดับในรายนามแห่งแท่นศิลาเทียนเสวียนถือเป็ตัวพิสูจน์พลังของคนคนหนึ่ง มันจึงเป็ตัวพิสูจน์พลังของสองคนนี้ว่าห่างชั้นมากแค่ไหน
“ข้าว่าอวิ๋นเจี๋ยผู้นี้วู่วามเกินไป ลู่เจียงอยู่อันดับที่ 7 ในรายนามขั้นรวมชี่ พลังย่อมแกร่งกว่าเขาไม่น้อย จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ อวิ๋นเจี๋ยจึงเลือกสู้กับลู่เจียงในรอบนี้ โง่เขลาชัด ๆ เขาเสียเปรียบแน่!”
การที่อวิ๋นเจี๋ยท้าดวลกับลู่เจียง จึงดึงดูดความสนใจจากผู้คนได้ไม่น้อย และพวกเขาต่างพากันวิพากษ์วิจารณ์ แม้แต่เหล่าผู้คนที่ชมดูอยู่บนอัฒจันทร์ก็สนใจเช่นกัน นั่นเพราะว่าการปะทะระหว่างผู้ฝึกยุทธ์รายนามแห่งแท่นศิลาเทียนเสวียนไม่ค่อยมีให้เห็นมากนัก ศึกของอวิ๋นเจี๋ยและลู่เจียงอาจเป็การเริ่มการแข่งขันระหว่างผู้ฝึกยุทธ์รายนามแห่งแท่นศิลาเทียนเสวียน
“สวะ ไม่นึกว่าเ้าจะกล้าท้าดวลกับข้าจริง ๆ!” ประจวบเหมาะกับที่ลู่เจียงฟื้นตัวเสร็จสิ้นพอดี จากนั้นเห็นเขาค่อย ๆ ลุกขึ้นยืนแล้วมองไปที่อวิ๋นเจี๋ยด้วยสายตาเฉียบคม
“จะสู้หรือไม่? ถ้าไม่กล้าก็ไสหัวไปซะ!” อวิ๋นเจี๋ยได้ยินเช่นนั้นก็เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ก่อนกล่าวเสียงเ็าเช่นนั้น
“รนหาที่ตาย ในเมื่อเ้ามาหาถึงที่ เช่นนั้นข้าลู่เจียงก็จะสงเคราะห์เ้า!” ดวงตาของลู่เจียงวาบประกายเย็นเยือก จากนั้นเขาเดินออกมาและเคลื่อนไหวภายในพริบตา ก่อนจะไปปรากฏตัวที่เบื้องหน้าอวิ๋นเจี๋ย พร้อมกับเหวี่ยงหมัดโจมตีที่อัดแน่นไปด้วยพลังมหาศาลอย่างไม่ลังเล
“ลำพังเ้าน่ะหรือ? ไม่มีโอกาสซะหรอก!” อวิ๋นเจี๋ยกล่าวพร้อมแสงเยือกปะทุออกจากดวงตา จากนั้นอำนาจฟ้าดินพวยพุ่งออกจากฝ่ามือ เมื่อเขาวาดฝ่ามือ ม่านแสงแห่งพลังฟ้าดินปรากฏอย่างฉับพลัน ก่อนจะหยุดยั้งการโจมตีของลู่เจียงไว้ข้างนอก ตอนนั้นเองอวิ๋นเจี๋ยใช้มืออีกข้างที่อัดแน่นด้วยอำนาจฟ้าดินจู่โจมร่างลู่เจียง
ลู่เจียงชะงักไปชั่วขณะ จากนั้นเบี่ยงตัวหลบการโจมตีของอวิ๋นเจี๋ย ก่อนจะเหวี่ยงหมัดโจมตีไปที่ศีรษะของอวิ๋นเจี๋ย ขณะนั้นพายุทำลายล้างก่อตัวและเข้าปกคลุมทั้งสองคน
ร่างอวิ๋นเจี๋ยถูกห่อหุ้มด้วยอำนาจฟ้าดินพร้อมแสงแห่งอำนาจแผ่ออกมา ก่อนจะเข้าปกคลุมพื้นที่เป็วงกว้าง ตอนนั้นเองอวิ๋นเจี๋ยเหยียดนิ้วและยิงลำแสงพุ่งทะลวงผ่านทุกสิ่ง แล้วเข้าปะทะกับการโจมตีของลู่เจียง ตามมาด้วยเสียงะเิดังสนั่นพร้อมคลื่นทำลายล้างแพร่กระจาย แสงที่น่าสะพรึงกลัวถูกปลดปล่อย ก่อนจะกลายเป็พายุแห่งการทำลายล้าง แล้วอาละวาดไปทั่วเวทีประลอง ทำให้หลาย ๆ คนจำต้องถอยหนีเพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบ
“แกร่งมาก ทั้งสองสมแล้วที่เป็ผู้ฝึกยุทธ์รายนามขั้นรวมชี่ ต่อสู้ได้ดุเดือดยิ่ง จนการต่อสู้ศึกอื่น ๆ เทียบเคียงมิได้!” ผู้คนคิดในใจขณะมองสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยความตกตะลึง
ภายใต้การปะทะนี้ ลู่เจียงรู้สึกว่าตัวสั่นสะท้าน คล้ายมีอำนาจฟ้าดินแทรกซึมสู่ร่างกาย ทำให้อวัยวะภายในสั่นคลอนอย่างแรง สีหน้าเขาจึงดูไม่ค่อยดีนัก ทว่าลู่เจียงไม่แสดงมันออกมา ภายนอกของลู่เจียงจึงยังคงสง่าผ่าเผย