เมื่อหมี่หลันเยว่กลับถึงบ้าน สิ่งแรกที่เธอทำคือเปิดกล่องเหล็กใบใหญ่ แล้วสำรวจแสตมป์ลิงของเธอ เมื่อเห็นว่าทุกอย่างยังอยู่ดี เธอจึงเก็บกล่องกลับเข้าที่อย่างอารมณ์ดี แต่ก็โดนพ่อเขกหัวเบาๆ
"ยัยหนูน้อยจอมขี้เหนียว พ่อรู้ว่าลูกชอบแสตมป์พวกนี้ แต่ก็ไม่น่าหวงขนาดนี้เลย นี่มันแค่แสตมป์ราคาแปดเฟินเองนะ รวมๆ แล้วมันจะสักเท่าไหร่กัน ดูท่าทางระมัดระวังของลูกสิ"
หมี่จิ้งเฉิงอดสงสัยไม่ได้ว่าทำไมลูกสาวถึงซื้อแสตมป์พวกนี้มาเยอะแยะ แถมยังเป็แบบทั้งแผงอีก
"พ่อคะ ลองคิดดูสิ อะไรที่เป็ 'ครั้งแรก' มันก็มีค่าที่สุดใช่ไหมคะ"
คำพูดนี้ฟังดูกำกวม หมี่จิ้งเฉิงถึงกับอึ้งไปชั่วขณะ ลูกสาวของเขา้าจะสื่ออะไรกันนะ แต่พอคิดถึงเื่นี้ เขาก็หัวเราะออกมาเอง ลูกสาวยังเด็กอยู่ จะไปรู้อะไรได้ คงเป็เขาเองที่คิดมากไป
แต่ก็ไม่ใช่ว่าเขาคิดมากไปเสียทีเดียวนี่นา หมี่หลันเยว่ก็พอจะรู้เื่บ้าง แต่เธอคงไม่เอาเื่นี้มาพูดหรอก
"เช่น หนังสือพิมพ์ฉบับแรก ธนบัตรฉบับแรก ตำราเรียนเล่มแรก หรือว่า...อะไรอีกเยอะแยะเลย แม้แต่จักรยานคันแรกของบ้านเรา ก็ยังมีค่าใช่ไหมคะ?"
หมี่จิ้งเฉิงพยักหน้า ยัยหนูนี่เริ่มเล่นเกมทายปัญหาแล้ว
"แล้วพ่อว่า 'ครั้งแรก' พวกนี้มันจะมีมูลค่าในการสะสมไหมคะ? ถ้าพ่อมีหนังสือพิมพ์ฉบับแรก พ่อจะเก็บมันไว้อย่างดีใช่ไหม? หนูรู้ว่าพ่อไม่ได้สนใจเื่เงินทอง แต่พ่อสนใจความรู้สึกของ 'ครั้งแรก' ต่างหาก"
ก็จริงอย่างที่ลูกสาวว่า ที่บ้านก็มีของสะสมประเภทนี้อยู่บ้าง
"ใช่ เื่ความรู้สึกมันก็มีอยู่ แต่ถึงจะสะสม ลูกก็ไม่จำเป็ต้องสะสมเยอะขนาดนี้ก็ได้นี่นา พ่อก็เคยสะสมแสตมป์ แต่ก็เก็บแค่แบบละแผ่นเอง"
"แสตมป์ที่พ่อสะสมไม่ใช่แสตมป์รุ่นแรกๆ นี่คะ สะสมเยอะไปก็ไม่มีค่าอะไร แสตมป์ลิงที่หนูเก็บนี่ เป็แสตมป์นักษัตรชุดแรกของประวัติศาสตร์จีนเลยนะคะ มูลค่าในการสะสมมันต้องต่างกันสิคะ เหมือนที่หนูบอกนั่นแหละ ถึงมันจะไม่เพิ่มมูลค่า การสะสมมันก็คือความสุขอย่างหนึ่ง"
"ไม่ว่าต่อไปจะมีออกมาอีกกี่รุ่น มันก็จะไม่ใช่รุ่นนี้อีกแล้ว ยิ่งไปกว่านั้น มันยังมีโอกาสเพิ่มมูลค่าได้อีกด้วยนะคะ แบบนี้เราก็ไม่ขาดทุนสิคะ"
หมี่หลันเยว่แอบกระซิบข้อมูลให้พ่อ แต่พ่อจะใส่ใจหรือไม่นั้น ไม่ใช่สิ่งที่หลันเยว่จะกังวล
หมี่จิ้งเฉิงไม่ได้ใส่ใจอะไรมากนัก แต่เขาก็พร้อมที่จะสนับสนุนความ้าของลูกสาวอย่างเต็มที่ ไม่ต้องพูดถึงแสตมป์ที่มีมูลค่าพวกนี้ ซึ่งต่อไปก็ยังสามารถนำไปใช้ได้ แม้ว่ามันจะใช้ไม่ได้แล้ว ตราบใดที่ลูกสาวมีความสุข แค่เงินจำนวนนี้ เขาก็ไม่เสียดายอยู่แล้ว แถมลูกสาวยังเป็คนที่ไว้ใจได้ เขาไม่มีอะไรต้องกังวล
ทางด้านหมี่หลันเยว่ก็กำลังคิดถึงแผนการสร้างเนื้อสร้างตัว เธอต้องคิดหาแผนที่สามารถดำเนินธุรกิจได้อย่างยั่งยืน แล้วพัฒนาให้มันเติบโตอย่างต่อเนื่อง สรุปคือ มันต้องเป็ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันของผู้คน ไม่ว่าชีวิตจะยากลำบากแค่ไหน ก็ยังจำเป็ต้องมี
ใช่แล้ว สิ่งจำเป็ในชีวิตประจำวันของผู้คน นอกจาก ‘กิน’ ก็คือ ‘นุ่งห่ม’ สองสิ่งนี้ขาดไม่ได้อย่างแน่นอน เื่กินมันยุ่งยากเกินไป แถมยังเก็บรักษาได้ไม่นานอีกด้วย และสถานะปัจจุบันของเธอก็คือ นักเรียน ไม่มีเวลามากพอที่จะดูแลมัน ดังนั้นจึงตัดเื่กินทิ้งไป
ดังนั้นจึงเหลือแค่เื่การแต่งกาย ซึ่งเป็สิ่งที่สามารถพิจารณาได้ ใน่ไม่กี่ปีสุดท้ายของประถม หมี่หลันเยว่ได้วางแผนต่างๆ มากมาย แล้วคัดเลือกตามความเป็ไปได้ แต่แผนเ่าั้จะต้องรอให้หมี่หลันเยว่เรียนจบมหาวิทยาลัย แล้วทุ่มเทอย่างเต็มที่ถึงจะสามารถดำเนินการได้ ตอนนี้เธอมีข้อจำกัดมากเกินไป แผนที่ขนาดใหญ่นั้นจึงทำไม่ได้
แต่เื่เสื้อผ้าเครื่องแต่งกายนั้นเป็ไปได้ ตราบใดที่เช่าร้านเล็กๆ ริมถนน แล้วขายเสื้อผ้าและหมวกที่ทันสมัยกว่าเดิม น่าจะขายดีอย่างแน่นอน ร้านขายเสื้อผ้าในตอนนี้ยังเป็ของรัฐทั้งหมด เสื้อผ้าข้างในแทบจะเป็แบบเดียวกันหมด สีดำ เทา น้ำเงิน และเขียวทหาร เสื้อผ้าหลวมโคร่ง กางเกงขายาวขาใหญ่ ใครเห็นก็ต้องเบือนหน้าหนี
ไม่ต้องพูดถึงอะไรอื่น แค่ชุดกระโปรงลายดอกไม้เล็กๆ ที่เธอใส่อยู่ แค่ออกไปเดินเล่นข้างนอก ก็ดึงดูดสายตาได้อย่างมาก นั่นแสดงให้เห็นว่าคนในยุคนี้ก็ชอบความสวยงาม เพียงแต่ไม่มีที่ให้ซื้อเสื้อผ้าสวยๆ พวกนี้ และไม่ใช่ทุกคนที่จะมีฝีมือประณีตถึงขนาดทำเสื้อผ้าสวยๆ ได้
แถมตอนนี้ก็เริ่มมีการค้าเสรีแล้ว คนที่ไม่ได้ทำงานในหน่วยงานรัฐหลายคน เริ่มค้าขายเล็กๆ น้อยๆ การเช่าห้องแถวสักห้องคงไม่ใช่ปัญหา แต่พอหมี่หลันเยว่คิดถึงการเช่าห้องแถว เธอก็คิดถึง่เวลานี้ ดูเหมือนว่าบางที่จะเริ่มสร้างสิ่งที่คล้ายกับถนนคนเดิน หรือห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่แล้ว
เธอต้องจับตาดูให้ดี ต้องจับจองร้านค้าพวกนี้ให้ได้ในทันที นี่แหละคือเงินทุนก้อนแรกที่แท้จริงของเธอ การเปิดร้านขายเสื้อผ้าในตอนนี้ เป็เพียงก้าวแรกของการดำเนินธุรกิจ เป็แค่ยอดบัวที่เพิ่งโผล่พ้นน้ำ กว่าที่มันจะเบ่งบานอย่างงดงาม ยังต้องใช้เวลาอีกสักพัก
หมี่หลันเยว่พยายามนึกถึง่เวลาที่เริ่มสร้างร้านค้าอีกครั้ง เมืองใหญ่ๆ น่าจะประมาณปี 83 ส่วนเมืองเล็กๆ อย่างบ้านเธอ น่าจะ่กลางยุค 80 แต่เธอก็ยังรอได้อยู่ดี แต่เธอต้องบริหารร้านขายเสื้อผ้าเล็กๆ ของเธอให้ดี เมื่อถึงเวลาที่มีร้านค้าแล้ว จะได้มีสินค้าพร้อมขายทันที
หมี่หลันเยว่ก็เคยคิดเหมือนกับนิยายที่เกี่ยวกับการกลับชาติมาเกิดเื่อื่นๆ เหมือนกัน คือแบกสัมภาระไปซื้อสินค้าทางใต้ แต่ดูเหมือนว่ามันจะไม่เหมาะกับเธอ ไม่ต้องพูดถึงเื่การเดินทางไกลที่แสนลำบาก เธอไม่คุ้นเคยกับทางใต้เลย ต่อให้ไปถึงกว่างโจวหรือเซินเจิ้น เธอก็อาจจะคลำหาช่องทางในการจัดหาสินค้าไม่เจอ
อีกอย่าง พ่อแม่ของเธอไม่มีทางยอมให้เธอเดินทางไปไกลขนาดนั้นคนเดียว ทางเหนือสุดกับทางใต้สุด มันคือการเดินทางผ่านประเทศจีนทั้งประเทศเลยนะ ด้วยอายุเท่านี้ มันแทบจะเป็ไปไม่ได้เลย ไม่ต้องพูดถึงพ่อแม่ แม้แต่หมี่หลันเยว่เองก็ยังรู้สึกกลัวๆ อยู่บ้าง
แถมรูปแบบเสื้อผ้าในยุคต่อๆ ไป เธอก็คุ้นเคยเป็อย่างดี แล้วทำไมต้องวิ่งเต้นไปไกลขนาดนั้น เพื่อไปซื้อเสื้อผ้าที่เธอเห็นจนชินตา เสื้อผ้าพวกนั้นก็ทำด้วยมือทั้งนั้น ตราบใดที่เธอวาดแบบเสื้อผ้า แล้วหาคนทำออกมา มันก็เหมือนกันไม่ใช่เหรอ?
เมื่อคิดได้ดังนั้น หมี่หลันเยว่ก็รู้สึกโล่งอก ความคิดต่างๆ พรั่งพรูราวกับพายุโหมกระหน่ำ เข้ามาในสมองของเธอ หมี่หลันเยว่รีบหยิบกระดาษปากกา มาจดบันทึกความคิดต่างๆ ทีละข้อ แล้วเริ่มจัดระเบียบและสรุป แิก็ค่อยๆ เป็รูปเป็ร่างขึ้น
เช้าวันรุ่งขึ้น หมี่หลันเยว่และหมี่หลันหยางก็เปิดร้าน ‘ร้านหนังสือริมทาง’ ของที่บ้าน ถึงแม้ว่าตอนนี้ที่บ้านจะทำร้านขายของชำ แต่ชื่อร้านก็ยังคงเป็ชื่อของร้านเช่าหนังสือเหมือนเดิม ทั้งครอบครัวก็ไม่ได้คัดค้านอะไร เพราะชื่อนี้มันให้ความรู้สึกทางวัฒนธรรม เหมาะกับบรรยากาศของบ้าน
"หลันหยาง หลันเยว่"
เพิ่งเปิดร้านได้ไม่นาน หลินต้าเผิงและเฉียนหย่งจิ้นก็มา ทั้งครอบครัวของเธอไปบ้านคุณยายสามวัน สองคนนี้อาสาช่วยดูแลร้านให้ที่บ้านสามวัน ดูเหมือนว่าจะดูแลได้ดี
"เผิงเฟย หย่งจิ้น มาแล้วเหรอ นั่งพักก่อนนะ เดี๋ยวฉันเอาน้ำให้"
หมี่หลันหยางรินน้ำเย็นสองแก้ว ส่งให้ทั้งสองคน เฉียนหย่งจิ้นถือแก้วแล้วยิ้ม
"บริการแบบนี้ ไม่เหมือนปกติเลยนะ"
หมี่หลันหยางเคาะหัวเขาเบาๆ
"มันต่างกันตรงไหน ปกติมาบ้านฉัน ไม่เคยมีน้ำให้ดื่มเหรอ?"
"ก็ให้ แต่ไม่เคยรินให้เองแบบนี้"
มองดูเฉียนหย่งจิ้นะโหนีไปถือแก้วน้ำ หมี่หลันเยว่ก็ยิ้มๆ ไม่ได้สนใจเด็กชายสามคน เธอเดินไปดูบัญชีที่หลินต้าเผิงส่งมา ทั้งสองคนจดบันทึกอย่างละเอียด เพราะไม่ต้องซื้อสินค้าเข้า เพียงแค่นำสินค้าออก แต่ก็ยังจดเรียงกันอย่างเป็ระเบียบเรียบร้อยและชัดเจน
"ทำงานได้ดีมาก เขียนหนังสือก็สวย"
เมื่อตรวจสอบเงินและบัญชีเรียบร้อยแล้ว หมี่หลันเยว่ก็ชม แถมยังหยิบลูกอมสองห่อเล็กๆ ยัดใส่มือพวกเขา
"นี่ ค่าจ้าง"
"ฉันนึกว่าจะเรียกว่ารางวัล ถ้าเป็รางวัลฉันจะไม่รับ แต่ไหนๆ ก็บอกว่าเป็ค่าจ้างแล้ว ฉันก็ขอรับไว้ด้วยความเคารพนะ"
เฉียนหย่งจิ้นบีบลูกอมอย่างภูมิใจ แต่ก็สังเกตเห็นได้อย่างรวดเร็วว่าหมี่หลันเยว่ไม่ได้อยู่ในสภาพปกติ แสดงออกแตกต่างจากปกติ
"หลันเยว่ มีอะไรในใจหรือเปล่า พวกเราก็ไม่ใช่คนอื่นคนไกล มีอะไรลำบากใจ บอกพวกเราได้นะ เผื่อพวกเราจะช่วยอะไรได้บ้าง"
แม้ว่าเฉียนหย่งจิ้นจะดูเฮฮา แต่จริงๆ แล้วเป็คนที่ใส่ใจรายละเอียดมาก อย่างเช่นบัญชีนี้ แค่ดูแวบเดียวก็รู้ว่าเขาเป็คนจัดการ
หมี่หลันเยว่ก็ไม่ได้มองว่าทั้งสองคนเป็คนอื่นคนไกล คบกันมาห้าหกปีแล้ว แม้แต่หวังหย่วนฉิงและหมี่จิ้งเฉิง ก็ยังมองว่าทั้งสองคนเป็เหมือนลูกหลานในบ้าน
"ฉันอยากจะเช่าห้องแถว แต่ไม่รู้ว่าจะไปเช่าที่ไหนดี"
หมี่หลันเยว่โยนปัญหาให้กับเด็กชายสามคน
"หรือว่าจะต้องเดินดูทีละถนน ทีละซอยเหรอ ต่อให้ดูแล้ว ก็ไม่รู้ว่าบ้านไหนให้เช่า"
"ห้องแถวเหรอ...ก็ต้องติดถนนสิ หลันเยว่ จะเอาไปทำอะไรเหรอ? ้าพื้นที่เท่าไหร่ เอาแค่ห้องเดียว หรือว่าเอาแบบมีห้องชุดด้วย?"
ต้องยอมรับว่าเฉียนหย่งจิ้นคิดได้รอบคอบกว่าหมี่หลันเยว่เสียอีก
"คืออย่างนี้ ฉันมีความคิดอย่างหนึ่ง อยากจะเปิดร้านขายเสื้อผ้า เพราะเสื้อผ้าที่ขายข้างนอกมันน่าเกลียดเกินไป ฉันอยากจะมีร้านขายเสื้อผ้าสำเร็จรูปของตัวเอง ทำเสื้อผ้าที่ฉันชอบ แล้วขายให้กับคนที่ชอบใส่ ดังนั้นห้องแถวจะต้องไม่เล็กเกินไป ถ้ามีห้องชุดด้วยก็จะดีมาก"
เดิมทีหมี่หลันเยว่วางแผนที่จะเปิดร้านขายสินค้าสำเร็จรูป แล้วจ้างคนงานมาทำเสื้อผ้า แต่คำพูดของเฉียนหย่งจิ้นก็เตือนสติเธอ สู้เปิดโรงงานและร้านค้าไว้ด้วยกันไปเลย แบบนี้จะบริหารจัดการได้ง่าย ถึงแม้ว่าค่าใช้จ่ายจะสูงขึ้น แต่ก็อาจจะสิ้นเปลืองได้ คนงานทำเสื้อผ้า ก็จะต้องเหลือเศษผ้า เศษด้ายเยอะแยะไปหมด ถ้าสามารถประหยัดสิ่งเหล่านี้ได้ ก็จะมีประโยชน์มาก ค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมเ่าั้ก็จะสามารถหักลบกันได้
"เธอมั่นใจว่าจะออกแบบเสื้อผ้าสวยๆ ได้ไหม? มั่นใจว่าจะจ้างช่างฝีมือดีมาทำงานได้ไหม? มีเงินพอที่จะเช่าบ้านหลังใหญ่ขนาดนั้นเหรอ? หลันเยว่ นี่มันเป็การลงทุนที่ไม่น้อยเลยนะ แถมยังต้องเอาใจใส่ดูแลเยอะแยะ เธอคิดว่าเธอทำได้ไหม?"
เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านี้ของเฉียนหย่งจิ้น หมี่หลันเยว่ก็เข้าใจได้ทันที เธอพบว่าคนที่อยู่ตรงหน้าอาจจะเป็ผู้จัดการที่ดีได้ เพียงแค่เธอชี้แนะเขาอีกหน่อย เขาจะต้องเป็คนที่มีความสามารถอย่างแน่นอน
"ฉันมั่นใจ แผนการนี้ฉันออกแบบมานานแล้ว พี่หย่งจิ้น ช่วยฉันได้ไหมคะ?"
"ฉันเหรอ? ฉันจะช่วยอะไรได้บ้าง บอกมาได้เลย ถ้าฉันช่วยได้ ฉันจะพยายามอย่างเต็มที่"
เมื่อหมี่หลันเยว่ได้รับคำมั่นสัญญาจากเฉียนหย่งจิ้น เธอก็รู้สึกมั่นใจมากขึ้น
"ดี งั้นฉันจะบอกแผนการของฉันให้พวกพี่ฟังอย่างละเอียด ฉันจะสร้างเสื้อผ้าของตัวเอง ชื่อก็คิดไว้แล้ว ชื่อว่า 'ห้องเสื้อหลันเยว่' "
