จ้าวเยี่ยนชำเลืองมองนางอย่างเฉยเมย ดวงตาฉายแววเย้ยหยัน คนฉลาดเฉลียวเช่นเขา แค่มองก็ย่อมเข้าใจแล้ว ในสายตาของเหนียนอีหลาน สำหรับนางแล้วนั้น จ้าวอี้เป็เพียงฐานะทางสังคมอย่างหนึ่งเท่านั้น ฐานะที่จะได้สืบต่อบัลลังก์มากที่สุด!
ทว่าหญิงสาวผู้นี้...
ในใจของจ้าวเยี่ยนรู้สึกดูถูก เขาไม่สนใจเหนียนอีหลาน สะบัดแขนเสื้อเดินออกไปจากห้อง
เหลือเหนียนอีหลานเพียงคนเดียวภายในห้อง นางจ้องมองแผ่นหลังของจ้าวเยี่ยน เหนียนอีหลานรู้สึกงุนงงเล็กน้อย ในใจรู้สึกตื่นตระหนกอย่างบอกไม่ถูก นางคาดเดาเจตนาของหลีอ๋องจ้าวเยี่ยนไม่ออก
เป็เพราะคาดเดาไม่ออก เหนียนอีหลานจึงไม่กล้ารีรอ รีบเก็บงำอารมณ์เมื่อครู่นี้อย่างดี และตามหลังจ้าวเยี่ยนออกไปอย่างเร่งรีบ
ทั้งสองเดินเลียบตามทางที่เดินมา ตรงไปยังทิศทางของตำหนักชีอู๋ ก้าวเดินอย่างรีบเร่ง
เหล่านางกำนัลสองสามคนด้านหน้าได้ยินเสียงเคลื่อนไหวด้านหลัง จึงรีบหลบไปยืนด้านข้างเพื่อหลีกทางให้ทั้งสองเดินผ่านไป สายลมเบาบางพัดพากลิ่นหอมละมุนอ่อนๆ ของดอกกล้วยไม้ กลิ่นหอมหวานน่ารื่นรมย์ ท่ามกลางกลุ่มนางกำนัล เงาร่างที่ไม่สะดุดสายตา เงยหน้ามองตามบุคคลในชุดสีขาวตามสัญชาตญาณ เป็จ้าวเยี่ยนอย่างที่คิด
และนางกำนัลน้อยผู้นั้นคือ เหนียนยวี่ผู้ซึ่งปลอมตัวมาอย่างตั้งใจ!
เมื่อครู่นี้นางออกมาจากสวนร้อยสัตว์ นางลอบมองหาจ้าวเยี่ยนตลอดเวลา ทว่านางนึกไม่ถึงเลยว่า ในยามนี้เมื่อเห็นเขา ก็มีหญิงสาวผู้หนึ่งคอยติดตามอยู่ด้านหลังเขาด้วย
หญิงสาวผู้นั้น...นางคุ้นเคยเป็อย่างดี
เหนียนอีหลาน พี่สาวแสนดีผู้ที่คิดอยากจะฆ่านางถึงสองสามครา!
เหนียนยวี่เองก็นึกไม่ถึงเช่นกันว่าสองคนนี้จะอยู่ด้วยกัน แม้ตระกูลหนานกงจะร่วมมือกับฉางไทเฮา เพื่อช่วยเหนียนอีหลานออกมา แต่เหนียนอีหลานคงไม่ถึงขนาดลอบหนีออกมาจากสวนร้อยสัตว์ ทว่าสถานการณ์ในยามนี้หมายความว่าอย่างไร?
คนฉลาดเช่นนาง ไม่นานพลันเข้าใจแจ่มแจ้ง
ดูเหมือนว่า การร่วมมือกันของคนทั้งสองตระกูลจะไม่บริสุทธิ์ใจเยี่ยงนั้นเสียแล้ว จ้าวเยี่ยนกับเหนียนอีหลานอยู่ด้วยกัน พวกเขาจะวางแผนอะไรกันตามลำพังอีกหรือไม่?
ในใจของเหนียนยวี่อยากรู้อยากเห็น นางรู้สึกสนใจเื่ของสองคนนี้ และเื่ของสองตระกูลนี้มากขึ้นกว่าเดิม
ภายในตำหนักชีอู๋ ทุกคนมาถึงโถงหลักของพระตำหนักแล้ว
ฮูหยินผู้เฒ่าหนานกงยังคงอ่อนแรง นางได้รับการจัดแจงให้นั่งลงบนตั่ง จากนั้นหมอหลวงจึงเข้ามาวัดชีพจรให้นาง
ฮ่องเต้หยวนเต๋อ ฮองเฮาอวี่เหวิน ฉางไทเฮา และองค์หญิงใหญ่ชิงเหอ ทั้งสี่พระองค์กำลังประทับบนพระที่นั่ง คนอื่นๆ ล้วนยืนอยู่รอบข้าง ไม่มีผู้ใดกล้าเอ่ยปาก ในใจของแต่ละคนต่างคิดคาดเดาถึงสถานการณ์ในยามนี้
“ฮองเฮาเพคะ อีหลานเล่าเพคะ?”
ในที่สุด หลังจากเงียบไปนาน ฮูหยินผู้เฒ่าหนานกงเอ่ยออกมารวดเดียวราวกับทนรอไม่ไหว
ครั้นถามคำถามนี้ บรรยากาศจึงยิ่งเริ่มตึงเครียด ทว่าสิ่งนี้อยู่ในความคาดหมายของฮองเฮาอวี่เหวิน
ฮองเฮาอวี่เหวินเข้าใจถึงความผิดปกติในการ ‘หายตัวไปอย่างไร้สาเหตุ’ ของเหนียนอีหลานแล้ว สีพระพักตร์ของฮองเฮาสงบนิ่ง สุรเสียงแจ่มชัดดังขึ้นในห้องโถง “เจินกูกู ไปเชิญคุณหนูอีหลานเข้ามา”
“เพคะ” เจินกูกูย่อกายถวายความเคารพรับพระเสาวนีย์ จากนั้นจึงค่อยๆ เดินออกไป
ฮูหยินผู้เฒ่าหนานกงจ้องมองการกระทำที่เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นของสองนายบ่าว ในใจรู้สึกเย้ยหยัน
ไปเชิญอีหลานงั้นหรือ?
ยืนหยัดอยู่เช่นนี้ก็ทำได้แค่ยืดเวลาออกไปเท่านั้น ข้าอยากจะเห็นเสียจริงว่า ฮองเฮาอวี่เหวินจะเชิญอีหลานที่ยังปลอดภัยไม่บุบสลายมาได้อย่างไร!
ภายในโถงพระตำหนักเต็มไปด้วยความสงบเงียบอีกครา ทุกวินาทีเคลื่อนคล้อยผ่านไป ท่ามกลางบรรยากาศเงียบงัน ดูเหมือนจะได้ยินแม้กระทั่งเสียงฝังเข็ม
ภายนอกโถงพระตำหนัก เหล่านางกำนัลจำนวนหนึ่งเข้ามาในตำหนักชีอู๋พร้อมกับยกน้ำชาและของว่าง ก้าวเดินเข้ามาในพระตำหนักอย่างระมัดระวัง นางกำนัลคนอื่นๆ เดินออกไป ทว่านางกำนัลน้อยผู้นั้นกลับฉวยจังหวะที่ความสนใจของทุกคนอยู่กับฮองเฮาอวี่เหวินและฮูหยินผู้เฒ่าหนานกง หยุดยืนตรงจุดที่ไม่สะดุดสายตาอย่างเงียบเชียบ ดวงตาหันมองจ้าวเยี่ยนในชุดขาว เขาเข้ามาก่อนพวกนาง ทว่าเหนียนอีหลาน...
เมื่อครู่นี้นอกตำหนักชีอู๋ จ้าวเยี่ยนกับเหนียนอีหลานแยกระยะห่างกันอย่างจงใจ
การกระทำนั้นอยู่ในสายตาของเหนียนยวี่ นางก็ยิ่งได้กลิ่นความผิดปกติลอยโชยออกมา
ยามที่กำลังครุ่นคิด ในตำหนักพลันมีเสียงของคนผู้หนึ่งดังขึ้น “เจินกูกูออกไปนานแล้ว เหตุใดยังไม่กลับมาอีก? ฮองเฮา ท่านคงจะส่งตัวอีหลานออกมาไม่ได้ใช่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”
เสียงของบุรุษเต็มเปี่ยมไปด้วยพลัง คนผู้นั้นคือ หนานกงเลี่ย
น้ำเสียงนั้นค่อนข้างก้าวร้าว ทั้งยังไม่ปิดบังความหงุดหงิดของตนเองเลยแม้แต่น้อย
ทันใดนั้น ผู้คนมากมายในเหตุการณ์อดไม่ได้ที่จะรู้สึกตึงเครียด นี่เป็พฤติกรรมการพูดจาของขุนนางต่อฮองเฮาหรือ?
ทุกคนหันไปมองฮองเฮาอวี่เหวิน พวกเขาเห็นเพียงพระพักตร์ที่ยังคงผุดรอยแย้มพระสรวลราบเรียบ ทว่าดวงพระเนตรกลับคมปลาบดั่งใบมีด
“หึ วันนี้ช่างแปลกประหลาดนัก พวกเ้าสกุลหนานกงดูเหมือนจะวางแผนกันมาอย่างดี มั่นใจถึงเพียงนี้ว่าเปิ่นกงจะไม่ส่งเหนียนอีหลานออกมาหรือ?” ฮองเฮาอวี่เหวินตรัสอย่างเ็า เสียงที่เอ่ยออกมา ยิ่งฉายชัดถึงพลังอันน่าเกรงขาม ทำให้จิตใจของผู้คนรู้สึกกดดันขึ้นมาอย่างมิอาจบรรยาย
สีหน้าของหนานกงเลี่ยและฮูหยินผู้เฒ่าหนานกงต่างแปรเปลี่ยนเล็กน้อย ดูเหมือนการบีบคั้นนางทีละนิดๆ เมื่อครู่นี้จะยั่วโทสะของฮองเฮาอวี่เหวินเข้าแล้วจริงๆ
“ฮองเฮาเพคะ โปรดทรงอภัยด้วยเพคะ หนานกงเลี่ยเป็ห่วงอีหลาน เขาจึงค่อนข้างร้อนใจ ทำให้พูดจาอย่างไร้สติ” ฮูหยินผู้เฒ่าหนานกงฝืนลุกยืนขึ้น กล่าวประนีประนอมอย่างอ่อนแรง
"ไร้สติ? สิ่งต้องห้ามที่สุดเมื่ออยู่ในวังหลวงแห่งนี้คือการไร้สติ ตระกูลหนานกงเป็ตระกูลยิ่งใหญ่ในแคว้นเป่ยฉีมาโดยตลอด กฎธรรมเนียมของขุนนาง ตระกูลหนานกงมิได้สืบทอดต่อกันรุ่นสู่รุ่นหรือไร?” องค์หญิงใหญ่ชิงเหอตรัสอย่างเ็า สิ่งที่คนตระกูลหนานกงแสดงออกมาในวันนี้ พวกเขาคิดจริงหรือว่าราชวงศ์จะรังแกได้ง่ายดายปานนั้น?
สีหน้าของหนานกงเลี่ยไม่น่ามอง ทว่าองค์หญิงใหญ่ชิงเหอทรงรู้สึกไม่พอพระทัยแล้ว เขาย่อมไม่กล้าแข็งข้อต่อไป เขาคุกเข่าลงบนพื้นโค้งคำนับองค์หญิงใหญ่ชิงเหอกับฮองเฮาอวี่เหวิน “กระหม่อม...ใจร้อน เอ่ยวาจาตามใจไร้สติ สมควรตายอย่างแท้จริงพ่ะย่ะค่ะ!”
แม้หนานกงเลี่ยจะกล่าวเช่นนี้ ทว่าภายในใจกลับคั่งค้างไปด้วยโทสะและความไม่พอใจ เมื่อครุ่นคิดถึงคำสั่งของมารดา จึงทำได้เพียงเฝ้ารอ เมื่อเห็นว่าฮองเฮาอวี่เหวินยังไม่ส่งตัวเหนียนอีหลานออกมา จึงค่อยกล่าวโจมตีอีกครั้ง เขาอยากจะดูนักว่าฮองเฮาอวี่เหวินจะยืดเวลาออกไปได้อีกนานสักเท่าใด!
ในใจของสองแม่ลูกตระกูลหนานกงกำลังไตร่ตรอง ภายในพระตำหนัก สีหน้าของทุกคนดูผิดปกติเล็กน้อย ทั้งบรรยากาศเองก็ตึงเครียดตลอดเวลา ราวกับจะะเิออกได้ทุกเมื่อ
และในยามนี้ ด้านนอกตำหนักชีอู๋ เจินกูกูรับคำสั่งจากฮองเฮาอวี่เหวิน ทว่านางกลับไม่มีเบาะแสแม้แต่น้อย
ให้ไปเชิญเหนียนอีหลานหรือ? เหนียนอีหลานเดิมทีควรจะอยู่ในสวนร้อยสัตว์ ทว่ากลับไม่มีผู้ใดอยู่ที่นั่น
นางอยู่ในวังมาหลายปี ยามนี้ในใจของนางเข้าใจถึงสถานการณ์ของฮองเฮาอวี่เหวินอย่างดี หากไม่ส่งตัวเหนียนอีหลานออกไป ตระกูลหนานกงจะต้องสร้างเื่ครั้งใหญ่แน่
ทว่าในยามนี้ นางควรจะไปเชิญคนเช่นนั้นจากที่ใด?
"กูกู..."
เสียงที่ดูขี้กลัวเสียงหนึ่งดังขึ้น จิตใจของเจินกูกูเต็มไปด้วยความวิตกกังวล จึงไม่ทันสังเกต
“เจินกูกู...” เสียงนั้นดังขึ้นอีกครั้ง เจินกูกูขมวดคิ้วเล็กน้อย กำลังจะเอ่ยตำหนิ ทว่ายามที่เงยหน้าขึ้น และเห็นคนที่ยืนอยู่ตรงหน้า ร่างกายพลันชะงักงันไปชั่วขณะ
"อีหลานคารวะเจินกูกู อีหลาน..." เหนียนอีหลานยกมือคารวะอย่างนอบน้อม ใบหน้าของนางยามนี้เปี่ยมไปด้วยความหวาดกลัวและไม่สบายใจ
ในวังหลวงแห่งนี้ประกอบกับเื่ราวที่เกิดขึ้นเมื่อคืนที่ผ่านมา ในใจของนางพบเจออะไรมากเกินไป นางหวาดหวั่นราวกับลูกนกที่หวาดกลัว
"เหนียนอีหลาน!" เจินกูกูกลับมาได้สติ รีบก้าวไปคว้าข้อมือของเหนียนอีหลานทันที “เ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร?”
น้ำเสียงนั้นเต็มไปด้วยความสงสัย ดวงตาของเหนียนอีหลานเป็ประกายสั่นระริก คุกเข่าลงบนพื้นสีหน้าตื่นตระหนก ตามแผนที่วางไว้ล่วงหน้า “เจินกูกูโปรดอภัย เมื่อครู่นี้อีหลานเห็นว่าประตูสวนร้อยสัตว์เปิดออก คนมากมายเช่นนั้น อีหลานรู้สึกหวาดกลัว ดังนั้น...จึงลอบหนีออกมา เจินกูกูโปรดอภัยด้วย อีหลานเพียงเลอะเลือนชั่ววูบ ไม่กล้าหนีออกไปอีกแล้ว ข้า...ข้าจะกลับเข้าไปในกระโจม”