หลิ่วเทียนฉีกับเฉียวรุ่ยจูงมือเดินเข้าไปในห้องของเฉียวรุ่ยด้วยกัน
เฉียวรุ่ยมองหลิ่วเทียนฉีปล่อยมือตนเบาๆ หลังปิดประตูห้องเรียบร้อย แปะยันต์วิเศษสามแผ่นที่ประตู เขากะพริบตาปริบๆ ด้วยความฉงน
“เทียนฉี ทำไมเ้าต้องแปะยันต์วิเศษบนประตูด้วยล่ะ?” พวกนั้นล้วนเป็ยันต์ขั้นสอง หนึ่งแผ่นใช้ศิลาทิพย์ตั้งสองสามร้อยก้อนเชียวนะ? ช่างแพงนัก!
ได้ยินคำถาม หลิ่วเทียนฉีก็ผินหน้ามองอีกฝ่าย
เฉียวรุ่ยสบสายตาที่ร้อนแรงประหนึ่งเปลวเพลิงของคนรักก็อ้าปากตะลึงอยู่กับที่
หลิ่วเทียนฉีเอื้อมมือโอบเอวคนรักเข้ามาในอ้อมแขนตน แล้วหมุนตัวทีหนึ่งกดร่างลงกับบานประตู
“เทียน เทียนฉี!” เฉียวรุ่ยจ้องใบหน้าที่ใกล้เพียงเอื้อมมือ ร้องเรียกเบาๆ
“เสี่ยวรุ่ย ข้าคิดถึงเ้า!” หลิ่วเทียนฉีก้มหน้าจูบริมฝีปากน้อยอย่างแ่เบา
“อืม ข้าก็คิดถึงเ้า!” เฉียวรุ่ยผงกศีรษะ เอ่ยทั้งใบหน้าแดงก่ำ สามเดือนนี้เทียนฉีเก็บตัวฝึกฝนอยู่ตลอด ตนอยู่ในจวนคนเดียวน่าเบื่อยิ่งนัก ทุกวันล้วนคิดว่าเมื่อไรเทียนฉีถึงจะออกมากันนะ?
ได้ยินเข้า หลิ่วเทียนฉีก็ประคองใบหน้าคนรักขึ้นมาจูบบนกลีบปากอีกครั้ง ครั้งนี้ไม่ใช่จูบผิวเผิน แต่เป็จูบดูดดื่มยาวนานอันร้อนแรง
“อือๆ...”
เฉียวรุ่ยถูกจูบจนเคลิบเคลิ้ม รู้สึกว่าลิ้นกับริมฝีปากของอีกฝ่ายคล้ายมีมนตร์วิเศษอันไร้ที่สิ้นสุด ถูกบุรุษจุมพิตเช่นนี้ ร่างกายก็อ่อนยวบไร้เรี่ยวแรงอย่างสิ้นเชิง
เห็นร่างที่อ่อนแรงในอ้อมแขน หลิ่วเทียนฉีก็ก้มลงจุมพิตแ่เบาบนลำคองามได้รูป
“อืม อืม...” เฉียวรุ่ยจับเสื้ออีกฝ่ายไว้แน่น รู้สึกว่าร่างกายตนเหลวจนใกล้จะกลายเป็น้ำแอ่งหนึ่งแล้ว หากไม่ได้พิงอ้อมแขนบุรุษอยู่ คงล้มลงไปเป็แน่
“เฉียวรุ่ย...” หลิ่วเทียนฉีเรียกชื่อเบาๆ จูบริมฝีปากพลางกอดเอวคนรัก ยกอุ้มเข้าห้องด้านใน
เฉียวรุ่ยนอนตะแคงอยู่บนเตียง มองบุรุษลูบไล้แก้มตนอย่างแ่เบาด้วยแววตาหลงใหล หน้ายิ่งแดงขึ้น
“เทียนฉี เ้า เ้า้า ้า ้าจะ...” ร่วมรักสองพยางค์ติดอยู่ในลำคอ เฉียวรุ่ยเขินอายจนพูดไม่ออก
“ใช่ ข้า้า ้าตัวเ้า ้าหัวใจเ้า ้าให้ทุกสิ่งของเ้าเป็ของข้าทั้งหมด” หลิ่วเทียนฉีโอบคนรักเข้ามาในอ้อมแขน จุมพิตริมฝีปากบางเบาอีกครั้ง
“เ้า เ้า้ามากนักสินะ!” เฉียวรุ่ยได้คำตอบที่คาดไม่ถึงก็กะพริบตาปริบๆ
“ใช่ ข้าเป็คนใจละโมบ หาก้าอะไร เช่นนั้นก็ต้องได้มาทั้งหมด” หลิ่วเทียนฉีลูบใบหน้าน้อยพลางกล่าวเสียงกระซิบ
ชีวิตก่อนหลิ่วเทียนฉีไม่เคยมีความรัก ประการแรกเพราะเขาเป็มือสังหาร ไม่อาจมีความรู้สึกรักใคร่ได้ ประการที่สอง เขาไม่เคยพบใครสักคนที่คู่ควรให้รัก ผิดกับชีวิตนี้ เขาได้พบกับเฉียวรุ่ยแล้ว พบคนที่ทำให้เขาคะนึงหาถึงสองชาติ เขาจะไม่หวั่นไหวได้อย่างไรเล่า?
“เ้า เ้านี่เผด็จการจริงนะ!” เฉียวรุ่ยกะพริบตาปริบๆ ทำอันใดไม่ถูก เพิ่งค้นพบว่าที่แท้คู่หมั้นตนเป็ผู้ชายชอบยึดครองเป็เ้าของ เขาััได้ถึงความปรารถนาอันแรงกล้า ความรัก ความหลงใหลและความยึดติดอันลึกซึ้งที่บุรุษมีต่อตน
“ข้ามีโอกาสได้ทุกสิ่งของเ้าหรือเปล่า?” หลิ่วเทียนฉีมองเข้าไปในดวงตาของเฉียวรุ่ยพลางเอ่ยถามอย่างเสน่ห์หา
“เ้า เ้าคิดว่าไงล่ะ?” เฉียวรุ่ยเอียงอายหลบสายตา ย้อนถามกลับอย่างเคอะเขิน
หลิ่วเทียนฉีเห็นท่าทางน่ารักนั่นก็รีบเข้าไปจุมพิต
“เทียนฉี...” หลังจูบทีหนึ่ง เฉียวรุ่ยก็ระทวยอยู่ใต้ร่าง
“เสี่ยวรุ่ย ข้า้าเ้า ได้ไหม?” เสียงของเทียนฉีแหบพร่านิดๆ เผยความปรารถนาเด่นชัดอยู่ใกล้ใบหู เสียงที่ใกล้ช่างเร้าอารมณ์และมีเสน่ห์ยิ่งนัก
ลำคอและใบหูพลันแดงขึ้นทันที “ทำไม ทำไมถามเื่นี้เล่า?”
เฉียวรุ่ยถลึงตาค้อนใส่ทีหนึ่ง รู้สึกว่าอีกฝ่ายจงใจแกล้ง
“ต้องถามสิ หากเ้าไม่ยินยอม ข้าจะบังคับเ้าได้อย่างไร?” หลิ่วเทียนฉีจูบใบหน้าเฉียวรุ่ยเบาๆ พูดเหมือนเป็เื่สมควร
“แต่ แต่พวกเราเคย...” พูดถึงตรงนี้เฉียวรุ่ยก็กัดริมฝีปาก อายจนไม่ยินดีที่จะเอ่ยเพิ่ม
“นั่นไม่เหมือนกัน ครั้งก่อนเป็เพราะเ้าต้องพิษ พวกเราจึงไม่มีทางเลือกนอกจากอยู่ด้วยกัน แต่ครั้งนี้ ข้าอยากให้เ้ายินยอมพร้อมใจ” หลิ่วเทียนฉีมองเข้าไปในดวงตาคนรัก สายตาอ่อนโยนประหนึ่งสายน้ำ
ถูกบุรุษจับจ้องอย่างนั้น เฉียวรุ่ยกัดริมฝีปากแน่นขึ้นอย่างเผลอไผล
“ถ้าเช่นนั้น หากข้าไม่ยินดีเล่า?” เฉียวรุ่ยกะพริบตา จงใจกลั่นแกล้งอีกฝ่าย
“ข้าจะรอเ้า รอจนถึงวันที่เ้ายินดี จะสิบปี ยี่สิบปี สามสิบปีหรือทั้งชีวิต ข้าก็จะรอ”
“เทียนฉี!” ได้ยินบุรุษเอ่ยเช่นนี้ หัวใจของเฉียวรุ่ยเหลวยวบยาบ กอดคออีกฝ่ายไว้ เริ่มจูบสะเปะสะปะ
“ฮ่าๆๆ...” หลิ่วเทียนฉีหัวเราะอย่างอ่อนใจแล้วชิงกลับมาเป็ฝ่ายนำ จูบริมฝีปากคนรักอีกครั้ง
“เ้ายินดีไหม?” มองเข้าไปในดวงตาคนรัก มุ่งมั่น้าคำตอบไม่เลิก
“อืม!” เฉียวรุ่ยพยักหน้าอย่างเอียงอายพลางซุกเข้าไปในอ้อมแขนบุรุษอย่างขวยเขิน
“ฮ่าๆๆ...”
หลิ่วเทียนฉีมองคนรักตัวน้อยที่เขินเช่นนี้ก็ก้มศีรษะลงอย่างจนปัญญา งับริมฝีปากแดงของอีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว...
.........
เที่ยงวัน ในวันต่อมา
หลิ่วเทียนฉีลืมตาขึ้น มองคนรักที่ยังหลับสนิทอยู่ในอ้อมแขน จูบปอยผมด้านข้างที่ร่วงลงมาของอีกฝ่ายอย่างแ่เบา ก่อนเผยรอยยิ้มพึงพอใจหาใดเปรียบ
ในที่สุดเขาก็ได้คนผู้นี้มาครองแล้วสินะ? ได้คนโง่ผู้นี้มาครองแล้วงั้นหรือ?
นึกถึงเฉียวรุ่ยผู้บ้าคลั่ง มอบความรักอย่างโง่งมในหนังสือเล่มนั้น แล้วมานึกถึงเฉียวรุ่ยผู้ตรงไปตรงมา เปิดเผยและชอบตนในอ้อมแขน เขาก็รู้สึกพอใจอย่างยิ่ง
เขารู้ เขาหลงรักคนผู้นี้อย่างลึกซึ้งมานานแล้ว และเขาก็รู้ วันเวลาในอนาคตเขาจะยิ่งรักอีกฝ่ายมากขึ้นไปอีก
เพียงแต่หัวใจเสี่ยวรุ่ยทำให้หลิ่วเทียนฉีรู้สึกกังวล เพราะเขารู้ชัดว่าตนชอบและรักจริง แต่ความรู้สึกของเฉียวรุ่ยที่มีต่อเขา เกรงว่าคงซับซ้อนอยู่มากนัก
แรกสุดคือการผูกมัด เขาเป็ผู้ชายคนแรกของเฉียวรุ่ย เมื่อพบกันในครั้งที่สองก็อยู่ในตำแหน่งนี้เสียแล้ว ในฐานะบุรุษสองเพศที่ปฏิบัติตามจารีตอย่างเข้มงวดมายาวนานนับปี แม้ปากบอกไม่สนใจ ไม่คิดแต่งงาน แต่เขามองออก ตอนที่เอ่ยถึงเื่นี้ เฉียวรุ่ยดีใจและประทับใจเป็อย่างยิ่ง บางทีนี่คงเป็การผูกมัดอย่างหนึ่งกระมัง? เพราะกายเนื้อแนบชิดแล้ว จึงสมควรคิดว่าตนเป็คนของอีกฝ่ายและอยู่ด้วยกัน
หากไม่ใช่เพราะข้อผูกมัด เฉียวรุ่ยคงไม่มีทางกลับบ้านมากับตนอย่างว่าง่ายเป็แน่
ถัดมาคือความประทับใจ ตนช่วยชีวิตเฉียวรุ่ยไว้กลายเป็ผู้มีพระคุณ อีกฝ่ายจึงขอบคุณจากใจ
และยังมีความหวั่นไหวทางอารมณ์บางอย่างในชะตาชีวิตที่ลำบากอีก เกิดมาถูกทอดทิ้งเป็เด็กกำพร้า อายุหกขวบเสียแม่บุญธรรม พอเก้าขวบก็เสียพ่อบุญธรรมอีกคน จนสิบขวบกลายเป็เด็กกำพร้า ไม่มีพ่อไม่มีแม่ กลับมาไร้ครอบครัวอีกครั้ง
ภายใต้ใบหน้าดื้อรั้น หลังกำปั้นเหล็กอันแข็งแกร่งคงซ่อนหัวใจที่โหยหาความอบอุ่น โหยหาการถูกรัก และโหยหาการหลุดพ้นจากความเดียวดายมาตลอด และในเวลานี้ คนที่ยินดีที่จะรัก ยินดีฟังตนระบายพลันปรากฏอยู่เบื้องหน้า คอยดูแลอย่างถี่ถ้วน อาบน้ำสวมเสื้อผ้าให้ ซื้อของที่ชอบกับของอร่อยที่ไม่เคยลองทั้งหมด เอาอกเอาใจตนผู้ใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางความโดดเดี่ยวจนรู้สึกเหมือนลอยขึ้นฟ้า เมื่อได้เผชิญหน้ากับคนอย่างเขาจึงเกิดความหวั่นไหวอย่างลึกซึ้ง
อารมณ์สุดท้ายคือความรัก เป็ความรักที่เกิดขึ้นจากสามอารมณ์ก่อนหน้านี้ แม้ยังคงเบาบางยิ่ง อาจเพิ่งเป็เพียง่แตกหน่อ แต่หลิ่วเทียนฉีจะใส่ใจรดน้ำ ให้มันเติบโตขึ้นอย่างแข็งแรง กลายเป็ต้นไม้ใหญ่สูงเสียดฟ้าให้ได้!
“อืม...” เฉียวรุ่ยขยับคอ ลืมตาสองข้างขึ้นเงียบๆ มองหลิ่วเทียนฉีที่อยู่ใกล้อย่างสะลึมสะลือ
“ที่รัก ตื่นแล้วหรือ?” หลิ่วเทียนฉีจูบใบหน้าของคนรักแล้วยิ้มพลางเอ่ยถาม
เฉียวรุ่ยได้ยินคำเรียกขานตนก็หน้าแดง “อย่า อย่าเรียกมั่วๆ สิ คนอื่นจะได้ยินเข้า”
“วางใจเถอะที่รัก ข้าแปะยันต์ไว้ที่ประตูแล้ว ไม่มีใครเข้ามาได้ยินหรอก”
ได้ฟังเช่นนี้ เฉียวรุ่ยก็กะพริบตาปริบๆ “เ้าช่างเ้าเล่ห์จริงเชียว!” ที่แท้ก็เตรียมพร้อมไว้ั้แ่แรกหรือ? เทียนฉีช่างคิดรอบคอบนัก
“เป็อย่างไร? เมื่อคืนสามีปรนนิบัติให้ ภรรยาพอใจไหม?” หลิ่วเทียนฉีหัวเราะ ถามชิดใบหู
เฉียวรุ่ยได้ยินคำถามก็ยิ่งหน้าแดงหนัก
นึกถึงเมื่อคืนที่เขาเรียก คำหนึ่งก็ที่รัก คำหนึ่งก็ภรรยาคนดี เรียกครั้งแล้วครั้งเล่าใกล้ใบหูตน พร่ำบอกความงามของเขา ความรักและความรู้สึกที่มีต่อตนไม่หยุด ถ้อยคำแสนอ่อนโยนและหวานเลี่ยนนั่น พอคิดขึ้นมา หัวใจพลันรู้สึกหวานประหนึ่งน้ำผึ้งกระปุกหนึ่งคว่ำ
และเมื่อนึกถึงเขาที่พรมจูบตนั้แ่หัวจรดเท้า คิดถึงร่างกายตนที่ถูกอีกฝ่ายปฏิบัติอย่างทะนุถนอม รักใคร่ปานนั้น เฉียวรุ่ยยิ่งหน้าแดงหูแดงขึ้นไปอีก
ว่ากันว่าร่างกายของบุรุษสองเพศไม่เหมือนสตรี ยามเข้าหอกับสามีส่วนใหญ่ล้วนทรมานจนไม่อาจบรรยาย แต่เทียนฉีกลับถนอมตนปานนั้น ไม่เคยให้เขาต้องรู้สึกเ็ปหรือไม่สบาย ช่างอ่อนโยน เอาใจใส่และทะนุถนอมเช่นนี้ ทำให้ใจตนหวานชื่นและอิ่มเอมจริงๆ
ั้แ่เล็กจนโตเขามีชีวิตมาสิบเก้าปี ไม่เคยรู้เลยว่าจะมีบุรุษคนหนึ่งรักเขาอย่างไร้ก้นบึ้ง ไร้เงื่อนไขจนเปลี่ยนเขาให้กลายเป็บุรุษสองเพศที่มีความสุขที่สุดบนโลกใบนี้ได้
หลิ่วเทียนฉีเห็นหน้าแดงก่ำของเฉียวรุ่ยก็หัวเราะก่อนจูบริมฝีปาก “ภรรยาไม่พูด เช่นนั้นสามีถือว่ายอมรับแล้วนะ!”
เมื่อได้ยิน เฉียวรุ่ยก็หน้าแดงขึ้น ชำเลืองมองหลิ่วเทียนฉี “เทียนฉี เ้า ใต้ฟ้านี้เ้าเป็คนที่ดีกับข้าที่สุด”
“เ้าเป็ภรรยาข้า ข้าย่อมดีต่อเ้า ย่อมต้องเอาอกเอาใจและรักเ้า!”
“อืม ข้า ข้าก็จะเอาอกเอาใจ รักเ้าเช่นกัน” เฉียวรุ่ยพยักหน้า เป็ฝ่ายเข้าไปกอดคอเขาไว้ ออกแรงกัดบนริมฝีปากอีกฝ่ายทีหนึ่ง
“ฮ่าๆๆ ทำไมเล่า?” หลิ่วเทียนฉีลูบเส้นผมของเฉียวรุ่ยอย่างหยอกเย้า
“เพราะเ้า เ้าเป็สา...เป็สามีข้า” เฉียวรุ่ยซุกศีรษะเข้าไปในอ้อมแขนของหลิ่วเทียนฉี เสียงยิ่งเบาลงทุกที แต่คำพูดนั่นหลิ่วเทียนฉียังคงได้ยิน ไม่ตกหล่นสักคำ
“ฮ่าๆๆ!” หลิ่วเทียนฉีหัวเราะอย่างพอใจ กอดคนในอ้อมแขนแน่นกว่าเดิม