หลังจากทานอาหารเช้า นางก็หยิบเงินออกมาจากกระเป๋าหนึ่งอีแปะ แล้วเอ่ย “คราวก่อนไปตำบลได้เงินมา ข้าตั้งใจเก็บเงินไว้ ท่านพ่อ หนนี้ไม่ต้องเป็ห่วง”
พูดจบนางก็ลุกขึ้นและเดินไปที่ขอบคั่งที่นอน ซึ่งมีกรงไม้ไผ่วางอยู่ตรงนั้นพอดี
หลิวชิวเซียงเห็นว่านางพร้อมที่จะหิ้วออกจากบ้าน จึงเรียกไว้ การออกไปอย่างเปิดเผยเช่นนี้เกรงว่าจะถูกย่าเห็นเข้า
หลิวเต้าเซียงถึงรู้ว่า ตนเองดีใจเกินเหตุไปหน่อย
ด้วยความหน่ายใจ ภายใต้การช่วยเหลือของหลิวซานกุ้ย จึงใช้เชือกมัดหนููเาไว้ด้วยกันแล้วโยนเข้าไปในตะกร้าของนาง แล้วค่อยเอาฝาปิดไว้
หลิวเต้าเซียงออกจากบ้านโดยมีตะกร้าไม้ไผ่อยู่บนหลัง
หลายวันมานี้นางเข้าไปในตำบลบ่อย จึงคุ้นเคยกับลุงหวัง
เมื่อเห็นนางมาถึงเร็ว ระหว่างทางไม่มีผู้ใด จึงเอ่ยถามนางว่า้าไปหางานทำในตำบลอีกแล้วหรือ
หลิวเต้าเซียงเฉไฉ และไม่ได้บอกว่าใช่หรือไม่ใช่
ทั้งสองคนพูดคุยกันไม่นาน ก็เห็นเพื่อนร่วมหมู่บ้านเริ่มทยอยมาจึงหยุดคุย ชั่วครู่เดียวก็มีคนนั่งอยู่บนรถเข็นวัวสี่ถึงห้าคน
วันนี้ไม่ใช่วันจ่ายตลาดนัด แต่ว่างจากงานทำนา คนที่ไปตำบลจึงมีมากขึ้น
หลิวเต้าเซียงนั่งอยู่ที่มุม พยายามไม่ทำตัวให้เป็จุดเด่น
หลังจากนั้นประมาณครึ่งชั่วยามก็มาถึงในตำบล หลังจากนัดเวลากับลุงหวัง หลิวเต้าเซียงก็แบกตะกร้าตรงดิ่งไปบ้านแม่เฒ่าจาง
นางรู้สึกว่าตนเองโชคดีไม่น้อยถึงได้มีบ้านที่ค้าขายได้ง่าย หากว่าไปที่โรงเตี๊ยมระดับสูง แน่นอนว่าหลิวเหรินกุ้ยต้องรู้แน่ ไม่ต้องเอ่ยถึงเื่เงิน เกรงว่าคงวิ่งเสียเที่ยว แล้วยังถูกหลิวฉีซื่อด่าเป็แน่
การไปขายของให้บ้านแม่เฒ่าจางผ่านพ้นไปด้วยดี ไม่รู้ว่าแม่เฒ่าจางคิดอย่างไร บอกว่าแขกสูงศักดิ์ท่านนั้น้ากินหนููเา ่ที่งานไร่นายุ่ง ใครเลยจะมีเวลาไปจับเ้าตัวเช่นนี้
แล้วยังบอกว่าหลิวเต้าเซียงมาได้ทันการ โชคดีที่ได้นาง มิเช่นนั้นคงเลี่ยงไม่ได้ที่แม่เฒ่าจางจะถูกด่า
“แม่สาวน้อย แขกสูงศักดิ์ของบ้านเ้านายข้านั้นเป็ผู้มีความสำคัญยิ่งนัก บ้านนายท่านบอกอยู่ประจำว่า ขอเพียงมีของป่า ล้วนรับไว้ในราคาที่สูงได้เลย ข้าเองก็ไม่ปิดบังเ้า หนููเาคืออาหารที่แขกสูงศักดิ์ท่านนั้นเฝ้านึกถึงว่าอยากกิน บอกว่ามันคือของขึ้นชื่อของตำบลเหลียนซาน ไปที่อื่นนั้นหากินไม่ได้”
แม่เฒ่าจางลูบหน้าอกตนเอง หากว่าหนนี้จัดการเื่นี้ไม่ได้ ไม่เพียงแค่บ้านฝั่งลูกสะใภ้จะไม่ได้งาน งานของนางเองก็คงพูดยาก
จึงมีความซาบซึ้งใจต่อแม่สาวน้อยตรงหน้าที่นำส่งของเหล่านี้มา
“หากเป็ยามปกติยังพอหาได้ แต่เดิมทีก็เป็สิ่งที่หายากอยู่แล้ว ของเหล่านี้ปกติเ้าคงขายได้ราวสี่ถึงห้าตำลึง เพียงแต่วันนี้เ้าบังเอิญช่วยงานใหญ่หลวงให้ข้า ได้ยินว่าแขกสูงศักดิ์ผู้นั้นอีกไม่กี่วันก็จะกลับเมืองหลวง บ้านนายท่านบอกว่านางอยากกินสิ่งนี้ แต่บอกมานานนม ในที่สุดก็หาได้สักที ข้ามีของสิ่งนี้ ก็จะได้นำไปมอบแก่บ้านนายท่านได้เสียที”
แม่เฒ่าจางได้ของสิ่งนี้ ไม่ต้องส่งไปให้ยังบ้านลูกสะใภ้ก่อน เนื่องจากครั้งนี้นายท่านบอกว่า ไม่ว่าใครก็ตามที่ได้หนููเา ให้นำไปมอบให้แก่เขาได้โดยตรง
“ท่านป้า พูดได้ถูกต้อง ข้ารู้ว่าท่านคือคนมีเมตตา ยามปกติก็ให้ความเกื้อหนุนต่อผู้าุโน้อยกว่า นี่ปะไร เมื่อวาน่บ่ายพอจับเ้าตัวนี้ได้ เช้าวันนี้ก็รีบนั่งรถเข็นวัวมาในตำบล แล้วตั้งใจมาเฝ้าอยู่หน้าประตูบ้านท่านป้า”
หลิวเต้าเซียงปากหวานราวกับทาน้ำผึ้งมา คำพูดพรั่งพรูออกมาจากปากราวกับไม่คิดเงิน
“นั่นสินะ ข้าบอกแล้วว่าเราสองคนมีวาสนาต่อกัน เอาเถิด แม่เฒ่าอย่างข้าไม่เคยทำเื่ผิดศีลธรรม นี่ให้เ้า ทั้งหมดแปดตำลึง” ขณะพูดนางก็หยิบเงินแท่งที่เป็สี่ตำลึงออกมาสองแท่ง ยัดใส่มือของหลิวเต้าเซียงด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
“ได้ราคาแปดตำลึงจริงหรือ?” หลิวเต้าเซียงไม่อยากเชื่อกับภาพตรงหน้า ราวกับมีขนมเปี๊ยะหล่นจาก์ จนถูกเงินเหล่านี้กระแทกศีรษะจนมึน
เงินหิมะแปดตำลึง ที่นาในหมู่บ้านหกตำลึงหนึ่งไร่ นี่เป็จำนวนเงินเทียบเท่ากับที่นาหนึ่งไร่กว่าเชียวนะ
“เซียงเซียง คุณช่างไม่เอาไหนเสียจริง อีกหนึ่งเดือนหลังจากนี้ ไก่ที่คุณสามารถขายได้ จะหาเงินได้อย่างมากมาย อย่าลืมนะครับ นั่นคือไก่จำนวนสองไร่กว่าเชียวนะครับ” สัตว์ปีศาจศูนย์ศูนย์เจ็ดเตือนนางด้วยความหวังดี
หลิวเต้าเซียงคิดแล้วเศร้า ไก่หนึ่งพันตัว ต้องหักส่งมอบคืนให้ทางนั้นแปดร้อยตัว ตนเองได้เพียงสองร้อยตัว กระนั้นนางจึงเอ่ยในใจอย่างโมโห “เ้าสัตว์ปีศาจน้อย การคำนวณของนายถูกต้อง นั่นต้องรออีกหนึ่งเดือนให้หลัง เงินที่ได้มาอยู่ในมือถึงจะเรียกว่าเงิน”
คิดๆ ดูไก่ที่เรียงรายอยู่บนที่ดินสองไร่ ล้วนเป็เงินเป็ทอง
หลิวเต้าเซียงอยากทุบอกสักที หากรู้เช่นนี้ ตอนนั้นนางน่าจะหั่นราคา ไม่แน่ว่าตนเองอาจจะแบ่งได้มากกว่านี้
ความคิดของนางผ่านแวบไปอย่างรวดเร็ว ยังสามารถคิดได้มากกว่านั้น นางเก็บเงินเข้าไปในอ้อมอก ซึ่งความเป็จริงก็คือห้วงมิติ ถึงอย่างไรเ้าสัตว์ปีศาจไม่ได้้าเงิน แต่มันกินพลังงานเป็อาหาร
“เดิมทีควรไปเก็บเห็ดกับของป่ามาส่งให้กับท่านป้า ต่อจากนี้ขอฝากเนื้อฝากตัวด้วย แต่พอได้สิ่งนี้มา จึงไม่ทันได้ไปเก็บของเ่าั้”
แม่เฒ่าจางชื่นชอบการเจรจากับหลิวเต้าเซียง เพราะสามารถได้ของแถมประปราย ทุกครั้งแม้ของที่ได้จะไม่เยอะ แต่พอนับเป็ปี ก็สามารถประหยัดเงินได้ไม่น้อย บวกกับของเหล่านี้เป็ของที่หลิวเต้าเซียงไปเก็บมาจากูเา เพียงแค่เสียเวลา แต่ไม่ได้ใช้จ่ายต้นทุนอะไร ด้วยเหตุนี้ นางจึงรับไว้อย่างสบายใจ
“พูดอะไรกัน ต่อจากนี้มีของดีก็ให้ส่งมาที่นี่ บ้านนายท่านของข้าแม้แขกสูงศักดิ์จะกลับเมืองหลวง แต่หากมีของเหล่านี้ ย่อมต้องส่งไปยังจวนอยู่ดี”
หลิวเต้าเซียงยิ้มและรับปาก พลันนึกเสียดายในใจ ซูจื่อเยี่ยผู้นี้เป็นักล่ามือดี แต่หากอาการาเ็ของเขาหายดีก็ต้องกลับไปสักวัน
ดังนั้น นี่เป็โชคลาภที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียว
“ท่านป้า ต่อไปยัง้าไก่บ้านกับไข่หรือไม่?”
แม่เฒ่าจางชะงักไปเล็กน้อย จากนั้นไม่รู้ว่าคิดอะไร จึงเอ่ย “รับสิ รับสิ เ้าส่งมาก็พอ”
เมื่อคิดได้เช่นนี้ นางจึงเอ่ยอีก “ข้าบอกเ้าแล้วไม่ใช่หรือ ตาเฒ่าของข้าเป็พ่อครัวใหญ่ หัวหน้าพ่อครัวน่ะ ทำอาหารทีกระทะถึงกับลอย ช่างน่าดูชม เขาคั่วอาหารได้เก่งกาจยิ่งนัก มีคนมากมายอยากฝึกกับเขา แต่เขาไม่สอน”
หลิวเต้าเซียงนึกขึ้นได้ ยิ้มแล้วเอ่ย “เช่นนี้ก็ขอบใจท่านป้ายิ่งนัก ท่านป้าอยากกินของป่าอะไรบอกข้าได้เลย แม้ว่าจะหาไม่ได้ แต่ข้าจะให้พ่อข้าช่วยหาอีกแรง อีกเดี๋ยวงานไร่นาก็น่าจะว่าง น่าจะไม่เสียเวลา”
ใบหน้าของแม่เฒ่าจางราวกับดอกไม้บานสะพรั่ง ยิ้มแล้วตอบ “สาวน้อยช่างพูดเก่งเหลือเกิน เช่นนั้นข้าก็จะรับน้ำใจไว้ ต่อไปหากมีเห็ดหอมป่า หรือว่าปลาสดใหม่ หากได้มาก็ส่งมาให้ข้าสักสองตัว”
นางเดาได้ว่าบ้านของแม่สาวน้อยคงเลี้ยงไก่ไว้ไม่น้อย จึงอยากหาคู่ค้าที่มั่นคง และนึกถึงคำสั่งจากบ้านนายท่าน จึงตอบรับไป
หลิวเต้าเซียงไม่ได้คาดหวังว่าจะโชคดีเช่นนี้ รู้สึกว่านายท่านของแม่เฒ่าจาง คงมีที่มาใหญ่โต
จากนั้นนางพูดคุยอีกไม่กี่คำจึงกล่าวลากับแม่เฒ่าจาง เมื่อเห็นว่าเวลาผ่านไปพอสมควร นางนึกถึงคำสั่งของจางกุ้ยฮัวที่ให้ซื้อซี่โครงกลับไปตุ๋นน้ำแกงกิน
แม่เฒ่าจางหิ้วกรงไม้ไผ่เข้าไปในบ้าน วางลงบนพื้น จากนั้นเดินวนอยู่ในลานบ้านหลายรอบแล้วยื่นศีรษะมองออกไปด้านนอก เมื่อไม่เห็นเงาของหลิวเต้าเซียง ถึงได้รีบปิดประตู
หลังจากที่ปิดประตูลงกลอนเรียบร้อย ก็รีบหิ้วกรงไม้ไผ่เดินเข้าห้อง
เมื่อผลักประตูห้องโถงใหญ่ ก็เห็นชายวัยกลางคนนั่งอยู่บนเก้าอี้ตรงกลางห้อง รูปร่างสูงเจ็ดฟุต คิ้วคมเข้ม ใบหน้าทรงกลม สวมชุดยาวสีฟ้าคราม กำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ ใบหน้ากำลังพินิจและลูบเคราตนเอง
เมื่อได้ยินเสียงประตูถูกผลัก ก็เงยหน้ามองคนที่เข้ามา
เมื่อเห็นว่าเป็แม่เฒ่าจางที่เข้ามาพร้อมกับกรงไม้ไผ่จึงโล่งอก แล้วเผยสีหน้าที่คาดเดาได้ยาก เอ่ยถามด้วยเสียงเรียบ “จัดการเรียบร้อยหรือไม่?!”
“นายท่าน จัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว”
แม่เฒ่าจางเอาใจโดยวางกรงไม้ไผ่ไว้ข้างกายเขา
ชายคนนี้ถูกแทนว่านายท่านแซ่เกา ผู้คนเรียกเขาว่า นายท่านเกาจิ่ว เป็คนจากทางเหนือ ว่ากันว่าเป็ที่พึ่งพิงในเมืองหลวงที่แข็งแกร่งนักและไม่มีใครรู้ที่มา โรงเตี๊ยมที่เขาได้รับสืบต่อมาเมื่อหลายปีก่อน นับวันก็ยิ่งเจริญรุ่งเรือง
เกาจิ่วมองไปที่กรงไม้ไผ่หนููเา เอื้อมมือออกไปสะกิดหนููเาตัวใหญ่ เห็นมันนิสัยไม่ดุร้าย จึงยิ้มแล้วเอ่ย “เป็หนููเาจริงด้วย รู้จักของดีจริงๆ”
ขณะที่เขาพูดเช่นนี้ก็แฝงด้วยรอยยิ้ม เพียงแต่รอยยิ้มนี้แม่เฒ่าจางอ่านไม่ค่อยออก
เกาจิ่วหยอกล้อหนููเาอยู่พักหนึ่งแล้วถามแม่เฒ่าจางว่า “แม่สาวน้อยคนนั้นว่าอย่างไรหรือไม่?”
แม่เฒ่าจางไม่เข้าใจว่าเหตุใดนายท่านจึงใส่ใจเช่นนี้ “บอกว่าต่อไปหากมีไก่กับไข่ก็จะส่งมาที่นี่อีก”
“เ้าตอบรับไปหรือไม่?” เสียงของนายท่านเกาจิ่วตื่นเต้นเล็กน้อย
แม่เฒ่าจางสงสัยท่าทีแปลกประหลาดของนายท่าน จึงคาดเดาในใจ หรือว่าสาวน้อยคนนี้มีความเกี่ยวข้องทางอ้อมกับนายท่านผู้นี้
“นายท่านสั่งไว้แล้ว ว่าหากนางมีคำร้องขออันใด ก็ให้ตอบตกลง กระหม่อมมิลืมเ้าค่ะ”
“อืม เื่นี้ เ้าทำได้ดี” เขาล้วงเงินสิบตำลึงออกมาแล้วยื่นให้แม่เฒ่าจาง “แขกผู้สูงศักดิ์ของบ้านข้ายังเฝ้านึกถึงหนููเาอยู่รำไร เ้าจัดการเื่นี้ได้ จึงตบรางวัลให้เ้าเป็พิเศษ”
แม่เฒ่าจางนึกว่าได้รางวัลเล็กน้อย แต่คิดไม่ถึงว่าจะได้ถึงสองตำลึง นางรีบรับมาด้วยความดีใจ ยิ้มแล้วกล่าวขอบคุณ
เกาจิ่วกล่าวว่า “ต่อไปหากเด็กคนนั้นส่งอะไรมาก็ตาม ให้รับไว้เป็พอ”
“แล้วเื่ราคา?” แม่เฒ่าจางไม่แน่ใจเล็กน้อย นึกสงสัยว่าเพราะเหตุใดเ้านายถึงต้องจ่ายเงินสองเท่าเพื่อซื้อสิ่งของเหล่านี้
เกาจิ่วคิดสักครู่และกล่าวว่า “หนนี้จำเป็ต้องรีบใช้ คราวหน้าก็คิดตามราคาตลาดให้นางได้”
แม่เฒ่าจางตอบรับ คิดในใจว่า นี่ค่อยปกติหน่อย
เมื่อเกาจิ่วได้หนููเา เขาไม่ได้อยู่นานเท่าไร และสั่งให้แม่เฒ่าจางทำการค้ากับหลิวเต้าเซียงให้ดี รวมถึงพ่อครัวจางให้เขาดูแลวัตถุดิบในโรงครัวให้ดี
หลังจากที่เกาจิ่วออกจากบ้านของแม่เฒ่าจาง เขาก็ขึ้นรถม้าและตรงไปที่เรือนนอกเมืองอีกแห่ง
เรือนนั้นอยู่ไม่ไกลจากเมือง ใช้เวลาเพียงสองกาน้ำชาหรือยี่สิบนาที
เกาจิ่วนั่งรถม้าไปที่เรือนจินกุ้ยและถือกรงไม้ไผ่เข้าไปในประตู
นี่เป็เรือนซานจิ้น [1] ขนาดเล็กหนึ่งหลัง เขาหิ้วกรงไม้ไผ่เดินเข้าไปผ่านประตูลานที่หนึ่งเชื่อมไปประตูลานที่สองและหยุดลงที่ห้องปีกตะวันออก รอจนชายที่อยู่หน้าประตูรายงาน จากนั้นจึงปล่อยให้เขาเข้าไป
“นายท่าน ได้ของมาแล้ว” เกาจิ่วหยิบกรงไม้ไผ่และเดินไปหาคนๆ หนึ่ง
ถ้าหลิวเต้าเซียงอยู่ที่นี่ นางคงจะตื่นใจนลูกตาถลนออกมาจากเบ้า
ขณะนี้ผู้ที่นั่งอยู่บนโต๊ะกำลังอ่านตำราอย่างขึงขัง หากไม่ใช่ปีศาจที่าเ็อยู่ที่บ้านนางแล้วจะเป็ใครได้?
“อืม!”
ใบหน้าที่เ็าของซูจื่อเยี่ยไม่ได้แสดงอารมณ์แม้แต่น้อย ซึ่งทําให้เกาจิ่วที่คิดอยากจะอ่านใจเขาก็มิอาจทำได้
“วางไว้ตรงนั้น”
-----
เชิงอรรถ
[1] 三进院子 เรือนซานจิ้น คือบ้านยุคโบราณที่ชั้นประตูผ่านเข้าบ้านสามด่าน ดูจากรูปภาพประกอบด้านล่าง

