เล่มที่ 1 บทที่ 6 ตะเกียงหลิวหลี
“ฝาก…ฝากไว้ก่อนเถอะ!” เหล่าศิษย์หุบเขาอวี้เหิงทิ้งคำพูดไว้ก่อนจะพากันวิ่งตามนายน้อยจางที่กลิ้งหมุนตกเขาไป
หลินเฟยหัวเราะพลางคิดในใจ ‘ดูท่าคงต้องไปหาข้าที่ถ้ำเสวียนปิงแล้วล่ะ…’
ระหว่างที่คิดอยู่นั้น จู่ๆประตูเรือนน้อยกลางหุบเขาอวี้เหิงก็เปิดออก
ตาเฒ่าอายุราวหกสิบถึงเจ็ดสิบปีในชุดนักพรตสีเทาก็ก้าวขาออกมา ชุดนักพรตนั้นดูสกปรกมอซอ คาดว่าไม่ได้ซักมานาน ในมือตาเฒ่าถือตะเกียงหลิวหลีที่ไม่สมบูรณ์ดวงหนึ่ง ไม่ต้องบอกก็รู้ว่านี่คงจะเป็ผลการทดลองมาครึ่งคืน…
หลังจากที่เดินเข้ามานักพรตเฒ่าก็ไม่ถามถึงนายน้อยจางสักนิด แต่กลับเอ่ยกับหลินเฟยแทน
“คือว่า...ศิษย์ข้า เ้ายังมีหินิญญาอีกหรือไม่ ขออาจารย์ยืมมาหมุนก่อนสิ ไว้วันหลังจะคืนให้นะ”
หลินเฟย ได้แต่ตะลึงจนเกือบพ่นน้ำลายออกมาชั่วครู่ ก่อนจะกล่าวตอบอย่างนอบน้อม
“ดูเหมือนท่านอาจารย์คงจะลืมเสียแล้ว บ่ายเมื่อวานท่านเพิ่งเอาหินิญญาก้อนสุดท้ายของข้าไปเองนะ”
“อย่างนั้นหรือ?” เหมือนว่านักพรตเฒ่าจะลืมไปแล้วจริงๆ เขาชะงักไปชั่วครู่ แต่ด้วยความมากประสบการณ์ แค่พริบตาเดียวก็เปลี่ยนหัวข้อสนทนาไปเสียแล้ว
“ข้ารู้เื่เมื่อครู่แล้ว เ้าเองก็ไม่ผิด แต่สำนักเทียนซืออำนาจค้ำฟ้า หากผิดใจกันขึ้นมา ข้าเองก็คงช่วยเ้าไม่ได้ เอาแบบนี้แล้วกัน ข้าให้เ้าลงเขาไปซ่อนตัวก่อน ดีหรือไม่”
“หื้อ?” หลินเฟยรู้สึกขัดใจขึ้นมาทันที ‘อย่ามาล้อเล่นนะ ตาเฒ่านี่เพี้ยนไปแล้วหรือ ดูไม่ปกติเอาเสียเลย’
หากเป็คนอื่นคงดีใจที่ได้ไปซ่อนตัว เพราะท้ายสุดแล้วคนของสำนักเทียนซือก็ต้องจากไป พอพวกเขาจากไปก็ค่อยกลับมา ถึงอย่างไรทางสำนักก็คงไม่ลงโทษเพียงเพราะเขาช่วยออกหน้าให้ศิษย์สำนักเดียวกัน ไม่เช่นนั้นบรรดาศิษย์คนอื่นก็คงรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจใจเป็แน่…
แต่ประเด็นก็คือ หลินเฟยไม่ใช่คนแบบนั้น…
ก่อเื่มาค่อนคืน แถมยังเตะนายน้อยจางลงเขาอีก ถ้าทำแค่เพื่อ้าหนีแล้วล่ะก็ คงน่าขันสิ้นดี อย่ามาล้อกันเล่นนะ
“ทำไม ไม่พอใจหรือ?” เมื่อเห็นลูกศิษย์นิ่งเงียบไม่พูดไม่จา นักพรตเฒ่าคิดว่าเขาคงน้อยใจจึงเอ่ยขึ้น
“ช่วยไม่ได้ อาจารย์อย่างข้าก็มีความสามารถเท่านี้แหละ ถ้าคนสำนักเทียนซือมา ข้าเองก็คงจะช่วยเ้าไม่ได้…”
“ไม่ใช่ ไม่ใช่…” หลินเฟยรู้สึกว่าตาเฒ่าเริ่มไปกันใหญ่แล้ว กลัวว่ายิ่งพูดจะยิ่งออกทะเลไปไกล ดีไม่ดีถ้าเกิดหัวร้อนคิดอยากจะปกป้องเขาขึ้นมา ที่เล่นใหญ่มาทั้งคืนก็คงเสียแรงเปล่า คิดได้ดังนั้นจึงรีบเอ่ยขึ้น
“อาจารย์ ข้าไม่ได้หมายความแบบนั้น แค่อยากบอกว่า ถ้าเกิดข้าหนีไป แต่สำนักเทียนซือกัดไม่ปล่อย ถึงตอนนั้นเ้าสำนักตักเตือนท่านก็ยังเป็แค่เื่เล็ก แต่หากริบหินิญญาของท่านล่ะก็ อันนี้แย่แน่...”
“โอ๊ะ…” ได้ยินเช่นนั้น ทันใดนั้นสีหน้านักพรตเฒ่าแลดูไม่สู้ดีขึ้นมาทันที เอาแต่ยืนนิ่งไม่ไร้คำพูด คล้ายกับกำลังลังเลว่าจะปกป้องศิษย์หรือหินิญญาดี
“อีกอย่างนะ...” หลินเฟยเห็นอีกฝ่ายลังเลจึงรีบเสริมขึ้นมา
“หากศิษย์หนีไป ก็คงไม่อาจกลับมาได้ในเร็ววัน แล้วอาจารย์จะเอาหินิญญาที่ใดมาหมุนกันเล่า…”
“มิผิด มิผิด…” คำพูดนี้ตรงใจนักพรตเฒ่าเป็อย่างมาก เขาพยักหน้าติดกันหลายครั้ง
“ตอนนี้อาจารย์อยู่ใน่สำคัญของการทดลองวิชาหลอมศาสตราวุธ หินิญญาที่มีก็ไม่เคยพอ จำเป็ต้องหายืมมาหมุนเสียหน่อย เ้าคิดดีแล้วใช่หรือไม่ ปรมาจารย์จางรักบุตรดั่งชีวิต ศิษย์พี่เ้าสำนักเห็นแก่หน้าปรมาจารย์จาง ต้องไม่เข้าข้างเ้าแน่ แบบนั้นจะลำบากเอานะ”
หลินเฟยคิดในใจ ‘ตาเฒ่าขาดแคลนหินิญญาถือเป็ปัญหาที่มีมานานแล้ว จะมาเกรงใจอะไรตอนนี้เล่า…’
แน่นอนว่าสิ่งที่พูดออกไปต้องฟังดูดีไว้ก่อน เพราะฉะนั้นหลินเฟยจึงเอ่ยขึ้น
“ก็แค่ขังไว้ที่ถ้ำเสวียนปิง พอสำนักเทียนซือกลับไป เ้าสำนักก็คงจะปล่อยข้าออกมาแล้ว พอดีเลย เวลา่นี้จะได้ฝึกฝนเคล็ดวิชาหมื่นกระบี่ด้วย…”
“ในเมื่อเป็เช่นนี้ อาจารย์เองก็ไม่มีอะไรจะพูด จงกลับไปเก็บของเสียเถอะ เดี๋ยวจะส่งสาส์นให้ศิษย์หุบเขาเทียนสิงมารับ” เมื่อพูดจบ นักพรตเฒ่าก็เหลือบมองมาที่หลินเฟย
“ไหนๆ ก็จะไปถ้ำเสวียนปิงแล้ว ของมีค่าติดกายไปด้วยก็ดูจะไม่ปลอดภัย เ้าก็ทิ้งเอาไว้แล้วกัน เดี๋ยวอาจารย์ช่วยเฝ้าให้เอง”
“...” หลินเฟยกลอกตา
“ท่านอาจารย์ เสื้อข้าก็พอจะมีราคานิดหน่อย ท่านจะเอาไปด้วยหรือไม่?”
“เอาเถอะ เอาเถอะ…” นักพรตเฒ่าลังเลอยู่เป็นาน สุดท้ายยังพอมีมโนธรรมอยู่บ้าง ไม่ถึงขนาดปอกลอกแม้แต่เสื้อของลูกศิษย์ ทำเพียงแค่ส่ายหน้าอย่างเสียดาย ก่อนจะยกมือขึ้น พลันเกิดลำแสงสายหนึ่งมุ่งตรงไปยังหุบเขาเทียนสิง…
ไม่นานศิษย์ของสำนักเทียนสิงก็มาถึง ไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็ซ่งเทียนสิง คู่ปรับของหลินเฟย
ซ่งเทียนสิงมีดวงตาแดงก่ำดั่งกระต่ายขาว คงคิดจะเปิดโปงคำโกหกของหลินเฟย ดังนั้นจึงเอาแต่เฟ้นหาคำตอบ โดยการอ่านคัมภีร์มากมายในหอดาบจนตาแดง พอมาเจอหลินเฟยอีกครั้ง ประจวบกับโดยปกติแล้วศัตรูเจอหน้ากันดวงตาจะแปรเปลี่ยนเป็สีแดง แต่ครั้งนี้ไม่มีการเปลี่ยนแปลง เพราะดวงตาเขาแดงจนไม่รู้จะแดงอย่างไรแล้ว
“ศิษย์พี่ซ่งนี่เอง บังเอิญจัง” หลินเฟยทักทายด้วยรอยยิ้ม
พอซ่งเทียนสิงเห็นรอยยิ้มที่ส่งมา ก็พลันรู้สึกเืขึ้นหน้า บ้าเอ๊ย หุบเขาอวี้เหิงไม่มีดีสักคน ทั้งแก่ทั้งอ่อนพอๆกันนั่นแหละ เื่กระบี่ระลึกตนเอาชนะกระบี่พิฆาตเซียนมารอะไรนั่น เขาก็โง่ที่เชื่อเป็ตุเป็ตะ ขลุกตัวอยู่หอดาบทั้งบ่ายเพื่อศึกษากระบี่ระลึกตน ผลก็คือคว้าน้ำเหลวไปเสียอย่างนั้น
เมื่อแค้นเก่าแค้นใหม่รวมกัน บัดนี้ซ่งเทียนสิงโกรธจนเอาแต่ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน
“อ๋อใช่ๆ ศิษย์น้องหลิน บังเอิญจังเลยนะ” ซ่งเทียนสิงรู้สึกได้ว่าเวรกรรมมีจริง ดูจากเ้าบ้านี่ก็รู้แล้ว ตอนบ่ายเพิ่งหักหน้าเขาที่หอดาบแท้ๆ แต่ตอนนี้กลับมาตกอยู่ในมือหุบเขาเทียนสิงเพราะต้องโทษ ฐานทำร้ายนายน้อยสำนักเทียนซือ ฟังจากน้ำเสียงท่านเ้าสำนัก ดูเหมือนจะ้าขังหลินเฟยไว้ที่ถ้ำเสวียนปิงก่อน ค่อยตัดสิน…
‘ดูสิว่าจะเหิมเกริมได้อีกสักแค่ไหน!’
ซ่งเทียนสิงคิดดีแล้ว หลังจากที่กลับไป ข้าจะเสนอตัวไปเฝ้าเวรที่ถ้ำเสวียนปิง จากนั้นคอยกลั่นแกล้งวันละสามเวลา จนเ้านี่ต้องร้องขอชีวิตเลยทีเดียว…
‘ใช่แล้ว! เอาตามนี้แหละ’
เมื่อคิดได้อย่างนั้น ซ่งเทียนสิงก็ไม่รอช้า รีบกล่าวอำลานักพรตเฒ่า แล้วเร่งหลินเฟย
“ศิษย์น้องหลิน รีบเตรียมตัวสิ พวกเราต้องออกเดินทาง*กันแล้ว”
(*ออกเดินทาง มีความหมายแฝงคือความตาย)
ตอนพูดคำว่า “ออกเดินทาง” ซ่งเทียนสิงจงใจลากเสียงยาว หวังข่มขู่ให้อีกฝ่ายกลัว…
แต่คิดไม่ถึงว่า หลินเฟยกลับรีบร้อนยิ่งกว่า!
“ไม่ต้องๆ ไม่ต้องเตรียมอะไรทั้งนั้น พวกเราไปกันเถอะ!”
“ฮะ?” เกิดอะไรขึ้น ซ่งเทียนสิงอยู่หุบเขาเทียนสิงมาเป็สิบปี ไม่เคยเห็นศิษย์ต้องโทษคนไหนจะกระตือรือร้นแบบเ้านี่มาก่อน จึงอดที่จะเอ่ยเตือนไม่ได้ ที่ไปถ้ำเสวียนปิงก็เพราะไปรับโทษ ไม่ใช่ท่องเที่ยว เขาควรเข้าใจสถานการณ์หน่อย
“อ้อ จริงสิ…” เดินไปได้ครึ่งทาง หลินเฟยก็นึกถึงอะไรบางอย่างได้ จึงรีบร้อนวิ่งกลับมา ก่อนจะมองไปที่ซากตะเกียงหลิวหลีที่ไม่สมบูรณ์
“ท่านอาจารย์ ของชิ้นนี้อยู่กับท่านก็ไม่มีประโยชน์ ให้ศิษย์เอาไว้เป็ที่ระลึกเถอะ” เมื่อสิ้นเสียง ยังไม่ทันรอให้นักพรตเฒ่าตอบรับ หลินเฟยก็คว้ามา ก่อนจะวิ่งจากไป
__________________________________________________________________________________
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้