หลังจากชายชราถอยกายไปร่วมห้าวาก็ยั้งร่างสะบัดมือสลายพลังจากหมัดเก้าทบได้หมดสิ้น คิดไม่ถึงว่าชายชราผู้นี้จะไม่าเ็แม้แต่น้อย!
กระนั้น แทนที่จะจู่โจมเข้ามาอีกชายชรากลับโบกมือกล่าวว่า “ช้าก่อน ช้าก่อน! ไม่สู้แล้ว! ไม่สู้แล้ว! ข้า...”
แต่ก่อนจะทันได้กล่าวจบ ประกายแสงเย็นเยียบสองจุดถูกซัดเข้าถึงตัวในพริบตา!
ดวงตาชายชราเบิกกว้าง หลังจากโบกมือที่เบื้องหน้าอย่างปลอดโปร่งก็คว้าจับมีดสั้นสองเล่มเอาไว้ได้ ขณะเดียวกันก็มองดูไป๋หยุนเฟยที่กำมีดสั้นอีกสองเล่มไว้ในมือเขม้นมองมา ชายชราจึงกล่าวอย่างประหลาดใจ “ผู้เยาว์ที่ไร้น้ำใจนัก ข้าบอกให้เ้าหยุดมือ ไฉนยังจู่โจมเข้ามาอีก?!”
แม้ได้ยินคำพูดเช่นนี้ ไป๋หยุนเฟยก็ไม่ผ่อนคลายลงแม้แต่น้อย ยังคงจับจ้องฝ่ายตรงข้ามอย่างเฉยชาทั้งยังพร้อมจะซัดมีดสั้นในมือออกได้ทุกเมื่อ ขณะเดียวกันก็ล่าถอยทีละน้อยกระทั่งถอยห่างไปสิบวาค่อยเอ่ยปากถาม “ท่านเป็ใครกันแน่? ไฉนจู่โจมข้าโดยไร้สาเหตุ?”
เมื่อได้ยินคำพูดไป๋หยุนเฟย ชายชราราวกับละอายใจวูบก่อนจะโบกมือกล่าวว่า “เอ่อ น้องชายอย่าได้ถือสา ข้าเพียง้ายืนยันเื่ราวบางอย่าง หาได้มีเจตนาร้ายไม่”
ไป๋หยุนเฟยขมวดคิ้วเล็กน้อย “ท่าน้ายืนยันอะไร?”
“ข้าเพียง้ายืนยันเคล็ดิญญาที่เ้าใช้ออกเมื่อครู่” ชายชรากล่าวอย่างยิ้มแย้ม “ยามนี้ข้ามั่นใจแล้วว่านั่นต้องเป็ท่าเท้าเหยียบคลื่นกับวิชาระลอกคลื่น...”
“ท่านรู้จักเคล็ดิญญาทั้งสองวิชานี้?” เมื่อได้ยินคำพูดชายชราไป๋หยุนเฟยจึงงงงันวูบก่อนจะกล่าวอย่างประหลาดใจ “ท่านรู้จักผู้าุโเกออี้หยุน?”
“โอ? ศิษย์พี่ถึงกับเปิดเผยนามต่อเ้า?” ยามนี้กลับเป็ชายชราที่เป็ฝ่ายประหลาดใจ
“ท่านเป็ศิษย์น้องของผู้าุโ?”
“มิผิด”
ไป๋หยุนเฟยเงียบงันไป มันไม่ทราบว่าที่ชายชรากล่าวจะเป็เื่จริงหรือไม่ แต่อย่างน้อยฝ่ายตรงข้ามก็ไม่มีเจตนาร้าย ดูจากที่คนผู้นี้สามารถต้านรับพลังหมัดเก้าทบอย่างปลอดโปร่งก็ทราบว่าตนเองไม่ใช่คู่มือของอีกฝ่าย อาจบางทีเพราะชายชรามีเจตนาทดสอบ ไป๋หยุนเฟยจึงสามารถรับรู้ถึงการคงอยู่ของอีกฝ่ายได้
หลังเงียบงันไปชั่วครู่ ไป๋หยุนเฟยจึงลดมีดสั้นลง แต่ยังไม่ผ่อนคลายการป้องกันจนหมดสิ้น “เหตุใดผู้าุโจึงมาพบข้า?”
“เหตุใด?” ชายชรานิ่งงันไปชั่วครู่ แต่หลังจากครุ่นคิดเล็กน้อยก็กล่าวอย่างกระดาก “เอ่อ ที่จริงแล้วก็ไม่มีเหตุผลอันใด เพียงแต่เมื่อยามสนธยาข้าพบเห็นเ้าต่อสู้กับคนตระกูลหลงในเมือง เคล็ดิญญาที่ใช้คลับคล้ายท่าเท้าเหยียบคลื่นจึงมาเพื่อยืนยันและสอบถามร่องรอยศิษย์พี่ข้า”
“ในเมื่อเป็ศิษย์น้อง ไฉนท่านกลับไม่ทราบร่องรอยศิษย์พี่ท่าน?” ไป๋หยุนเฟยสอบถามอย่างสงสัย
“ศิษย์พี่ข้าไม่ชอบติดต่อกับผู้อื่น มิหนำซ้ำข้าก็ยังฝึกปรือไม่ถึงขั้นที่จะค้นหาร่องรอยศิษย์พี่ได้...” ชายชรากล่าวอย่างคับข้องใจ
ไป๋หยุนเฟยขมวดคิ้วเล็กน้อยกล่าวว่า “ข้าไม่ทราบว่าผู้าุโเกออี้หยุนไปที่ใดจริงๆ แต่ท่านผู้เฒ่ายังอยู่ในมณฑลฉิงหยุน หลายวันก่อนข้าพบท่านโดยบังเอิญบนเขาทางใต้ของเมืองชุ่ยหลิว”
เห็นใบหน้าอีกฝ่ายจมอยู่ในภวังค์ครุ่นคิด ไป๋หยุนเฟยก็ไม่คิดจะรั้งอยู่อีก จึงประสานมือคารวะกล่าวว่า “ผู้าุโ หากท่านไม่มีเื่อันใดอีก ข้าขออำลา”
……
ยามที่ชายชรามองตามไป๋หยุนเฟยลับสายตาไป ใบหน้าก็ปรากฏร่องรอยประหลาดใจก่อนจะสั่นศีรษะเล็กน้อย พลางกล่าวกับตนเอง “ดูเหมือนเด็กน้อยผู้นี้ยังไม่เชื่อถือข้า มันระมัดระวังเกินไปหรือไม่? หรือผู้าุโสำนักชะตาลิขิตเช่นข้าจะหลอกลวงเ้าได้? ช่าง... แต่นี่ย่อมหมายความว่าตัวมันมีบางอย่างที่เหนือธรรมดา อย่างน้อยระมัดระวังในทุกเื่ราวย่อมไม่ผิดพลาด”
“ศิษย์พี่ท่องไปทั่วแผ่นดินกว่าสองปี ค้นพบผู้ที่จะช่วยให้สำนักเราผ่านหายนะมากน้อยเท่าใดแล้ว...? หลายเดือนก่อนศิษย์ฆราวาสของสำนักรายงานว่าศิษย์พี่เดินทางมายังมณฑลฉิงหยุนแต่ก็ไร้ข่าวคราวใดอีก จากคำพูดของเด็กน้อยนี้ศิษย์พี่สมควรยังอยู่ในมณฑลฉิงหยุน แต่เพราะเหตุใด? ศิษย์พี่เสาะหาสิ่งใดจึงรั้งอยู่ที่นี่มาหลายเดือน? หรือมีบางอย่างที่ทำให้ท่านต้องทุ่มเทเวลาปานนี้?”
ยิ่งชายชราคาดเดามากเท่าไหร่ ใบหน้าก็ยิ่งสับสนประหลาดใจ สุดท้ายจึงถอนหายใจแ่เบาก่อนจะหันกายสาบสูญไปกับความมืดยามราตรี
……
ภายใต้ท้องฟ้ายามราตรี เงาร่างสูงตระหง่านยืนอยู่บนหลังคาตึกสูงมองไปยังตรอกที่ห่างออกไปกว่าสองลี้ สายตามันติดตรึงอยู่กับตรอกที่ไป๋หยุนเฟยและชายชราพบกัน
ดูจากภายนอกคนผู้นี้สมควรอายุไม่เกินสามสิบ ร่างมันสูงใหญ่ตั้งตระหง่านสวมผ้าคลุมสีเงินไว้ผมยาว แม้ไม่อาจนับว่าหล่อเหลาแต่ก็แผ่กลิ่นไอเหี้ยมหาญ บนไหล่ของมันกลับมีสัตว์ตัวเล็กขนาดเท่าฝ่ามือสีขาวแลดูคล้ายมุสิก
บุรุษผู้นี้เพ่งตามองจากที่ห่างไกลอยู่เนิ่นนาน สุดท้ายจึงถอนสายตากลับ ขณะจะหันหลังจากไปสีหน้ามันพลันแปรเปลี่ยนกลับกลายพร้อมกับหันกลับอย่างฉับพลัน
ปรากฏคนผู้หนึ่งยืนบนหลังคาด้านหลังมัน และคนผู้นี้ก็มิใช่ใครอื่นแต่เป็ชายชราที่เมื่อครู่พูดคุยกับไป๋หยุนเฟยนั่นเอง!
“เด็กน้อยเ้าลอบมองอยู่เนิ่นนาน เ้ามองผู้ใด? ข้าหรือสหายน้อยผู้นั้น?” ราวกับคาดการณ์ท่าทีของอีกฝ่ายไว้แล้ว ชายชราจึงกล่าวอย่างเคร่งเครียดขณะเขม้นมองอย่างเฉยชา
เดิมทีบุรุษผู้นั้นแสดงท่าทีตื่นตระหนกแต่ก็รู้สึกตัวในทันที มันถอยหลังไปสองก้าว คารวะชายชราอย่างนอบน้อมกล่าวว่า “ผู้เยาว์คือหงยิน นับเป็เกียรติที่ได้พบผู้าุโฉินเจิ้ง”
“โอ เ้ารู้จักข้า?” ชายชราประหลาดใจไม่น้อย
“ยี่สิบปีก่อน ข้าติดตามบิดาบุญธรรมไปเยือนสำนักชะตาลิขิต จึงมีวาสนาได้พบกับผู้าุโ” บุรุษนามหงยินยังคงกล่าวอย่างนอบน้อม ก่อนจะเยินยออีกเล็กน้อย “ผู้ใดจะคิดว่าผู้าุโจะยังสง่างามเช่นเดียวกับเมื่อยี่สิบปีก่อน”
สีหน้าฉินเจิ้งเปลี่ยนเป็ผ่อนคลายลง ก่อนจะเอ่ยปากถาม “ยี่สิบปีก่อน? บิดาบุญธรรมของเ้าคือ...”
“สุนัขป่าโลหิต”
ชั่วขณะที่ฉินเจิ้งได้ยินนามนี้ก็ลอบตื่นตระหนก ก่อนจะขมวดคิ้วเล็กน้อยถามอย่างสงสัย “เ้าคือบุตรบุญธรรมของราชันสุนัขป่าโลหิต? เ้าคือคนที่ผู้คนร่ำลือกัน? เ้ามีสิ่งใดยืนยันหรือไม่?”
ทันทีที่ได้ยินคำพูดชายชรา ราวกับฟังน้ำเสียงคลางแคลงของฉินเจิ้งออก สัตว์ตัวเล็กบนไหล่หงยินจึงโก่งตัวส่งเสียงใส่ชายชราสองครา เห็นได้ชัดว่ามันกำลังโกรธเคือง
“โอ? นี่เป็... มุสิกกวนสมุทร! มิหนำซ้ำ... ยังเป็ขั้นกลางของระดับห้า!” เดิมทีฉินเจิ้งไม่แยแสสัตว์ตัวเล็กนี้แม้แต่น้อย แต่หลังจากพิจารณาอย่างละเอียดก็ต้องกล่าวด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ
หงยินส่งยิ้มให้ก่อนจะยื่นมือสะกิดห้ามปรามมุสิกบนไหล่เบาๆ พลางตอบคำ “ผู้าุโสายตาแหลมคมนัก นี่เป็สหายผู้เยาว์นามว่าเสี่ยวถัง”
จากนั้นหงยินขยับมือก็ปรากฏมีดสั้นสีขาวอยู่ในมือ ที่จริงนี่ไม่อาจนับได้ว่าเป็มีดสั้นเนื่องเพราะหากมองอย่างละเอียดจะพบว่าสิ่งนี้คล้ายเป็เขี้ยวสัตว์มากกว่า
“คิดว่าสิ่งนี้คงพอจะยืนยันได้กระมัง?”
เดิมทีฉินเจิ้งต้องงงันวูบเมื่อได้ยินหงยินเรียกอสูริญญาเป็สหาย แต่ยามนี้เมื่อได้เห็นมีดสั้นชายชราต้องเลิกคิ้วกล่าวอย่างประหลาดใจ “เขี้ยวโลหิต! มิผิด สิ่งนี้ยืนยันได้จริงๆว่าเ้าพูดความจริง”
ชายชราใคร่ครวญครู่หนึ่งก่อนจะถามต่อ “เช่นนั้นไฉนเ้าอยู่ที่นี่ หรือเพราะสหายน้อยผู้นั้น? มันมีความสำคัญอย่างยิ่งยวดต่อสำนักชะตาลิขิตข้าในอนาคต ห้ามเ้าแตะต้องมัน!”
หงยินงงงันวูบก่อนจะรีบอธิบาย “ผู้าุโเข้าใจผิดแล้ว ผู้เยาว์ไม่รู้จักสหายน้อยผู้นั้นแม้แต่น้อย ที่ลอบมองจากที่นี่ก็เพราะพบเห็นท่าน”
“โอ? ไฉนเป็ข้า? เ้าหาข้าเพื่ออะไร?” ฉินเจิ้งถามอย่างงุนงง
“ที่จริงผู้เยาว์้าถามร่องรอยผู้าุโเกออี้หยุน” หงยินใคร่ครวญชั่วครู่ “ไม่กี่วันก่อนผู้เยาว์ทราบโดยบังเอิญว่าผู้าุโเกออี้หยุนอยู่ในมณฑลฉิงหยุนจึงเร่งรุดมาที่นี่ หวังจะเชื้อเชิญท่านผู้เฒ่า...”
“เพราะเื่นั้นอีกกระมัง?” ก่อนที่หงยินจะทันได้กล่าวจบ ฉินเจิ้งก็ทราบแล้วว่ามันจะกล่าวอันใด จึงถอนหายใจแ่เบากล่าวว่า “โธ่ บิดาบุญธรรมเ้าสมควรบอกต่อเ้าแล้วว่าเื่นี้แทบไม่มีโอกาสทำให้สำเร็จได้กระมัง?”
สีหน้าหงยินหมองคล้ำลงทั้งฉายแววผิดหวังวูบ แต่ก็กลับเป็ปกติในทันทีพลางกล่าวด้วยสีหน้าเด็ดเดี่ยว “ไม่ว่าอย่างไรข้าจะขอทดลองดู! บางที... หากผู้อาวโสเกออี้หยุนยินยอมให้ข้าได้ทดลองอีกครั้ง พวกเราอาจพบหนทาง...”
“ตกลง... เมื่อเ้าตัดสินใจแน่วแน่ ข้าจะไม่ยุ่งเกี่ยวอีก ทำสิ่งที่เ้าปรารถนาเถอะ หวังว่าด้วยสถานะที่พิเศษของเ้าจะสามารถเปลี่ยนแปลง‘ชะตา’ที่สายเือสูริญญาทั้งตระกูลไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้กว่าพันปี...” ฉินเจิ้งยามอับจนปัญญาได้แต่สั่นศีรษะตนเอง
“ข้ามีเื่ต้องกระทำเช่นกันจึงไม่อาจรั้งอยู่ ศิษย์พี่ข้า... ข้าก็ไม่ทราบว่าอยู่ไหนเช่นกัน หากเ้า้าพบก็เสาะหาด้วยตนเองเถอะ!” ฉินเจิ้งหันกายจากไป ก่อนจะทิ้งคำพูดดังที่ข้างหูหงยินจากที่ห่างไกล
“‘ชะตา’ของเ้าบ่งบอกว่า‘เส้นแบ่งชะตา’อาจบังเกิดที่เมืองชุ่ยหลิว ข้าไม่อาจมองลึกถึงอนาคตเ้าจนเกินไปทั้งไม่อาจบอกต่อเ้ามากเกินไปเช่นกัน แต่เ้าสมควรคว้าโอกาสนี้อาไว้...”
