ตอนที่ 1
อดีต
เสียงจอแจของเด็กนักเรียนหลังเลิกเรียนยังคงคึกคักเหมือนทุกวัน อาไฉในชุดนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่หก เดินสะพายกระเป๋าเป้คู่ใจมานั่งที่ชิงช้าในสนามเด็กเล่น โดยมีเด็กหญิงตัวเล็ก มัดผมเปียทั้งสองข้างและผูกโบว์สีแดงเป็เอกลักษณ์ ซึ่งเป็เพื่อนสนิทนั่งอยู่ข้างกัน
“เราอยากแต่งงาน!”
“อะไรนะ!”
อาไฉได้แต่หันไปถามทั้งยังทำหน้างงเป็ไก่ตาแตกให้กับเพื่อนสนิท ที่จู่ ๆ ก็โพล่งว่าอยากแต่งงานขึ้นมาโดยไม่มีปี่มีขลุ่ย เป็จังหวะเดียวกันที่ฝ่ายนั้นหันหน้ามามองสบกันทั้งดวงตาเป็ประกายวาววับ พยักหน้าหงึกหงักอย่างมั่นอกมั่นใจ ไม่ได้หลอกอำกันแต่อย่างใด
“จริง ๆ นะ เมื่อวานญาติเราแต่งงาน เราเห็นก็เลยอยากแต่งงานบ้าง”
“...”
เด็กหญิงโยกหัวไปมาทั้งยังเอ่ยพูดอย่างอารมณ์ดี ดวงตาเป็กระกายจินตนาการถึงตัวเองในชุดเ้าสาวสีขาวสะอาด ในขณะที่อาไฉได้แต่มองเพื่อนสนิทของตนด้วยสีหน้าประหลาดใจ เมื่อคิดว่าการแต่งงานไม่เห็นจะน่าสนใจตรงไหน อีกอย่างพวกเขาก็ยังเด็กเกินไปด้วยซ้ำ ก่อนจะหันมาแกะซองขนมกินระหว่างรอผู้ปกครองมารับ
“นี่อาไฉ ไม่อยากแต่งงานบ้างเหรอ?”
“ไม่เอาหรอก”
“แล้วถ้าสมมติเปลี่ยนใจอยากแต่งงานขึ้นมา อาไฉอยากแต่งงานกับคนแบบไหนเหรอ”
เมื่อถามคำถามหนึ่งแล้วยังไม่ได้คำตอบ ก็โยนคำถามต่อให้ทันทีโดยไม่ลดละในความพยายาม อาไฉยัดขนมใส่ปากคำโตทั้งใบหน้าครุ่นคิด ต่อให้พยายามคิดหรือพยายามจินตนาการถึงคนที่อยากแต่งงานด้วยอย่างไร ในหัวของเขาก็ยังคงว่างเปล่าอยู่ดี มองเท้าน้อย ๆ ของตนที่แกว่งไปมาพลางเอ่ยตอบ
“เราไม่อยากแต่งงาน จะเป็คนแบบไหนเราก็ไม่อยากแต่งงานด้วยทั้งนั้นแหละ”
เมื่อคู่สนทนายังยืนยันคำเดิม เด็กหญิงที่หมดมุกจะโน้มน้าวแล้วจึงได้แต่ละความพยายามไป กระทั่งเวลาผ่านไปหลายนาที อาไฉที่กินขนมจนหมดห่อแล้วได้แต่ชะเง้อคอมองหาผู้พ่อและแม่ของตน ครั้นเมื่อยังไม่มีใครมารับเสียทีริมฝีปากก็เริ่มเบะลงคล้ายอยากจะร้องไห้งอแงเสียตอนนี้ ก่อนเสียงของใครบางคนจะดึงความสนใจจากตนไปได้จนหมด
“อย่าข้ามถนนเอง เดี๋ยวพี่พาข้าม”
เพราะนั่งอยู่ใกล้รั้วโรงเรียน จึงได้ยินเสียงของคนที่อยู่นอกรั้วอย่างชัดเจน ภาพที่เห็นตรงหน้าคือแผ่นหลังของนักเรียนหนุ่มมัธยมปลาย ซึ่งกำลังเอื้อมไปจับมือนักเรียนชั้นประถมตัวเล็กที่ผลีผลามจะแอบข้ามถนนเอง ไม่รู้เพราะสิ่งใดดลใจ ทว่าอาไฉกลับจับจ้องภาพตรงหน้าอยู่อย่างนั้น คล้ายกับเฝ้ารออยากจะเห็นหน้าของผู้ชายคนดังกล่าว
“พ่อกับแม่อยู่ไหน เดี๋ยวพี่เขมเดินไปส่ง”
พลันดวงตาสีสวยเบิกกว้างขึ้นในจังหวะที่ฝ่ายนั้นหันหน้าไปคุยกับเด็กผู้หญิงข้างกาย แม้จะเห็นเพียงเสี้ยวใบหน้าก็ตามทีทว่าอาไฉกลับจดจำได้อย่างขึ้นใจ สองคนนั้นพากันเดินข้ามถนนไปอีกฝั่งแล้วเดินไปไกลเรื่อย ๆ กระทั่งแทบจะหลุดพ้นจากระยะสายตา
คราวนี้เด็กชายตัวเล็กะโลงจากชิงช้าวิ่งไปเกาะขอบรั้วโรงเรียนทันทีทั้งดวงตาเป็ประกาย เอ่ยโพล่งออกมาไร้ซึ่งความลังเลในน้ำเสียงแต่อย่างใด พลางชี้นิ้วไปยังเป้าหมายของตนอย่างหมายมั่น เด็กหญิงเพื่อนสนิทเมื่อได้ยินดังนั้นก็ลงจากชิงช้าแล้ววิ่งตามกันมาเกาะขอบรั้วด้วยกันทันที
“คนนั้น! เราจะแต่งงานกับผู้ชายคนนั้น”
“อะไรนะ!”
“โตขึ้นเราจะแต่งงานกับผู้ชายคนนั้น!!”
...
ปัจจุบัน
คิงบาร์
“คะ คุณคะ ดื่มเยอะเกินไปแล้วนะ”
เสียงของหญิงสาวที่เอ่ยทักกันส่งผลให้มือที่กำลังจะกระดกแก้วเบียร์เข้าปากหยุดชะงักไป คราวนี้อาไฉหันหน้าไปมองเล็กน้อย เห็นผู้หญิงหน้าตาสะสวยที่ดูคล้ายจะมาเที่ยวคนเดียวนั่งอยู่ใกล้กัน สีหน้าของเธอดูเป็กังวลอยู่ไม่น้อย กระนั้นก็ไม่ได้ทำให้ตัวเขาคิดอยากจะหยุดแต่อย่างใด
“ไม่เห็นจะเป็อะไรเลย”
โคลงศีรษะพูดอย่างไม่ใส่ใจ ทั้งยังยกแก้วเบียร์ขึ้นกระดกดื่มอีกครั้งจนหมด กระทั่งหญิงสาวที่มาเที่ยวคนเดียวเหมือนกันเริ่มเป็กังวล ยกมือขึ้นแตะไหล่ของอีกฝ่ายเบา ๆ จากที่จะมาดื่มย้อมใจเพราะอกหักกลับกลายเป็ต้องคอยปรามหนุ่มตัวเล็กที่ใจกล้าใจใหญ่เกินขนาดตัวไปไกลโข
ปึง!
“เธอดูสิ!”
“อะ อื้อ เราดูอยู่...”
เสียงกระแทกอะไรบางอย่างลงกับโต๊ะทำให้หญิงสาวที่เหม่อลอยอยู่แอบสะดุ้งอย่างได้สติ เมื่ออาไฉเอ่ยบอกให้มองด้วยท่าทีจริงจังก็ยอมพยักหน้ารับเออออไปด้วย มองกล่องนมจืดสลับกับใบหน้าถมึงทึงของคู่สนทนาไปมาอย่างไม่เข้าใจ ก่อนอาไฉจะเอ่ยพูดออกมาเสียงดังจนคนที่นั่งอยู่บริเวณนั้นหันมามองกันเป็ตาเดียว
“เราอุตส่าห์เอาต้นดอกกุหลาบเก้าสิบเก้าต้นไปวางไว้ที่หน้าบ้านเขา แล้วดูรางวัลที่เขาให้เรามาสิ”
“...”
“นมจืด!! คิดว่าคนอย่างอาไฉกินนมจืดเหรอ คนโตเขากินเหล้ากันทั้งนั้นแหละ!”
“แต่ว่า...อาไฉก็ดูเหมือนเด็กจริง ๆ นะ”
เธอตอบกลับเสียงกลั้วหัวเราะ คราวนี้อาไฉหันขวับมามองกันทันที หญิงสาวรีบขบเม้มริมฝีปากเข้าหากันแต่ก็แอบขำอยู่ในใจ คงจะแค้นมากถึงขั้นหอบกล่องนมติดตัวมาถึงที่นี่ ร่างเล็กละสายตามองไปทางเวทีซึ่งอยู่ไม่ไกลมาก อาจเป็เพราะดื่มไปมากพอสมควรจนกรึ่มได้ที่แล้ว จึงได้ตาลายเห็นว่าคนเต้นอยู่กำลังมองมาทางนี้อย่างท้าทาย
“เขาท้าเรา”
“อาไฉเมาแล้วต่างหากก็เลยเข้าใจผิดไปเอง”
อาไฉมองหญิงสาวคนดังกล่าวแล้วหันไปมองบนเวทีอีกครั้ง สักพักจึงได้ยินเสียงแจ้งเตือนข้อความดังขึ้น ครั้นเมื่อเห็นว่าเป็ข้อความจากเขมนัษฐ์ก็แอบเบ้ปากใส่ทันทีอย่างแง่งอน จิ้มนิ้วลงกับโทรศัพท์เพื่อตอบโต้กลับไปทันที
เขมนัษฐ์: อย่าไปดื้อซนที่ไหน
คนที่ไล่เรากลับบ้านพร้อมกับนมจืดหนึ่งกล่องไม่มีสิทธิ์มาสั่ง! : อาไฉ
“เราจะขึ้นไปเต้นบนนั้น”
“ดะ เดี๋ยวสิ!”
“คอยดูนะ เราจะเต้นให้เวทีลุกเป็ไฟเลยคอยดู!!”
ว่าแล้วก็เดินออกไปพลางยัดโทรศัพท์เก็บใส่กระเป๋า โดยมีหญิงสาวที่ได้แต่มองตามแล้วหันซ้ายหันขวาอย่างทำตัวไม่ถูก ดูแล้วคงจะเป็คนที่เมาแล้วฤทธิ์มากพอควร แต่ใครจะไปรู้ว่าจะเป็ถึงขนาดนี้กัน
...
“เอานิสัยดื้อแบบนี้มาจากไหน...” เรียวคิ้วเข้มขมวดเข้าหากันแน่นเมื่ออ่านข้อความที่ฝ่ายตรงข้ามตอบกลับมาอย่างดื้อดึง ดวงตาคมมองออกไปด้านนอกผ่านกระจกห้องวีไอพี ก่อนเสียงจากผู้มาใหม่จะดึงความสนใจจากเขมนัษฐ์ไปได้ในมันที
“หิมะตกในฤดูร้อนหรือไงวะ จู่ ๆ เฮียก็มาโผล่อยู่ในบาร์กู”
หันใบหน้ามองตามเสียงเรียก ทอดสายตามองร่างสูงของคนที่มีเส้นผมสีสว่างซึ่งกำลังเดินถือขวดสุราเข้ามา คิง หรือ าา เป็เ้าของผับบาร์ที่เขากำลังมาใช้บริการอยู่ในตอนนี้ ทั้งยังควบตำแหน่งหลานรหัสั้แ่สมัยที่เรียนมหาวิทยาลัย รู้จักและสนิทกันได้เพราะลากกันไปดื่มด้วยกันอยู่บ่อยครั้ง ฝ่ายนั้นเดินมาหย่อนกายลงนั่งตรงข้ามกันเอ่ยถามต่อ
“มาได้เหรอ ปกติเห็นลูกร้องไห้ตามมาทุกที”
เป็ที่รู้กันดีว่าเขมนัษฐ์รับหน้าที่เป็พ่อคนไปเสียแล้ว แม้ว่าจะไม่ได้มีศักดิ์เป็พ่อแท้ ๆ แต่เด็กคนดังกล่าวก็ติดเขมนัษฐ์เสียยิ่งกว่าใคร แต่ก็คงจะไม่ใช่เื่แปลกอะไรนัก เพราะเมื่อจำความได้เด็กคนนี้ก็จดจำเ้าตัวในฐานะพ่อมาตลอด
“หลับไปแล้ว แม่บ้านช่วยดูแลอยู่”
“ทำไมไม่พาลูกมาให้กูเลี้ยงบ้าง”
คราวนี้มือที่กำลังรินสุราใส่แก้วอยู่ชะงัก พลางช้อนสายตาขึ้นมองสบกัน ก่อนที่ประโยคต่อมาจะเป็เสียงของ ชาวิน รุ่นน้องอีกคนที่เคยเป็น้องรหัสของตนในสมัยเรียนมหาวิทยาลัยเช่นเดียวกัน ปัจจุบันเป็นักแข่งรถที่มีชื่อเสียงมากพอสมควร ไม่ค่อยได้มีโอกาสเจอกันมากเท่าไรนัก เมื่ออีกฝ่ายคอยตระเวนแข่งชิงเอาถ้วยรางวัลจากแต่ละสนามอยู่ตลอด
“ขายเหล้าเลี้ยงเมียต่อไปเถอะมึงอะ อย่าไปหาเลี้ยงลูกใครเขาให้เสียคนเลย”
โครม!!
“อีกสักพักตีนกูจะย้ายจากบนโต๊ะไปอยู่บนหน้ามึงนะเฮีย”
เสียงถีบโต๊ะดังขึ้นพร้อมกับเสียงหัวเราะเอิ้กอ้ากอย่างชอบอกชอบใจจากชาวินที่แก้เผ็ดรุ่นน้องของตนได้สำเร็จ เขมนัษฐ์หัวเราะเสียงเบาในลำคอต่อบรรยากาศที่ไม่ค่อยต่างไปจาก่สมัยเรียนมากนัก พลางยกแก้วสุราขึ้นจิบเบา ๆ แล้วมองออกไปนอกกระจกของห้องวีไอพีอีกครั้ง
วันนี้ที่บริเวณศูนย์กลางของร้านคึกคักกว่าปกติ ดูคึกคักมากเกินไปจนผิดวิสัยของร้าน เขมนัษฐ์จากที่กวาดมองโดยรอบของร้านด้วยท่าทีผ่อนคลาย ในยามนี้กลับเริ่มขมวดคิ้วเข้าหากันเล็กน้อยแล้วจ้องมองร่างของบุคคลที่โยกตัวอยู่บนเวที ท่าทางออกไปทางตลกมากเสียกว่าเซ็กซี่ เต้นม้วนหน้าม้วนหลังเสียจนตัวเขามึนหัวแทน ก่อนเรียวคิ้วจะยิ่งขมวดเข้าหากันแน่นขึ้นเมื่อยิ่งมองก็ยิ่งดูคุ้น เป็จังหวะเดียวกันที่บานประตูถูกเปิดออกพร้อมกับพนักงานของร้านที่พรวดพราดเข้ามา
“เฮียคิงครับ เกิดปัญหาแล้วครับ”
“อะไรของมึง”
“ลูกค้า แฮ่ก...ลูกค้าขึ้นไปเต้นบนเวทีแล้วครับ”
สิ้นคำพูดดังกล่าว พลันเขมนัษฐ์ที่นั่งนิ่งอยู่นานหยัดกายลุกขึ้นแล้วออกจากห้องไปทันที จุดหมายดูคล้ายจะเป็เวทีใหญ่ใจกลางร้านที่มีร่างของใครบางคนเต้นโลดโผนอยู่บนนั้น ชายหนุ่มเอ่ยพูดขอทางคนรอบข้างมาเรื่อย ๆ กระทั่งสามารถแหวกฝูงชนมายืนติดอยู่ที่ข้างเวทีได้ในที่สุด
“ตีลังกาม้วนหลังให้ดูหน่อย!”
“ได้!!”
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ณ ตอนนี้ทำเอาชายหนุ่มนึกอยากจะยกมือขึ้นกุมขมับแล้วถอนหายหายใจออกมาสักสิบเฮือกใหญ่ พยายามะโเรียกชื่อของอาไฉแข่งกับเสียงเพลงที่ดังกระหึ่มและเสียงของผู้คนที่กำลังสนุกสนานอยู่รอบเวที ในขณะที่ร่างเล็กยังคงเต้นเด้งหน้าเด้งหลังอย่างเต็มที่ กระทั่งคนอายุมากกว่าเริ่มจะมีน้ำโหขึ้นมา เอ่ยเรียกด้วยน้ำเสียงที่ดังขึ้นและจริงจังขึ้นมาหนึ่งระดับ
“อาไฉ!!”
เสียงเรียกที่ดังชำแรกเข้าใบหูเป็ผลให้อาไฉชะงักไปในทันที ครั้นเมื่อหลุบมองลงไปเห็นใบหน้าหล่อเหลาและดวงตาคมที่คุ้นเคย กำลังทอดมองมายังตนแน่นิ่งก็รู้สึกถึงความรู้สึกเย็นเยียบที่แล่นปราดอยู่ที่บริเวณกระดูกสันหลัง ดวงตากลอกล่อกแล่กไปมาอย่างมีพิรุธ ยืนเงอะงะอยู่กลางเวที จะเดินลงไปก็ไม่กล้า จะเต้นต่อก็กระไรอยู่อีกเหมือนกัน
“ลงมา”
คนหนึ่งเอ่ยสั่ง ทว่าอีกคนหนึ่งก็ดื้อดึงเกินกว่าจะยอมเชื่อฟังได้โดยง่าย ยิ่งนึกถึงนมกล่องรสจืดที่อีกฝ่ายยัดใส่มือให้เป็รางวัลก็ยิ่งรู้สึกยอมไม่ได้ ใบหน้าหวานเชิดขึ้นอย่างยโส กระดกแก้วเบียร์ในมือของตนไปครึ่งแก้วต่อหน้าต่อตาแล้วะโเถียงกลับอย่างไม่ยอมความ
“เราไม่ลง! คุณเขมไม่ต้องมายุ่ง”
“เธอจะลงมาดี ๆ หรือจะยืมมือพี่อุ้มเธอลงมา”
“อุ้มลงไปสิ คุณเขมกล้าขึ้นมาอุ้มเราลงไปไหมล่ะ”
หากเป็เื่ยั่วโมโหคู่หมั้นของตัวเองแล้ว อาไฉคงทำได้ดีมากกว่าเื่อื่น ๆ นอกจากจะท้าทายกันอย่างดื้อดึงแล้วยังไม่วายหันไปเต้นต่ออีกโดยไม่สนใจกัน เขมนัษฐ์ขมวดคิ้วเข้าหากันแน่นแล้วสบถเสียงแ่เบาในลำคอ เด็กคนนี้กำลังท้าทายเขาในสิ่งที่ตัวเองคิดว่าคงจะเป็ไปไม่ได้
ชายหนุ่มยืนนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเดินขึ้นเวทีไปประชิดตัวคนที่ยังคงเต้นแร้งเต้นกาอยู่บนนั้น คว้าแขนดึงเข้ามาใกล้แล้วอุ้มร่างของอีกฝ่ายเหน็บที่ข้างเอวเพื่อพาลงจากเวทีทันที คราวนี้อาไฉเบิกตากว้างขึ้น ดิ้นกระแด่ว ๆ อยู่ในอ้อมแขนของคนเป็คู่หมั้น คำว่าอุ้มในนิยามของเขาไม่ใช่การหิ้วเหน็บข้างเอวแบบนี้สักหน่อย!
“อ๊ะ! คุณเขม ปล่อยเราลงนะ!!”
“เธอท้าเองนี่ ว่าให้ไปอุ้มเธอลงมา”
“เราหมายถึงอุ้มท่าเ้าสาว!!”
อาไฉเงยหน้าขึ้นไปเอ่ยเถียงทันทีทั้งใบหน้าถมึงทึง เป็จังหวะเดียวกันที่คนอายุมากกว่าก้มหน้าลงสบตากัน แล้วเลิกคิ้วเอ่ยถามกลับ
“คนดื้ออย่างนี้มีสิทธิ์เลือกด้วยเหรอ...อย่าดิ้น ถ้าดิ้นอีกพี่จะปล่อยเธอลงเดี๋ยวนี้เลย”
“เหอะ คนอย่างอาไฉเคยกลัวอะไรที่ไหน แน่จริงก็ปล่อยเลยสิ---อ๊ะ! มะ ไม่ดิ้นแล้ว ไม่ดิ้นแล้วก็ได้! คุณเขมอย่าปล่อยเรานะ!!”
เมื่ออีกฝ่ายทำท่าจะปล่อยกันทิ้งเดี๋ยวนั้นตามคำท้าก็รีบลนลานกลับคำพูด แล้วโอบวงแขนกอดรอบเอวสอบไว้ทันที จึงเห็นภาพร่างสูงของเขมนัษฐ์ในชุดเสื้อเชิ้ตสีเข้มเดินออกจากร้านไปพร้อมกับข้างกายที่หิ้วคนตัวเล็กห้อยโตงเตงเหน็บข้างเอวออกไปด้วย ครั้นเมื่อทำท่าจะปล่อยลงอีก คนที่ทำตัวเก่งอยู่เมื่อครู่ก็รีบโอบมือกอดรอบเอวสอบไว้แน่นทันทีเพื่อเป็หลักยึด เรียกเสียงหัวเราะจากใครหลาย ๆ คนในบริเวณนั้น เช่นเดียวกันกับหญิงสาวที่อาไฉเพิ่งไปนั่งปรับทุกข์มาก็ด้วย
“ใช่คนเดียวกันที่ให้นมกล่องนี้กับอาไฉหรือเปล่านะ?”
.
.
.
01.30 น.
รถกระบะคันใหญ่มาจอดที่หน้าประตูของอู่ อาไฉที่อยู่ในสภาพกรึ่มได้ที่ ครั้นเมื่อรถจอดได้ก็คิดว่ามาถึงบ้านตัวเองแล้ว เอื้อมมือสะเปะสะปะไปหมายจะเปิดประตูรถ ทว่าก็ยังคงช้ากว่าเขมนัษฐ์ที่รีบเอื้อมมือมาคว้าตัวไว้ทันที ก่อนที่ตัวป่วนที่เริ่มไม่มีสติจะหน้าคว่ำคะมำหล่นจากรถไป กระนั้นก็ยังเหมือนว่าจะเอาไม่อยู่กระทั่งเขมนัษฐ์ขมวดคิ้วเข้าหากัน
“เธอนี่มัน...ดื้อได้ใครมา”
“อ๊ะ!”
ชายหนุ่มลงจากรถเดินอ้อมมาฝั่งข้างคนขับ ก่อนที่ร่างของอาไฉจะถูกจับอุ้มเหน็บที่ข้างเอวอีกครั้ง คราวนี้คนที่กำลังกรึ่มได้ที่เริ่มได้สติขึ้นมาบ้าง ร้องแหกปากโวยวายมาตลอดทาง ในขณะที่ลูกน้องภายในอู่พากันยืนตะลึงต่อภาพที่เห็นทันทีที่ประตูรั้วถูกเปิดออก เมื่อเ้านายของตนกำลังเดินเข้ามาพร้อมกับคู่หมั้นของตนที่ดิ้นขลุกขลักอยู่ในอ้อมแขน
“เฮียครับ...”
“ไปนอนเถอะ กูดูเอง”
โบกมือไล่แล้วเอ่ยพูดอย่างไม่ใส่ใจ เหล่าลูกน้องภายในอู่หันหน้ามองกันอยู่ครู่หนึ่งเมื่อได้ฟังคำสั่ง ก่อนจะยอมพยักหน้ารับแล้วแยกย้ายกันไปพักผ่อนตามคำสั่งโดยไม่คิดเถียง อาไฉดิ้นขลุกขลักอยู่ในอ้อมแขนแข็งแรง ก่อนจะส่งเสียงร้องออกมาเบา ๆ เมื่อถูกวางลงที่เตียงขนาดเล็กภายในอู่ไม่เบาแรงนัก ซึ่งเป็ที่ที่เขมนัษฐ์ใช้นอนพักยามทำงานอยู่บ่อยครั้ง
“ดื่มน้ำก่อน”
ขวดน้ำเปล่าถูกวางลงให้ตรงหน้า ก่อนชายหนุ่มจะเดินเข้าไปในบ้านเพื่อหยิบอะไรสักอย่าง อาไฉปรือตาขึ้นมองไปรอบ ๆ ทั้งสติที่ยังคงพร่าเบลอด้วยฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ ทว่าเมื่อได้กลิ่นน้ำมันเครื่องก็เริ่มตื่นเต็มตา ค่อย ๆ ลุกขึ้นยืนแล้วมองไปรอบ ๆ อย่างเก็บรายละเอียด ไม่ลืมที่จะหยิบขวดน้ำติดมือมาด้วย
ที่นี่ดูจะเป็อู่ซ่อมรถของคุณเขม มีพื้นที่กว้างขวางมากกว่าที่คิด เมื่อเริ่มรู้ตัวว่ากำลังยืนอยู่ที่ใดดวงตาก็พลันเป็ประกายด้วยความรู้สึกตื่นเต้น มองเห็นรถหลายคันที่ซ่อมค้างไว้ มีพื้นที่สำหรับพักผ่อน ทั้งยังมีแก้วและขวดเบียร์ที่วางเอาไว้ คล้ายกับว่าการล้อมวงดื่มสุราเป็เื่ที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งที่นี่
“อู่ซ่อมรถอะไรใหญ่ชะมัด---อ้ะ!!”
เดินถอยหลังมองความใหญ่โตของพื้นที่แห่งนี้ ก่อนจะชะงักไปเมื่อหลังชนเข้ากับแผงอกของใครบางคนกะทันหัน อาจจะเพราะใและหุนหันรีบหันกลับจนเกินไป น้ำที่ถืออยู่จึงชนเข้ากับอีกฝ่ายหกท่วมแผงอกจนเนื้อผ้าบริเวณนั้นแนบไปกับผิวเนื้อ อาไฉเบิกตาโพลง จากที่เริ่มสร่างเมาตอนนี้ก็ดูจะหายเมาเป็ปลิดทิ้ง
“ระ เราขอโทษ เดี๋ยวเราเช็ดให้นะ...ผ้า ผ้าจากไหนดี เอาเสื้อเราเช็ดไปก่อนนะ!”
ดูท่าทางคงจะลนลานพอตัว เมื่อหันซ้ายหันขวาหาผ้าไม่เจอก็เลิกชายเสื้อของตัวเองขึ้นเพื่อเช็ดบริเวณที่เปียกให้อีกฝ่ายทันที บรรยากาศระหว่างกันตกอยู่ในความเงียบ ในขณะที่อาไฉกำลังตั้งหน้าตั้งตาเช็ดอย่างตั้งใจ...กลับไม่รู้ตัวเลยว่ากำลังถูกสายตาของคนอายุมากกว่าทอดมองมาอยู่ตลอดเวลา
“เสร็จแล้ว...ดีขึ้นเยอะเลย” ว่าแล้วก็หรี่ตามองดูผลงานของตน ก่อนจะเผยรอยยิ้มกริ่มอย่างพออกพอใจ เขย่งเท้าเลิกชายเสื้อขึ้นเช็ดให้อีกครั้ง
“เหรอ”
“...”
น้ำเสียงทุ้มนุ่มในตอนนี้ชัดเจนกว่าทุกครั้ง เรียกสติให้กลับมาเพื่อตระหนักว่าพวกเขาในตอนนี้อยู่ใกล้มากเสียจนแทบไม่เหลือช่องว่างระหว่างกัน พลันบรรยากาศระหว่างกันตกอยู่ในความเงียบเมื่อเงยหน้าขึ้นไปเห็นดวงตาสีรัตติกาลที่ทอดมองกันอยู่ก่อนแล้ว เขาไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าคุณเขมกำลังคิดอะไรอยู่ ยังแอบเคืองที่ต้องลากเขาที่เมาแอ๋ออกมาจากคิงบาร์หรือเปล่านะ...อาไฉขบเม้มริมฝีปากเข้าหากันเล็กน้อยก่อนจะตัดสินใจพูดออกไป
“เราอยากจูบคุณเขม”
“...”
คราวนี้เป็เขมนัษฐ์ที่เงียบไป ทว่าหากอาไฉมองไม่ผิดเขาคิดว่าอีกฝ่ายกำลังหลุบสายตามองริมฝีปากของตนอยู่หรือเปล่านะ แต่ละวินาทีที่ผ่านพ้นไปช่างยาวนานและใช้เวลามากกว่าปกติเมื่อคุณเขมไม่ยอมเอ่ยพูดอะไรออกมาอีกสักที ก่อนเ้าของใบหน้าหล่อเหลาจะเป็ฝ่ายเสหน้าไปทางอื่นแล้วผละกายออก หันหลังให้แล้วเอ่ยพูดด้วยน้ำเสียงเนิบนาบ
“รอสูงให้เท่ากันก่อน เธอค่อยมาจูบพี่”
“...”
“เหลืออีกกี่สิบเซ็นต์แล้วละตอนนี้?”
ไม่วายหันมาเลิกคิ้วถามกันอย่างกวนประสาท ก่อนจะกลับไปสนใจรถคันตรงหน้าคล้ายกับจะใช้เวลาตรงนี้แอบทำงานนอกเวลาเสียหน่อย ปล่อยให้อาไฉยืนขบเขี้ยวเคี้ยวฟันอยู่อย่างนั้น หากบอกรอให้สูงเท่ากันก่อนชาตินี้ก็คงไม่ได้จูบกันพอดี ในเมื่อเขาสูงถึงอกคุณเขมเองด้วยซ้ำ ดวงตาสีสวยกลอกไปมาทั้งเรียวคิ้วที่ขมวดเข้าหากันเพื่อหาวิธีลัด ก่อนจะชะงักไปเมื่อคิดอะไรได้
ครืด...
เสียงเก้าอี้ที่ถูกลากเข้ามาดึงความสนใจจากเขมนัษฐ์ไปได้จนหมด ครั้นเมื่อหันหลังไปมองจึงเห็นร่างน้อย ๆ ของอาไฉที่กำลังลากเก้าอี้ตัวหนึ่งซึ่งมีความสูงประมาณ่สะโพกมาตั้งไว้ตรงหน้าตน ชายหนุ่มยังคงยืนนิ่งคอยดูว่าคู่หมั้นเ้าปัญหาของตนคิดจะทำอะไรต่อไป ก่อนที่อาไฉจะพาร่างตัวเองปีนขึ้นไปยืนบนเก้าอี้ กลายเป็ว่าคนอายุน้อยกว่ากำลังยืนค้ำหัวอยู่ในระดับที่สูงกว่า
“ตอนนี้เราสูงเท่าคุณเขมแล้ว...ไม่สิ สูงกว่าด้วย”
“...”
“ที่นี้เราก็จูบคุณเขมได้แล้วใช่ไหม”
เอ่ยพูดด้วยท่าทางดูก๋ากั่น ไม่ได้หวังว่าจะได้จูบด้วยวิธีลัดและขี้โกงแบบนี้ ทว่าทำไปก็เพื่อปั่นประสาทกันต่างหาก ร่างเล็กยืนเท้าสะเอวพลางยกริมฝีปากขึ้นอย่างย่ามใจเมื่อคิดว่าตนคงจะกวนประสาทอีกฝ่ายได้จนสำเร็จ ทว่าทุกอย่างกลับผิดคาด เมื่อเขมนัษฐ์กระตุกแย้มรอยยิ้มเ้าเล่ห์อย่างชอบใจ พลางก้าวเท้าเดินเข้ามาใกล้กระทั่งระยะห่างระหว่างกันเริ่มลดทอนลงไป
“เอาสิ”
“...”
“พี่ยืนรอให้เธอจูบอยู่”
“...”
คราวนี้อาไฉนิ่งไปคล้ายกับยังไม่เชื่อในสิ่งที่ตัวเองเพิ่งจะได้ยินไป ดวงตาเริ่มกลอกล่อกแล่กไปมาอย่างไม่ไว้ใจและเสียอาการ แต่ในเมื่อโอกาสมาถึงขนาดนี้แล้วมีหรือที่คนอย่างอาไฉจะไม่ยอมคว้ามันเอาไว้ เอ่ยพูดเสียงตะกุกตะกัก
“...คะ คุณเขมพูดแล้วนะ”
มือสั่นเทาถูกยกขึ้นประคองข้างใบหน้าหล่อเหลา พร้อมกับคนอายุน้อยกว่าที่โน้มใบหน้าลงเข้าไปใกล้ กระทั่งปลายจมูกเริ่มแตะัักันร่างเล็กก็หยุดชะงักไปทันที ในขณะที่เขมนัษฐ์กำลังทอดสายตามองใบหน้าของคู่หมั้นตัวแสบอย่างละเอียด อาไฉกลับเริ่มหลุบสายตาลงไม่กล้าสบตาด้วยแม้แต่วินาทีเดียว
เก่งมาตั้งนาน แต่พอเอาเข้าจริง ๆ ก็ยังไม่กล้าเลยสักนิด
“ไม่กล้าเหรอ”
“เราจูบแน่!”
เมื่อได้ยินคำถามทั้งน้ำเสียงหัวเราะเยาะที่ดังอยู่ในระยะใกล้ก็รีบเงยหน้าขึ้นไปเอ่ยเถียง สูดลมหายใจเข้าลึกสุดปอดแล้วประคองข้างใบหน้าของคู่หมั้นพลางโน้มใบหน้าเข้าไปใกล้อีกครั้งกระทั่งปลายจมูกโด่งเกลี่ยคลอเคลียกันไปมา...เขมนัษฐ์ไม่ได้ถอยหนี ซ้ำยังยืนนิ่งอยู่อย่างนั้นคล้ายกับกำลังเฝ้าดูว่าคนอย่างอาไฉจะกล้าทำอย่างที่ปากว่าหรือไม่ น้ำเสียงทุ้มนุ่มเอ่ยพูดแ่เบา
“ถ้าเธอเริ่มจูบเมื่อไหร่.... พี่จะจูบเธอกลับ”
“...”
“บางที อาจจะไม่ใช่แค่เธอที่อยากจูบอยู่คนเดียวก็ได้”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้