เส้นทางเดินกลับจากเรือนใหญ่ของจวนเยี่ยน อย่างน้อยเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วก็เดินมาสิบกว่าปีแล้ว แต่ไม่มีครั้งไหนที่จะน่าตระหนกจนใจเต้นรัวดั่งเช่นวันนี้
สวี่ชิวเยวี่ยผู้นี้ดูไปแล้วเหมือนกับหญิงสาวบริสุทธิ์ที่ตรงไปตรงมาคนหนึ่ง แต่เหตุใดพอเดินมาแล้วจึงเริ่มยึกยักยึกยือเหมือนเป็ลมบ้าหมูกัน? ทั้งสองคนหนึ่งโยกคนหนึ่งหลบอยู่หลายยก สวี่ชิวเยวี่ยทำให้เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วต้องเอาตัวรอดอย่างยากลำบากทีเดียว ความเร็วในการเดินจึงช้าลงเรื่อยๆ อย่างช่วยไม่ได้
“เปี่ยวเกอ เดินช้าหน่อยได้หรือไม่?” นั่นปะไร ทันทีที่เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วหลุดรอดจากการประกบอย่างไร้ช่องว่างของสวี่ชิวเยวี่ยมาได้ มีเวลาให้หายใจอย่างอิสระเพียงน้อยนิด ก็ถูกคำพูดของสวี่ชิวเยวี่ยลากกลับไปที่เดิม ยากจะสลัดพ้น
ไม่มีทางเลือก เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วได้แต่ชะลอฝีเท้าให้ช้าลง โอนอ่อนตามสวี่ชิวเยวี่ยอย่างสุภาพยิ่ง
ทว่า เมื่อข้อมือของสวี่ชิวเยวี่ยเกี่ยวรอบแขนของตนอย่างอยู่ไม่สุข เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วก็เริ่มก่นด่าความใจดีของตนในใจไม่หยุด หากไม่ใช่เพราะตนผ่อนฝีเท้าอย่างใจดีเกินไป ก็จะไม่มีโอกาสให้สวี่ชิวเยวี่ยมาถึงเนื้อถึงตัวได้!
มาเสียใจตอนนี้ก็สายไปแล้ว ไม่รู้ว่าสวี่ชิวเยวี่ยที่เป็สาวน้อยตัวเล็กอ้อนแอ้น ไปเอากำลังมากมายขนาดนี้มาจากไหน มือทั้งสองข้างรัดเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วไว้แน่นราวกับคีมเหล็กอย่างไรอย่างนั้น ขยับเท่าไรก็สลัดไม่หลุด
“เปี่ยวเกอ จะว่าไปเราก็ไม่ได้พบกันหลายปีแล้ว ท่านไม่คิดถึงข้าเลยหรือ?”
คุณหนูสวี่ผู้นี้เองก็ใช่ย่อย รัดแขนของเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วเอาไว้พลางยิ้มหวานหยดราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทั้งยังลากเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วให้ย้อนระลึกถึงอดีต ถึงความสุขอันไร้ทุกข์ไร้กังวลเมื่อวันวาน แต่สำหรับเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วแล้ว วัยเด็กของตนมีเพียงสิบแปดศัสตราวุธเย็นเฉียบเท่านั้น จะไปมีม้าไผ่เหมยเขียว [1] แสนหวานชื่นที่ไหนกัน?
เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วยกมือขึ้นเช็ดเม็ดเหงื่อบนหน้าผากที่กำลังจะไหลลงมา อดะโถามอยู่ในใจไม่ได้ว่า อย่าบอกนะว่าตอนเด็กๆ ทุกครั้งที่พี่ชายหนีเรียนไม่ฝึกวรยุทธ์ ที่แท้ไปกะหนุงกะหนิงกับแม่ลูกพี่ลูกน้องผู้นี้หรอกหรือ?
“อืม… คิดถึง คิดถึงเ้านะ...” แต่เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วที่ยึดมั่นในหลัก ‘จิตใจหญิงสาวมิอาจหักหาญ’ นั้นก็ยังใจไม่แข็งพอ แค่จะกลอกตาก็ยังไม่กล้า เอ่ยตอบคำพูดอ้อมค้อมเช่นนั้นกลับไปด้วยท่าทีอ่อนโยนนิ่มนวล สวี่ชิวเยวี่ยได้ยินเช่นนั้นดวงตาก็ส่องประกายวิบวับขึ้นมา และรีบกระชับมือที่จับแขนของเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วแน่นขึ้นไปอีก
เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วใมากจนรีบถอยหลังไปสองก้าว จากนั้นจึงแตะบนมือของสวี่ชิวเยวี่ย เป็สัญญาณว่าอย่าจับแน่นขนาดนั้น คนอื่นเขาจะหายใจไม่ออกอยู่แล้ว... ก่อนจะเอ่ยขึ้นอีกครั้ง “แต่ตอนนี้เราก็ได้เจอกันอีกครั้งแล้วไม่ใช่หรือ คราวหลังยังมีเวลาอีกมากนัก ไม่ต้องรีบร้อนในเวลาน้อยนิดเช่นนี้หรอก...”
“ไม่รีบร้อนได้อย่างไร?!” ไม่รู้ว่าพูดอะไรผิดไปตรงไหน จึงทำให้ดวงตาของสวี่ชิวเยวี่ยที่ไม่ได้เล็กยิ่งเบิกกว้างขึ้นไปอีก ทำเอาเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วตะลึงค้าง...
สวี่ชิวเยวี่ยอาจเพราะเห็นสีหน้าหวาดกลัวของเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วก็รู้ตัวว่าตนทำเกินไป จึงรีบเก็บสีหน้าที่ดูน่าสยองกลับมา แล้วเปลี่ยนเป็สีหน้าน่ารักเบิกบานอีกครั้ง เอ่ยอย่างน่าเอ็นดู “โถ ไม่ได้รีบสักหน่อย ข้าแค่อยากใช้เวลากับเปี่ยวเกอให้มากๆ เท่านั้นเอง... เปี่ยวเกอก็คิดถึงข้าเหมือนกันไม่ใช่หรือ?”
เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วที่ไม่รู้ว่าควรจะเผชิญหน้าการจู่โจมของสตรีเช่นนี้อย่างไร จึงได้แต่พยักหน้า เอ่ยด้วยสีหน้าอึดอัด “อืม… ก็ ก็ได้นะ แต่ว่าแขนข้าเจ็บมากเลย เ้าจะช่วยปล่อยข้าก่อนได้หรือไม่?”
สวี่ชิวเยวี่ยหน้าเปลี่ยนสี ไม่อาจเก็บซ่อนเอาไว้ได้อีก ไม่นานก็ปล่อยมือลงอย่างเขินอาย ในใจไม่เพียงเต็มไปด้วยความสับสนและเสียใจต่อท่าทางเ็าของเยี่ยนอวิ๋นหลิ่ว ยังเพิ่มความจงเกลียดจงชังต่อเยวี่ยเจาหรานที่เดิมทีไม่ได้อยู่ตรงนั้นเข้าไปอีก
ในที่สุดทั้งสองก็เปลี่ยนจากระยะสนิทสนมกลายเป็ระยะปลอดภัย เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วเองก็โล่งใจไปด้วย เมื่อเดินมาส่งคนจนถึงหน้าประตูอย่างเงียบเชียบแล้ว ทั้งสองที่หยุดฝีเท้าลงจึงเอ่ยอำลากันอย่างอึดอัด
“เช่นนั้น… เ้าก็กลับไปก่อนเถอะ ข้าขอตัว” เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วเอ่ยเช่นนั้นจบ ก็หันหลังเตรียมวิ่ง แต่กลับถูกสวี่ชิวเยวี่ยคว้าแขนเสื้อไว้ได้ นางเอ่ยอย่างน่ารัก “ท่านจะไปแล้วหรือ?”
ถ้าข้าไม่ไปแล้วจะทำอะไรได้อีกล่ะ? เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วตั้งคำถามกับตนเองในใจ แต่กลับยังอดทนไม่พูดออกไป เพียงแค่ทำสีหน้างุนงงและไม่ได้พูดอะไร
ปากเล็กของสวี่ชิวเยวี่ยยู่ลง นางก้มหน้า ในหัวของเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วนึกย้อนไปถึงการแสดงงิ้วที่ตนเคยแอบดูเมื่อก่อนเ่าั้ไม่หยุด และในที่สุดก็พลันยกมือขึ้นมาอย่างเข้าใจในทันที แล้วบีบแก้มของสวี่ชิวเยวี่ยเบาๆ อย่างหยอกล้อ
“อื้อ เด็กดี...”
แม้ว่าจะเอ่ยไปเพียงสองคำ แต่เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วนั้นแทบจะอ้วกออกมาอยู่แล้ว คอของนางขยับขย้อน เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วกลืนน้ำลายลงคออย่างเงียบๆ ไม่กล้าพูดอะไรอีก เห็นเพียงสวี่ชิวเยวี่ยที่เงยหน้าขึ้นมาช้าๆ ั์ตาดอกท้อยิ้มกริ่ม เอ่ยชมเชยตนเองในใจอย่างเงียบงัน
“ก็ได้เ้าค่ะ” เมื่อนั้นสวี่ชิวเยวี่ยถึงจะได้พึงพอใจ ในที่สุดก็ยอมปล่อยเยี่ยนอวิ๋นหลิ่ว แล้วแยกย้ายกันกลับไปคนละทาง
เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วที่ถูกปล่อยมาแล้วไม่กล้าหยุดสักประเดี๋ยว นางวิ่งฝุ่นตลบกลับไปยังห้องของตนอย่างรวดเร็ว กระดกชาสมุนไพรไปสามถ้วยใหญ่ จึงค่อยโล่งใจได้บ้าง
ทว่าสวี่ชิวเยวี่ยที่มองส่งเยี่ยนอวิ๋นหลิ่ววิ่งฝุ่นตลบไปจนไม่เห็นเงานั้นกลับเก็บรอยยิ้มบนใบหน้า แปรเปลี่ยนเป็สีหน้าเ็า ท่ามกลางแววตานั้นยังแฝงด้วยจิตสังหารอันเย็นะเื...
“ชุ่ยไต้ ชงชามา” สวี่ชิวเยวี่ยน้ำเสียงเย็นเยือก ผลักประตูเข้าไปในเรือนแล้วนั่งลงที่โต๊ะ นิ้วเรียวบางค่อยๆ โค้งงอและเคาะเบาๆ บนโต๊ะ ส่งเสียงดังกังวาน
เจตนาของสวี่ชิวเยวี่ยผู้นี้แม้จะเห็นได้ชัดเจน แต่ลูกไม้ของนางมีมากแค่ไหน เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วและเยวี่ยเจาหรานต่างก็มองไม่ออก ถึงอย่างไรสวี่ชิวเยวี่ยก็ได้รับการศึกษาอย่างดีมาั้แ่เด็ก ถือว่าการแต่งงานกับเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วนั้นคือหน้าที่รับผิดชอบชั่วชีวิต... เพื่อที่จะบรรลุเป้าหมาย นางสามารถทำเื่ที่อำมหิตเืเย็นโดยที่ใครก็ไม่อาจคาดเดาได้
ในห้องที่เงียบสงัด เหลือเพียงกลิ่นกำยานลอยฟุ้ง สวี่ชิวเยวี่ยแววตาเ็า ริมฝีปากแดงเผยอขึ้น แต่น้ำเสียงกลับเย็นะเืจนน่าหวาดหวั่น
“เ้ามองดูแล้ว ความรักของพวกเขาสามีภรรยาเป็เช่นไร?”
สาวใช้ที่อยู่ข้างๆ ได้ยินแล้วย่อมไม่กล้าเมินเฉย จึงรีบวางกาน้ำชาในมือลงแล้วเอ่ยตอบ “จากที่ดู เหมือนว่าคุณชายจะกลัวคุณหนูตระกูลเยวี่ยผู้นี้มาก ไม่เช่นนั้นจะทำเมินเฉย ทั้งยังเหินห่างต่อคุณหนูได้อย่างไร?”
สวี่ชิวเยวี่ยแววตาไม่ไหวติง แพขนตาดำลดต่ำลงเล็กน้อย ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงเอ่ยออกมา “ต่อให้นางจะเป็ผีสางนางไม้ ของที่ข้าอยากได้ ใครก็มาขวางไม่ได้ทั้งนั้น เดินทางมาไกลจากบ้านเกิด เสียแรงไปขนาดนี้ไม่ใช่เพื่อชื่อเสียงฐานะหรอกหรือ?” สวี่ชิวเยวี่ยลอบกำหมัดแน่น มือบางแข็งเกร็ง เมื่อเสียงไพเราะเงียบลง จิตสังหารแผ่ซ่าน “ทหารมาใช้ขุนพลต้านรับ น้ำมาก็ใช้ดินต้าน ข้ากลับอยากจะเห็นนัก ว่าคุณหนูตระกูลเยวี่ยผู้นี้จะมีดีสักแค่ไหนกัน...”
นอกหน้าต่างลมพัดต้นไม้ไหว พาให้ใบไม้ส่งเสียงดังกรอบแกรบไม่หยุด สวี่ชิวเยวี่ยยิ้มเย็นอย่างเงียบงัน แล้วเอ่ยขึ้นอีกครั้ง “เห็นท่าทีของนางบนโต๊ะอาหารวันนี้แล้ว ราวกับไม่เห็นข้าอยู่ในสายตา... ข้ารังเกียจท่าทางจองหองของนางนัก ไม่เห็นใครอยู่ในสายตาหรือ?” สวี่ชิวเยวี่ยวางถ้วยชาในมือลง แล้วเอ่ยเสริมอีกครั้ง “ข้าคงต้องให้นางได้เห็นความร้ายกาจเสียบ้าง!”
เชิงอรรถ
[1] ม้าไผ่เหมยเขียว (竹马青梅) เป็สำนวนหมายถึง เด็กชายเด็กหญิงที่เล่นด้วยกันมาแต่เยาว์วัย บางครั้งหมายถึงคู่รักที่ชอบพอกันมาั้แ่เด็ก
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้