เจินจูจ้องเหอตังกุยด้วยสายตาตะลึงงัน ราวกับ์ส่งนางมาเพื่อช่วยตนทำลายสิ่งกีดขวางบนเส้นทางของหุบเขาแห่งนี้
เจินจูเดินตรงไปยังเหอตังกุย ก่อนจะจับมือของอีกฝ่ายขึ้นมาด้วยความรู้สึกซาบซึ้งใจที่นางทำเพื่อแม่ชีคนหนึ่ง แม้เจินซู่กับพวกแม่ชีอีกหกคนจะคอยทำร้ายและพูดจาถากถางนางเป็ประจำ อีกทั้งยังมีปากเสียงกับตนอยู่บ่อยครั้ง ทว่าคนที่าุโที่สุดในกลุ่มของพวกนางก็มีอายุเพียงสิบเก้าปีเท่านั้น พวกนางเติบโตขึ้นภายใต้การเลี้ยงดูของแม่ชีไท่เฉิน เรียนรู้และัักับอารมณ์โมโหร้ายของแม่ชีไท่เฉินมานักต่อนัก หากได้เข้าไปเป็สาวใช้ในครอบครัวดี ๆ สักสองสามปี พัฒนาอารมณ์และบุคลิกภาพเสียหน่อย ไม่แน่ว่าพวกนางอาจจะมีที่พึ่งพาดี ๆ สักที่ก็เป็ได้
ยายเฉิงและยายอู่เก็บเงินเอาไว้อย่างดี พลางบอกลาทั้งสองคนด้วยรอยยิ้มก่อนจะเข็นรถลงเขาไป เจินจูกุมมือเหอตังกุยไว้แน่น
เมื่อคืนนี้ วัดสุ่ยซังเกิดเื่ใหญ่จนแทบจะพังทลายลงมา ในขณะนั้นเจินจูก็จำได้ว่าคุณชายต้วนผู้เป็หนึ่งในกลุ่มองครักษ์เสื้อแพรนั้นปฏิบัติต่อเหอตังกุยต่างจากคนอื่น หากเหอตังกุยอ้อนวอนขอให้เขาอภัยให้แก่แม่ชีในวัด อย่างน้อยคุณชายต้วนก็ต้องฟังนางอยู่บ้าง ดังนั้นเจินจูจึงสั่งให้ไหวเวิ่นไปพบเหอตังกุย อันที่จริงแล้วในใจของนางก็พอจะมีความหวังอยู่ แต่คิดไม่ถึงเลยว่าเหอตังกุยจะเอ่ยสนับสนุนองครักษ์เสื้อแพร ให้พวกเขาจับกุมเพียงลูกศิษย์ของแม่ชีไท่เฉินทั้งสามคนเท่านั้นแล้วปล่อยคนบริสุทธิ์ออกมา รูปแบบการทำงานขององครักษ์เสื้อแพรต่างจากเมื่อก่อนมากมายนัก ในตอนนี้เหอตังกุยก็พูดคุยกับแม่ชีหลายท่านที่นางไม่รู้จัก ทั้งยังจ่ายเงินให้พวกนางอีกคนละห้าสิบตำลึง...
เหอตังกุยกะพริบตาปริบ ๆ นางกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ท่านพี่มิต้องใช้สายตาเช่นนั้นมองข้าเชียว ประการแรก ข้ากำลังช่วยท่าน มิใช่ช่วยพวกนาง ข้ามิได้โอบอ้อมอารีเช่นท่าน ที่เห็นผู้ใดเดือดร้อนก็วิ่งไปช่วยเขาเสียหมด ประการที่สอง คนที่เขาใจกว้างด้วยนั้นคือข้า อีกทั้งเงินนี้ก็เป็เงินของคุณชายต้วน คุณชายต้วน ท่านออกมาได้แล้วเ้าค่ะ”
เมื่อสิ้นประโยค ต้วนเสี่ยวโหลวก็ะโลงมาจากต้นไม้ข้างทาง ทอประกายรอยยิ้มสดใสมองไปที่เหอตังกุยพลางเอ่ย “คุณหนูเหอ ตอนนี้อาการป่วยของเ้าดีขึ้นหรือยัง? เสื้อคลุมตัวนี้ใส่พอดีหรือไม่?”
เหอตังกุยหลุบตาลงพลางเอ่ยตอบ “ดีขึ้นมากแล้ว ขอบคุณท่านที่เป็ห่วงเ้าค่ะ”
เช้าตรู่ของวันนี้ เหอตังกุยตื่นขึ้นมาจากความฝัน นางลืมตาแล้วมองลอดซอกหน้าต่างออกไปก็เห็นต้วนเสี่ยวโหลวกำลังยืนอยู่กลางลาน ในอ้อมแขนกอดห่อผ้าห่อใหญ่เอาไว้
เมื่อนางแต่งตัวเสร็จสรรพจึงออกไปเอ่ยถามต้วนเสี่ยวโหลวว่ามีเื่อันใดให้รับใช้ ต้วนเสี่ยวโหลวแกะห่อผ้าออกเผยให้เห็นเสื้อคลุม เสื้อขนสัตว์และชุดกระโปรงสีเหมือนกันอีกหลายตัว เขาเอ่ยด้วยรอยยิ้มสดใสว่าจะใช้เสื้อผ้าเหล่านี้แลกกับเสื้อคลุมขนสัตว์สีดำตัวนั้น เหอตังกุยมองปราดเดียวก็รู้ว่าเสื้อผ้าเ่าั้ไม่ว่าจะเป็ขนาดหรือสีสันก็ล้วนเหมาะกับนาง
แม้ไม่อยากรับความหวังดีจากคนอื่นโดยไม่มีเหตุผล แต่เมื่อมองสายตาเป็ประกายและปลายจมูกแดงก่ำของต้วนเสี่ยวโหลวแล้วนั้น คำปฏิเสธทั้งหมดล้วนถูกกลืนกลับเข้าไปดังเดิม จากนั้นนางจึงเอื้อมมือไปรับห่อผ้ามาจากมือเขาอย่างเงียบ ๆ เมื่อคิดอย่างละเอียดอยู่ครู่หนึ่ง นางกับเขาอยู่คนละโลกกัน เขาอยู่ในอารามแห่งนี้เพียงไม่กี่วันเท่านั้น คงจะสงสารตนอย่างมากจึงอยากบริจาคเสื้อผ้าด้วยความหวังดีกระมัง
หลังจากนั้นเหอตังกุยจึงเลือกชุดมาเปลี่ยน เมื่อเปลี่ยนใส่เสื้อคลุมแล้ว จึงอยากจะไปหาแม่ชีไท่ซีเพื่อปรึกษาบางเื่ที่เรือนขู่เซี่ยว เมื่อเดินไปได้ไม่กี่ก้าวก็เห็นเจินจูวิ่งลงเขาไปอย่างลับ ๆ ล่อ ๆ พลันเหลือบไปเห็นยายเฉิงกำลังขอเงิน ขณะกำลังคิดหาวิธีแก้หน้าให้เจินจู ทันใดนั้นก็มีคนมาสะกิดหลังนางเบา ๆ เหอตังกุยจึงหันกลับไปมองทันที ผู้มาเยือนนั้นคือต้วนเสี่ยวโหลว เขาเห็นว่าเหอตังกุยวิ่งตามหลังเจินจูไปจึงตัดสินใจตามนางมา
เจินจูเอ่ยอย่างซาบซึ้งใจ “ขอบคุณใต้เท้าที่ช่วยเหลือข้าน้อย แต่ข้าน้อยมิกล้าทำให้ท่านต้องใช้จ่ายอย่างสิ้นเปลือง เงินนี้ถือว่าข้าน้อยยืมก็แล้วกันเ้าค่ะ ไม่นานข้าน้อยจะเอาเงินมาคืนอย่างแน่นอน ใต้เท้าได้โปรดอย่าปฏิเสธ”
ไม่รอให้ต้วนเสี่ยวโหลวได้กล่าวอันใด เหอตังกุยแค่นเสียงหัวเราะพลางเอ่ย “ช้าก่อน จะไม่มีผู้ใดต้องเสียเงินกับเื่นี้”
เจินจูและต้วนเสี่ยวโหลวมองเหอตังกุยด้วยสายตาไม่เข้าใจนัก เห็นเพียงแววตาที่เปล่งประกายของนางจับจ้องมายังต้วนเสี่ยวโหลวพลางเอ่ย “เื่นี้ต้องให้คุณชายต้วนเป็คนตัดสินเ้าค่ะ”
เหอตังกุยและเจินจูเพิ่งจะเข้าประตูวัดมาได้ไม่นาน ไหวเวิ่นก็รุดหน้าเข้ามาพลางเอ่ยอย่างร้อนรน “ศิษย์พี่หญิงไปดูเร็วเข้า ท่านอาจารย์ใช้แส้หางม้าไล่ตีเจินิจนจะแย่อยู่แล้ว”
เจินจูขมวดคิ้วพลางเอ่ย “เกิดเื่อันใดขึ้น? รีบพูดมาให้ชัด”
“ท่านอาจารย์ให้เจินิไปเก็บกวาดโรงยา เจินิกับเจินกงเป็สหายที่ดีต่อกัน เมื่อเห็นว่าอาจารย์สั่งให้เจินกงไปทำงาน ในใจนางจึงอึดอัดขึ้นมา ก่อนจะเอ่ยขึ้น ณ ตรงนั้น “ข้าไม่ได้มีความสามารถเข้าใจเื่ยามากมายขนาดนั้น หาคนอื่นที่มีความสามารถไปทำงานนี้แทนเถอะเ้าค่ะ” อาจารย์ได้ฟังจึงเกิดบันดาลโทสะขึ้นมาทันควัน ทั้งยังบอกอีกว่านางจะสังหารลูกศิษย์ที่ทรยศนาง”
เหอตังกุยจึงเอ่ยแนะนำ “พูดตามตรง หากเหล่าองครักษ์เสื้อแพรยังอาศัยอยู่หลังเรือนของนาง ต่อให้นางบ้าบิ่นถึงเพียงนั้นก็ไม่กล้าฆ่าใครหรอก อย่างมากที่สุดคงจะแค่ขู่ให้ใเท่านั้น ไปดูสถานการณ์ที่นั่นก่อนค่อยว่ากัน”
เจินจูพยักหน้า จากนั้นจึงเอ่ยขึ้นมาอีก “น้องหญิง เ้ากลับไปห้องของเ้าก่อนเถิด ข้าจะไปพูดโน้มน้าวอาจารย์ให้ใจเย็นลงก่อน” แม่ชีไท่ซั่นเป็คนเืร้อน หากธาตุไฟเข้าแทรก คงไม่เห็นหัวผู้ใดแม้แต่คนเดียว ทั้งยังไม่มีใครมีกำลังพอจะไปต่อสู้กับนาง เจินจูกลัวว่าคุณหนูเหอที่ร่างกายไม่แข็งแรงอาจจะใเข้า จึงไม่ยอมให้นางไปด้วย
เหอตังกุยยิ้มบางพลางกล่าวว่า “เช่นนั้นท่านพี่ก็ระวังตัวด้วยนะเ้าคะ ข้าขอตัวก่อน” แม้จะพูดเช่นนั้นทว่านางก็ไม่ได้กลับห้องของตน แต่กลับมุ่งหน้าเดินออกไปนอกประตูวัดแทน
แม้ว่าเจินจูจะแปลกใจ แต่ในขณะนั้นก็ไม่สามารถสนใจเื่อื่นได้ นางจึงรีบตรงไปยังหน้าลานวัดทันที เมื่อไปถึงก็เห็นเจินินั่งร้องไห้อยู่บนพื้น สองมือกุมศีรษะ ฝ่ามือของนางถูกแส้หางม้าของแม่ชีไท่ซั่นตีจนเืออก
เจินจูจึงรีบเข้าไปคว้าแขนเสื้อของแม่ชีไท่ซั่นเอาไว้ พลางโน้มน้าวนางอย่างสุดกำลัง “ท่านอาจารย์โปรดอย่าถือสาเอาความกับเด็กเพียงคนเดียวเลยเ้าค่ะ ประหยัดแรงเอาไว้ดีกว่านะเ้าคะ ได้ยินว่าอาการปวดเอวของท่านกำเริบอีกแล้ว เหตุใดถึงต้องลำบากถือแส้ด้ามหนักเช่นนี้เล่า เจินิผิดพลาดตรงไหน หากต้องตีต้องลงโทษกันจริง ๆ ให้ศิษย์ทำแทนท่านก็ได้เ้าค่ะ”
แม่ชีไท่ซั่นวางมือประคองเอวก่อนจะยิ้มเยาะ “ในใจเ้าคงเกลียดข้าเข้ากระดูกดำแล้วกระมัง โทษที่ข้าลงมือกับเจินกงและคนอื่น ๆ อย่างโหดร้าย”
เจินจูพยายามฝืนยิ้มพลางเอ่ย “ท่านอาจารย์เข้าใจศิษย์ผิดไปแล้วเ้าค่ะ วันนี้เป็วันแรกที่ท่านจะเริ่มหน้าที่ใหม่ ศิษย์เพียงอยากให้ท่านเมตตาต่อพวกนาง เมื่อลูกศิษย์มีใจเชื่อฟังอาจารย์แล้ว ไม่ว่าจะทำงานอันใดก็จะใส่ใจและระมัดระวังมากขึ้น”
แม่ชีไท่ซั่นไม่เพียงไม่หายโกรธ แต่กลับบันดาลโทสะมากขึ้นกว่าเดิม “เ้าจะบอกว่า...ตอนนี้ไม่มีผู้ใดเชื่อฟังข้าอย่างนั้นหรือ?”
หน้าผากของเจินจูมีเหงื่อแตกพลั่กขึ้นมาทันที นางคิดอยากจะเอ่ยกลบเกลื่อนคำโกหกของตน แต่ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงอึกทึกครึกโครมดังมาจากด้านนอก แม่ชีจำนวนมากกระวีกระวาดวิ่งเข้ามาในห้อง แม่ชีไท่ซั่นจึงรีบเอ่ยถามพวกนางทันที “เกิดอะไรขึ้น?” คงไม่ใช่เหล่าองครักษ์เห็นสิ่งที่ไม่สมควรแล้วคิดจะมาจับกุมคนในวัดอีกกระมัง?
แม่ชีนางหนึ่งเอ่ยตอบด้วยความใ “เมื่อครู่มีอีกาฝูงหนึ่งมาจิกกัดเสื้อผ้าของพวกเราเ้าค่ะ”
“อีกา?” แม่ชีไท่ซั่นขมวดคิ้วมุ่น “แต่ไหนแต่ไรมาอีกามักจะหาอาหารในป่า เหตุใดจึงเข้าโจมตีคนอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยเช่นนี้?”
เหล่าแม่ชีก็ไม่สามารถตอบคำถามนี้ได้เช่นกัน พวกนางต่างนำเสื้อผ้าที่มีคราบสกปรก ชายเสื้อและเส้นด้ายล้วนขาดหลุดลุ่ยให้แม่ชีไท่ซั่นดู เมื่อเกิดเื่เช่นนี้ขึ้น โทสะของแม่ชีไท่ซั่นก็พลันหายไป หากทุกคนยิ่งทะเลาะกันอยู่ในนี้จะยิ่งเป็การดึงดูดเหล่าองครักษ์เสื้อแพร เกิดทำอะไรผิดพลาดขึ้น พวกเขาอาจจะตรงเข้ามาจับนางตอนนี้เลยก็เป็ได้
เจินจูสังเกตเห็นท่าทีของแม่ชีไท่ซั่นที่้าให้ทุกคนสงบลง จึงรีบกล่าวกับเจินิที่อยู่มุมห้องด้วยเสียงอันดัง “อาจารย์เมตตา ไม่ถือสาเอาความกับเด็กอย่างเ้า ยังจะทำสิ่งใดที่ไม่ควรทำหรือไม่? ต่อไปเ้าก็คิดดูให้ดีก่อนจะทำสิ่งใด”
เจินิปรายตามองไปที่แม่ชีไท่ซั่น เห็นว่านางมิได้คัดค้านอันใด จึงรีบลุกขึ้นแล้ววิ่งออกไป เจินจูบอกให้พวกแม่ชี “หลบ” ไปอยู่ด้านข้าง ก่อนจะหันกลับมารินน้ำองุ่นให้แม่ชีไท่ซั่นหนึ่งถ้วย
เมื่อแม่ชีไท่ซั่นดื่มไปหนึ่งอึกก็วางถ้วยลงแล้วถลึงตามองเจินจูแวบหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์นัก “ตอนนี้โรงยาและห้องปรุงยาก็เป็ข้าที่ดูแลทั้งหมด ข้ากลัวว่าจะเกิดเื่อัปยศเหมือนคราวแม่ชีไท่เฉิน ข้าจึงอยากจะจัดระเบียบโรงยาเสียใหม่ แต่เมื่อครู่นี้ข้าไปดูมาแล้ว ที่นั่นไร้ระเบียบยิ่งกว่าคอกสุนัขเสียอีก สมุนไพรทั้งหมดล้วนผสมปนเปกันมั่วซั่ว ข้าอยากให้แม่ชีสองสามคนไปค้นหนังสือทางการแพทย์ของแม่ชีไท่เฉินที่อยู่ในกองหนังสือที่ชำรุดนั่นออกมา แล้วจัดประเภทยาในตู้ยาตามภาพในหนังสือ ก่อนที่พวกองครักษ์เสื้อแพรโอหังนั่นจะเข้ามาหาสมุดบัญชีแล้วฉีกหนังสือทางการแพทย์ออกเป็ชิ้น ๆ หากจะรวบรวมหนังสือก็ต้องใช้เวลาถึงสิบกว่าวัน พวกเ้าคิดว่าตอนนี้ควรจะทำอย่างไร?”
เจินจูครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ย “หรือจะให้ศิษย์ลงเขาไปร้านยา หาเด็กฝึกงานที่มีความสามารถด้านการจำแนกยามาสักคนสองคน อีกทั้งพวกเรายังสามารถจ้างเขาทำงานได้อีกครึ่งเดือนไม่ใช่หรือเ้าคะ?”
แม่ชีไท่ซั่นถลึงตามองเจินจูทันที “แล้วใครจะเป็คนจ่าย เ้าจ่ายกระนั้นหรือ? อารามของพวกเราถูกลงโทษไม่ให้ทำธุรกิจใด ๆ เป็เวลาครึ่งปี อีกทั้งยังไม่สามารถรับบริจาคค่าธูปหอมได้แม้แต่แดงเดียว จะปล่อยเงินกู้ก็ยังทำไม่ได้ ดังนั้นต่อจากนี้อีกครึ่งปี แม่ชีทุกคนจะยากจนข้นแค้นอย่างมาก แล้วจะเอาเงินที่ไหนมาจ้างเด็กฝึกงานกัน? เฮ้อ แม่ชีไท่เฉินสมควรถูกฆ่าด้วยมีดพันเล่มจริง ๆ ั้แ่จ้างพ่อครัวหลิวเหลาจิ่วผู้นั้นมา ก็มักจะมีแม่ชีแต่งองค์ทรงเครื่องวิ่งไปมั่วสุมในครัวอยู่เป็ประจำ คิดว่าข้าตาบอดหรืออย่างไร หลิวเหลาจิ่วทำกับข้าวอยู่ในอารามสุ่ยซังมาสองเดือน แม่ชีในวัดมากกว่าครึ่งต่างก็พากันท้องโต อย่างที่ข้าเคยพูดก่อนหน้านี้ ทุกคนในอารามสุ่ยซังล้วนเป็สตรี ดังนั้นเมื่อมีบุรุษเข้ามาหนึ่งคนก็จะมีหายนะตามมาอย่างแน่นอน”
เจินจูก้มหน้าไม่กล้าออกเสียง ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยขึ้น “ความจริงแล้ว ยังพอมีคนที่เหมาะสมจะช่วยพวกเราได้เ้าค่ะ ศิษย์ไม่รู้ว่าควรจะพูดดีหรือไม่...”
“เ้าจะมัวพูดอ้อมไปอ้อมมาอยู่ทำไมกัน รีบพูดมาเร็วเข้า” แม่ชีไท่ซั่นร้อนใจยิ่งนัก
เจินจูกล่าว “คุณหนูเหอที่อยู่เรือนทางปีกซ้ายฝั่งตะวันออก ตระกูลของนางเชี่ยวชาญเื่ยาสมุนไพรมิใช่หรือ? ไม่กี่วันก่อนข้าได้พูดคุยกับนาง จึงรู้ว่านางมีความรู้เื่การแพทย์และชำนาญด้านยาสมุนไพรเป็อย่างมาก ไม่เป็การดีกว่าหรือหากจะให้นางมาจัดระเบียบยาสมุนไพรดู ดีกว่าให้พวกเราในที่นี้ดูภาพแล้วจดจำยาทั้งหมดอย่างทุลักทุเล ถึงอย่างไรสมุนไพรก็มิใช่อาหาร หากให้คนที่ไม่ชำนาญอย่างถ่องแท้จัดวางสะเปะสะปะปนเปกันไปหมด อาจทำให้คนที่กินถึงขั้นตายได้เลยนะเ้าคะ”
ในใจของแม่ชีไท่ซั่นเริ่มหวั่นไหวกับคำพูดของเจินจูขึ้นมาทันที แต่เมื่อคิดทบทวนดูอีกครั้งจึงส่ายศีรษะแล้วเอ่ย “เฮอะ ใครจะกล้าให้นางทำงานกัน? นางในตอนนี้คือผู้มีพระคุณอันใหญ่หลวงของพวกเรา กราบไหว้ยกย่องนางเป็นางฟ้านาง์แทบไม่ทัน ใครจะกล้าใช้นางให้ทำงานเล่า? ยิ่งไปกว่านั้นยังมีคุณชายรูปงามกำลังสนใจนาง มัวแต่ลุ่มหลงจนโงหัวไม่ขึ้นอยู่กับนางตลอดทั้งวัน หากข้าไปรบกวนนางให้มาทำงานนี้ แล้วทำให้คุณชายท่านนั้นไม่พอใจจนต้องมอบข้อหา “ไม่เคารพขุนนาง” ให้แก่ข้า ข้าก็ต้องมาทนรับผลที่ตามมาทั้งหมดด้วยอย่างนั้นหรือ?”
“ท่านอาจารย์ ท่านกังวลมากเกินไปแล้ว คุณหนูเหอเป็คนกระตือรือร้นอย่างมาก นางจะต้องยินดีช่วยเหลือพวกเราอย่างแน่นอนเ้าค่ะ” เจินจูเอ่ยแนะนำอีกว่า “อีกอย่าง เมื่อก่อนแม่ชีไท่เฉินก็ยื้อเวลาไม่จัดยาให้นางเสียที จนสุขภาพของนางตอนนี้ไม่ค่อยจะดีนัก จะเป็การดีกว่าหากพวกเราบอกกับคนอื่นว่ายกโรงยาให้คุณหนูเหอยืมใช้สองวัน ให้นางได้ปรุงยาให้แก่ตัวเอง แล้วค่อยเชิญนางมาช่วยพวกเราจัดประเภทยาสมุนไพรต่าง ๆ ท่านคิดเห็นว่าเช่นไร?”
ในที่สุด แม่ชีไท่ซั่นก็ยิ้มอย่างพอใจ ก่อนจะพยักหน้าพลางเอ่ยเห็นด้วย “อย่างนี้ดีที่สุด นางเองก็จะได้รับผลประโยชน์เช่นกัน เ้าไปอธิบายเหตุผลกับนางด้วยตัวเอง เพื่อที่นางจะทำงานให้พวกเราอย่างซาบซึ้งใจ” เจินจูขานรับแล้วถอยหลังเดินออกไป เมื่อเดินออกมาถึงลานวัดได้สักพักก็เห็นเหอตังกุยยืนอยู่
“อีกาในฤดูหนาวไม่ได้กินความเศร้าโศกของมนุษย์ แต่พวกมันเรียนรู้จากคนพเนจรหยอกเย้าดรุณีวัยแรกแย้ม...” เหอตังกุยเลิกคิ้วก่อนจะเอ่ย “อาจารย์ของเ้าหายโกรธแล้วหรือ?”
เจินจูยิ้มบางพลางเอ่ย “ข้าว่าอีกาฝูงนั้นมันบินมาได้บังเอิญเกินไป ที่แท้ก็เป็เ้าที่ทำให้ฝนตกทันกาล เพียงแต่ว่าเื่นี้ช่างแปลกประหลาดนัก อีกาพวกนั้นยอมช่วยเหลือเ้าได้อย่างไร ทั้งที่พวกมันฟังภาษาคนไม่เข้าใจ”
เหอตังกุยเอ่ยอธิบายเล็กน้อย “เมื่อครู่ข้าให้มันกินอาหารนิดหน่อย ซื้อใจพวกมันก็เท่านั้น นี่ท่านพี่จะไปที่ใดหรือ?” เจินจูนำคำของแม่ชีไท่ซั่นที่กล่าวออกมาทั้งหมดเล่าให้นางฟัง เหอตังกุยแค่นเสียงเ็าก่อนจะเอ่ยตกลง “ในเมื่อเป็คำสั่งของแม่ชีไท่ซั่น ข้าน้อยเป็สตรีตัวเล็ก ๆ จะกล้าไปขัดได้อย่างไร? เื่จัดประเภทยานั้นเป็เพียงเื่เล็กน้อย ตอนนี้ข้าก็กำลัง้ายาบางชนิดอยู่จริง ๆ ขอบคุณท่านพี่ที่ให้โอกาสข้า”
เจินจูลูบศีรษะนางเบา ๆ ก่อนจะถอนหายใจแล้วเอ่ยขึ้น “เ้าเป็เด็กฉลาดและเยือกเย็นเช่นนี้ ใครกันจะกล้าไม่รักไม่เอ็นดูเ้า? อีกอย่างครั้งนี้เ้าก็ไม่ปฏิเสธ นับว่าเป็การช่วยเหลือข้ามากมายนัก ควรจะเป็ข้าที่ต้องขอบคุณเ้าถึงจะถูก จริงสิ คุณชายต้วนกลับมาหรือยัง?”
“ยังเ้าค่ะ” เหอตังกุยเอ่ยให้นางคลายกังวล “เื่เล็กน้อยเช่นนี้ สำหรับเขาแล้วไม่นับว่ายากอะไร ท่านพี่มิต้องเป็กังวลใจไป ข้ารับประกันว่าจะไม่มีข้อผิดพลาดแม้แต่นิดเดียว”
เจินจูเอ่ยหยอกเย้านาง “หืม? พูดเช่นนี้หมายความว่าพวกเ้าทั้งสองสนิทสนมกันมากแล้วใช่หรือไม่?”
เหอตังกุยไม่ได้ตอบคำถามแต่กลับเปลี่ยนหัวข้อสนทนาทันที “ไปเถอะ ไปดูสถานการณ์ที่โรงยากัน... ข้าว่าทำอย่างนี้ดีกว่า สองวันแรกที่ข้าจัดประเภทยาสมุนไพร ข้า้าให้เจินจิ้งมาช่วยเหลือเพียงคนเดียวก็พอ คนเยอะจะเกะกะกันเปล่า ๆ วันที่สามตอนทำความสะอาดและจัดเข้าตู้นั้น ท่านพี่ก็จัดแม่ชีสักสองสามคนมาช่วยกันคนละไม้คนละมือ หลังจากจัดห้องยาให้คืนสู่สภาพเดิมแล้ว ข้าก็คงจะไม่ได้อยู่ดูแลมากไปกว่านี้ ข้าเองก็ยังมีเื่หนักใจหลายเื่ที่ต้องจัดการ”
เจินจูจึงรีบเอ่ยถามด้วยความแปลกใจ “เกิดเื่อะไรขึ้น มีอะไรให้ข้าช่วยหรือไม่?”
เหอตังกุยยกนิ้วชี้ขึ้นกล่าวอย่างมีเลศนัย “เื่ที่จะให้ท่านพี่ช่วยเหลือนั้นย่อมมี แต่ท่านไม่จำเป็ต้องกังวลอันใด เมื่อถึงโอกาสที่เหมาะสม ขอเพียงท่านพี่ยอมตกปากรับคำจะช่วยเหลือก็เพียงพอแล้ว” เจินจูอยากจะถามอีกเล็กน้อย แต่นางกลับไม่กล่าวสิ่งใดออกไปให้มากความ