หลินเฟิงเรียกใช้จิติญญาแห่งความมืดจนถึงขีดจำกัด ทั่วทั้งร่างของเขาเปียกโชกไปด้วยเหงื่อ เขาดูเหนื่อยจนแทบจะหยุดหายใจ
ทรงพลังมาก คลื่นดาบของหลินเฟิงเหมือนจะสั่นะเืไปทั่วทั้ง์และพิภพ ราวกับว่ากำลังกวัดแกว่งดาบนับหมื่นไปพร้อมกัน เสียงคลื่นดาบแหวกว่ายอยู่กลางอากาศผสานกับเสียงสายฟ้าฟาดดังกึกก้องอย่างต่อเนื่อง
ขณะที่หลินเฟิงกวัดแกว่งดาบอยู่นั้น เขาก็ต้องตื่นใเมื่อค้นพบว่า คลื่นดาบจากกลองทั้งแปดใบที่สะท้อนกลับมาเริ่มแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ จนก้าวไปในจุดที่แม้แต่ตัวเขาก็คาดเดาไม่ได้ ตอนนี้หลินเฟิงไม่สามารถหยุดการโจมตีลงได้ เพราะถ้าหากหยุดโจมตี อาจจะถูกคลื่นดาบเ่าั้บดขยี้จนกลายเป็ฝุ่นละออง หลินเฟิงเองก็คาดไม่ถึงเลยว่าตัวเองจะมาตกอยู่ในสถานการณ์แบบนี้
“ทำไมถึงแข็งแกร่งขนาดนี้?” ในหัวของหลินเฟิงเริ่มประมวลความคิดอย่างรวดเร็ว คลื่นดาบอันทรงพลังเหล่านี้อาศัยแค่พลังของเขาในตอนนี้ก็ไม่สามารถปลดปล่อยมันออกมาได้ เกรงว่าแม้แต่ผู้ฝึกยุทธ์ในระดับขอบเขตแห่งจิติญญาก็ไม่สามารถทำได้เช่นกัน
“หรือว่าั้แ่ที่ข้าเริ่มใช้อัสนีกัมปนาท มันก็ค่อยๆ สะสมพลังการโจมตีทีละเล็กทีละน้อย ทำให้คลื่นดาบแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ จนมาถึงจุดนี้ได้” หลินเฟิงคิดในใจอย่างเงียบๆ ขณะที่มือก็สะบัดดาบไม่หยุด
“ตอนนี้ได้กลายเป็คลื่นดาบที่ไร้เทียมทานไปแล้ว ไม่ว่าสิ่งใดก็ล้วนต้องยอมสยบ”
“ถึงแม้ว่าระดับการบ่มเพาะของหานหมานจะอยู่ที่ขอบเขตนักรบลมปราณขั้นที่ 8 แต่ทุกย่างก้าวของเขาก็ดูเหมือนจะหลอมรวมเป็หนึ่งเดียวกับปฐี นั่นคือการยืมพลังจากปฐี และเพราะเขายืมพลังจากปฐี ดังนั้นจึงสามารถรับการโจมตีจากผู้บ่มเพาะระดับขอบเขตนักรบลมปราณขั้นที่ 9 ได้ถึง 3 ครั้ง ทั้งยังสามารถทำให้อีกฝ่ายถอยร่นไปได้หลายก้าว”
จู่ๆ หลินเฟิงก็นึกถึงการต่อสู้ระหว่างหานหมานกับผู้บ่มเพาะพลังระดับขอบเขตนักรบลมปราณขั้นที่ 9 ซึ่งทำให้เขาเกิดความคิดบางอย่างขึ้น ตอนแรกหลินเฟิงคิดว่าที่หานหมานสามารถยืมพลังจากปฐีได้ นั่นเป็เพราะว่าเขามีจิติญญาแห่งปฐี แต่ทว่าสิ่งที่เขาคิดนั้นมันผิด ‘พลัง’ มีอยู่ทุกแห่งหน หากเปลี่ยนดาบเป็พลังจะไม่มีสิ่งใดที่สามารถต้านทานได้
นอกจากนี้เมื่อเขาใช้คลื่น์เก้ากระแทกโจมตีไปที่กลอง มันก็สะท้อนคลื่น์เก้ากระแทกกลับมา แต่ถ้าเขาใช้อัสนีกัมปนาทโจมตีไปที่กลอง มันก็จะสะท้อนอัสนีกัมปนาทกลับมาเช่นกัน
ต้องรู้ว่ากลองจงกู่ทั้ง 8 ใบ ไม่มีพลังโจมตีั้แ่แรก แต่ที่สามารถสะท้อนคลื่น์เก้ากระแทกหรืออัสนีกัมปนาทกลับมาได้นั้น นั่นเป็เพราะว่ากลองจงกู่ทั้ง 8 ใบ ยืมพลังจากคลื่น์เก้ากระแทกกับอัสนีกัมปนาทมาป้องกัน
“พลัง!” ทันใดนั้นใบหน้าของหลินเฟิงก็ปรากฏรอยยิ้มขึ้นมา มือของเขาได้เปลี่ยนท่วงท่าในทันที จากท่าดาบที่หนักแน่นก็กลายเป็รวดเร็วและเบาบาง
…
ณ ลานประลองเป็ตาย บนท้องฟ้าได้ปรากฏเงาร่างสูงใหญ่สองร่างขึ้นมา
เมื่อเห็นว่าสองคนนั้นเป็ใคร ดวงตาของศิษย์ในนิกายหยุนไห่พลันเปล่งประกายขึ้นมา ในใจของพวกเขาทั้งตื่นตระหนกทั้งกระวนกระวายใจ สมแล้วที่คุณชายต้าเผิงจากนิกายเฮ่าเยว่เป็ถึง 1 ใน 8 คุณชายแห่งเสวี่ยเยว่ กระทั่งประมุขกับท่านผู้าุโใหญ่ยังต้องมาที่นี่
“ท่านประมุข ท่านผู้าุโใหญ่” ฝูงชนต่างพากันโค้งคำนับอย่างพร้อมเพรียงกัน เพื่อแสดงความเคารพต่อท่านประมุขและผู้าุโใหญ่
“ฉู่จ่านเผิงขอคารวะ ท่านประมุขหนานกงและท่านผู้าุโใหญ่ม่อ” ฉู่จ่านเผิงก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว แล้วย่อเข่าลงเล็กน้อยเพื่อแสดงความเคารพ พร้อมกับเผยรอยยิ้มบนใบหน้า
“ประมุขฉู่สบายดีไหม” หนานกงหลิงพยักหน้าให้ฉู่จ่านเผิง เพื่อเป็สัญญาณให้เขาลุกขึ้นยืนและทำตัวตามสบาย
“หนานกงหลิงเป็ประมุขที่อายุน้อยที่สุดของนิกายหยุนไห่ ถึงแม้ว่าพลังของเขาจะเทียบกับท่านพ่อไม่ได้ แต่ดูเหมือนว่าาที่ผ่านมาได้มอบแรงกดดันให้กับเขาไม่น้อย ถึงทำให้ความแข็งแกร่งของเขาเพิ่มพูนขึ้นมาก” ใบหน้าของฉู่จ่านเผิงยังคงความสุขุม แต่ในใจกลับรู้สึกตกตะลึง หนานกงหลิงเป็ศิษย์ที่โดดเด่นที่สุดใน่ 100 ปีที่ผ่านมาของนิกายหยุนไห่ เมื่อเขาอายุได้ 40 ปีก็ขึ้นเป็ประมุขของนิกายหยุนไห่ นอกจากนี้ยังมีชื่อเสียงเลื่องลืออีกด้วย
“เรียนท่านประมุขหนานกง ท่านพ่อของข้าสบายดี ตอนมาที่นี่ท่านยังสั่งให้ข้าฝากทักทายท่านประมุขด้วย” บิดาของฉู่จ่านเผิงเป็ประมุขของนิกายเฮ่าเยว่
หนานกงหลิงพยักหน้าและกล่าวอย่างไม่พอใจว่า “ม่อเสีย คุณชายต้าเผิงเป็แขกของนิกายเรา แต่ทำไมเ้าถึงปล่อยให้เขายืน”
“เรียนท่านประมุข คุณชายต้าเผิงมาที่นิกายหยุนไห่เพราะ้าให้พวกเรา ส่งศิษย์สายนอกที่ชื่อหลินเฟิงให้กับเขา” ม่อเสียทราบถึงความนัยของหนานกงหลิง จึงรีบอธิบาย
“มาที่นี่เพื่อมารับศิษย์สายนอก?” หนานกงหลิงขมวดคิ้วเล็กน้อย ฉู่จ่านเผิงจึงกล่าวขึ้นมาว่า “ท่านประมุขหนานกง หลินเฟิงเป็บุตรชายลุงรองของศิษย์น้องข้า เด็กหนุ่มคนนี้ไม่เพียงไม่เห็นผู้าุโอยู่ในสายตา แต่ยังทำร้ายลูกพี่ลูกน้องและดูถูกลุงใหญ่ของตัวเองอีกด้วย ซึ่งลุงใหญ่คนนั้นก็คือบิดาของศิษย์น้อง ดังนั้นนางจึงอยากมาแก้ปัญหาเื่นี้ด้วยตัวเอง”
เมื่อเผชิญหน้ากับประมุขนิกายหยุนไห่ ฉู่จ่านเผิงก็ไม่กล้าอวดดีอีกต่อไป เขาไม่โง่พอที่จะพูดโต้งๆ ว่าอยากให้หนานกงหลินส่งศิษย์ในนิกายของเขา มาให้พวกตนจัดการ ดังนั้นฉู่จ่านเผิงจึงเลือกที่จะใช้วาจาโน้มน้าวอีกฝ่าย ซึ่งหนานกงหลิงก็ไม่ใช่คนโง่ เขาสามารถเข้าใจเื่ราวทั้งหมดได้ทันที
“ม่อเสีย เ้าจะจัดการกับเื่นี้อย่างไร?” หนานกงหลิงถามขึ้น
ม่อเสียไม่ได้ตอบหนานกงหลิงในทันที แต่เขากลับเหลือบมองไปที่ผู้าุโใหญ่ที่ยืนเคียงข้างหนานกงหลิง
“เรียนท่านประมุข เด็กคนนั้นไม่เคารพผู้าุโ ทั้งยังทำร้ายลูกพี่ลูกน้องของตัวเอง คนเช่นนี้ไม่สมควรที่จะอยู่ในนิกายของพวกเราให้แปดเปื้อน”
ม่อเสียตอบอย่างหนักแน่น ที่จริงแล้วถ้าเขาพูดออกไปตรงๆ ว่า ส่งหลินเฟิงไปให้คุณชายต้าเผิงจัดการเถอะ เกรงว่าหนานกงหลิงคงไม่พอใจ อีกทั้งหลินเฟิงก็ยังถือได้ว่าเป็คนของนิกายหยุนไห่ แล้วจะให้ส่งคนของนิกายตัวเองไปให้คนของนิกายเฮ่าเยว่จัดการได้อย่างไร? แต่ถ้าหากไล่หลินเฟิงออกจากนิกายก่อน เื่ราวต่อจากนี้ ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับพวกเขา
หนานกงหลิงขมวดคิ้วเล็กน้อย แน่นอนว่าเขารู้ว่าม่อเสียหมายถึงอะไร
“ท่านประมุข พฤติกรรมของเด็กคนนี้ หากยังเก็บเขาไว้อาจจะเป็ตัวอันตรายต่อนิกายหยุนไห่ ม่อเสียคิดเช่นนี้ก็เพื่อผลประโยชน์ของนิกาย” ม่อช่างหลานพูดแทรกขึ้นมา
ในใจของทุกคนพลันกระจ่างแจ้งทันที ดูเหมือนว่าครั้งนี้หลินเฟิงคงตายแน่ๆ เพราะท่านผู้าุโม่อช่างหลานเป็ผู้าุโคุมกฎของนิกายหยุนไห่ สถานะในนิกายของเขาจึงสูงส่งเป็อย่างมาก และยังเป็บิดาของม่อเสียอีกด้วย ในเมื่อม่อช่างหลานพูดขนาดนี้ ก็คงพอจะเดาสถานการณ์ของหลินเฟิงได้
“ศิษย์สายนอก” หนานกงหลิงกล่าวขึ้นอย่างแ่เบา ก่อนจะลอบส่ายหัวอย่างเงียบๆ ถึงแม้ว่าเขาจะไม่เห็นด้วยกับความคิดเห็นของม่อเสีย แต่ทว่าม่อช่างหลานก็เป็ถึงผู้าุโใหญ่ของนิกาย หนานกงหลิงเองก็ไม่อาจทำให้ม่อช่างหลานเสียหน้า เพียงเพราะศิษย์สายนอกคนเดียว เอาเถอะ มันก็แค่เสียศิษย์สายนอกไปเท่านั้นเอง
ขณะที่หนานกงหลิงกำลังจะกล่าวเห็นด้วยกับข้อเสนอ ทันใดนั้น
"ตึง!!!” เสียงสั่นะเืดังขึ้นจากที่ไกลๆ ราวกับว่าเป็เสียง์ที่ดังขึ้นเพื่อเตือนสติของผู้คน
สายตาของทุกคนเผยแววงงงวยขึ้นมา ก่อนจะพากันมองหาต้นเสียง แต่หัวใจของประมุขนิกายหนานกงหลิงกลับสั่นไหว ดวงตาของเขาเป็ประกายเฉียบแหลมออกมา นี่มัน... เสียงกลองจงกู่!
ขณะเดียวกันม่อช่างหลานก็แสดงท่าทีประหลาดใจ ดวงตาของเขาเป็ประกายขึ้นมา ก่อนจะหันไปมองยอดเขาที่ไกลออกไป เสียงกลองจงกู่บนหน้าผาดังขึ้น หลังจากที่เงียบไปนานกว่าร้อยปี
"ตึง!!!” เสียงกลองจงกู่ดังขึ้นอีกครั้ง ราวกับเสียงเพลงที่บรรเลงมาจากฟากฟ้า
“นี่มันครั้งที่สองแล้ว เป็ไปไม่ได้!” แววตาของหนานกงหลิงเปล่งประกายขึ้น ทันใดนั้นแววตาของเขาก็เผยรอยยิ้มขึ้น ศิษย์ที่มีพร์ไม่กี่คนในนิกายต่างก็รวมตัวอยู่กันที่นี่ แล้วเสียงกลองจงกู่ดังขึ้นมาได้อย่างไร หรือว่าอาจจะมีศิษย์ที่มีพร์คนใหม่ปรากฏตัวขึ้นมา
เดิมทีหนานกงหลิงก็รู้สึกอารมณ์ไม่ดีนักจากเื่ของฉู่จ่านเผิง เพราะถ้าหากนิกายหยุนไห่แข็งแกร่งกว่านี้คงไม่มีใครกล้าทำเช่นนี้แน่ มันคือความอัปยศของนิกาย!!! แต่เสียงจากกลองจงกู่ที่ดังขึ้น นี่ไม่ใช่ว่า์กำลังอวยพรให้กับนิกายหยุนไห่อยู่หรือ หนานกงหลิงรู้สึกตื่นเต้น ร้อยกว่าปีมาแล้วที่ไม่มีใครได้ยินเสียงจากกลองจงกู่ แต่วันนี้กลับมีเสียงดังขึ้นติดต่อกันถึงสองครั้ง นั่นก็สามารถยืนยันได้ว่าเสียงกลองนั่นมันดังขึ้นมาจริงๆ
“ไม่รู้ว่าศิษย์คนไหน สามารถผ่านบททดสอบของหน้าผาจงกู่” หนานกงหลิงครุ่นคิดในใจ คนที่สามารถตีกลองดังขึ้นได้เป็ใครกันแน่ ส่วนเื่ทางนี้ดูเหมือนจะถูกลืมไปเเล้ว
“ตึง!!!” เสียงกลองครั้งที่ 3 ดังกระจายไปทั่วทั้งนิกายหยุนไห่ ขณะนั้นเองผู้คนจากนิกายหยุนไห่ต่างมองขึ้นไปบนท้องฟ้า ศิษย์นิกายหยุนไห่ล้วนก็รู้ดีว่าเสียงนั่นดังมาจากที่ไหน แต่ด้วยเสียงกลองที่ไม่ได้ยินมาเนิ่นนาน จึงทำให้ผู้คนต่างพากันใ
หนานกงหลิงจ้องมองไปบนท้องฟ้าอย่างเหม่อลอย เสียงกลองดังขึ้นสามครั้ง ดังขึ้นตั้งสามครั้ง ตามประวัติศาสตร์ของนิกายหยุ่นไห่ที่มีมานานนับพันปี ดูเหมือนว่า 300 ปีมานี้เพิ่งจะได้ยินเสียงกลองดังขึ้นถึง 3 ครั้งได้!
“ซู้ด…” หนานกงหลิงสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ภายในดวงตาของเขาฉายแววยินดี ท่านประมุขที่อายุน้อยที่สุดในนิกายหยุ่นไห่ดูเหมือนจะเห็นความรุ่งเรืองของนิกายหยุนไห่แล้ว
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้