เมื่อครู่ทุกคนต่างจมอยู่ในความตื่นตาตื่นใจ ความตื่นเต้นหวาดเสียวของการต่อสู้ มู่หรงฉางกลับจมอยู่ในความเ็ป
บุรุษที่ห่างจากนางไม่ไกลคนนั้น เป็คนที่นางชื่นชอบมาทั้งชีวิต เป็ความงดงามของทั้งชาติ แต่นางกลับไม่อาจได้มา แม้ว่านางจะวางแผนพันหมื่นวิธีการ อ้อนวอนขอร้องก็แล้ว กลับไม่ได้ตัวและหัวใจของเขา กระทั่งจะอยู่ข้างเขาอย่างเงียบๆ ก็ไม่ได้
นี่คือสิ่งที่เรียกว่าบุรุษใจแข็งดั่งเหล็ก นับว่านางได้รับการสั่งสอนแล้ว
แต่แม้ว่าจะเป็เช่นนี้ นางก็ยังคงรู้สึกได้ถึงความดึงดูด ดึงให้มองไปทางใบหน้าหล่อเหลาสง่างามของเขา จนจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว มีทั้งความเสียใจและความดีใจปนกันไป
ตอนที่ชายหนุ่มที่เข้าร่วมการแข่งขันกระอักเืออกมา นางถึงเพิ่งจะได้สติ เกิดอะไรขึ้น?
ลานหน้าตำหนักเหวินฮวาเกิดเป็ความใโกลาหล เหล่าบุตรีและฮูหยินทั้งหลายต่างพากันพูดคุยกันจอแจ คนขี้ขลาดหน่อยก็สีหน้าขาวซีด ใเดินถอยหลังไป
หวังเจิงกระอักเืลงไปนอนอยู่บนพรมแดง ไม่มีใครกล้าเข้าไปดูใกล้ๆ ฮูหยินหวัง คุณหนูใหญ่หวัง และคนของสกุลหวังต่างรีบวิ่งเข้ามาดูแล้วร้องออกมาด้วยความใ
เหอกวงมีอำนาจในการจัดการแข่งขันนี้ทั้งหมด เื่น้อยใหญ่ทั้งหลายย่อมมีเขาเป็ผู้จัดการ ในตอนนี้เขาจึงรับหน้าที่เดินเข้าไปตรวจสอบสถานการณ์ เพื่อที่จะสามารถรายงานอวี้หวางและองค์รัชทายาทได้ ทว่า มู่หรงฉือมุ่งตรงไปอย่างรวดเร็ว แล้วรีบตรวจดูว่าหวังเจิงยังมีลมหายใจหรือไม่
“ฮูหยินหวัง ขอเชิญท่านไปด้านข้างก่อนเถิด เปิ่นกงจะดูหวังเจิงสักหน่อย” นางพูดเสียงเย็นก่อนจะหันไปมองเหอกวง “ไปเรียกหมอหลวงมา”
“พ่ะย่ะค่ะ เตี้ยนเซี่ย” เหอกวงแทบจะกระอักเืแล้ว รีบออกคำสั่งลูกน้องในกรมพิธีการทันที
เมื่อวานเกิดเื่คนตายไปหนึ่ง วันนี้ก็เกิดเื่อีก เขาที่เป็เ้ากรมพิธีการดูเหมือนว่าจะเดินมาสุดทางแล้ว อยู่ยากแล้ว
เหตุใดถึงได้เกิดเื่ติดต่อกันหลายครั้งหลายคราเช่นนี้? ปีนี้เป็ปีชงของเขาหรืออย่างไร?
ฮูหยินหวังเห็นลูกชายไม่รู้จักระวังอันตราย ทั้งยังเสียชีวิตก็ใจนทำมือทำไม้ไม่ถูกถึงกับล้มพับไป คุณหนูใหญ่สกุลหวังกลับใจเย็นอยู่บ้าง นางพยุงมารดา ก่อนจะมองไปทางพี่ชายด้วยความกังวลและร้อนใจ
มู่หรงฉือใช้นิ้วอังจมูกของหวังเจิง ก่อนที่หัวใจเย็นจะเยียบ คิ้วของนางขมวดเข้าหากันแน่น
เขาตายแล้ว!
ส่วนด้านในโถงตำหนัก มู่หรงอวี้ให้ความสนใจกับความเป็ไปของสถานการณ์ ดวงตาอันเฉียบแหลมลึกล้ำกวาดมองใบหน้าของเหล่าบุรุษหนุ่ม โดยเฉพาะกงจวิ้นหาวกับถังฉางเทียน
มู่หรงฉางไม่สนว่าใครจะตาย ไม่สนใจว่าผู้ใดจะสังหารผู้ใด ในใจ ในสายตาของนางมีแต่เขา
นางกดหัวใจที่เต้นอย่างรุนแรงเอาไว้อย่างทนไม่ไหว แล้วเดินไปข้างกายเขาพูดเสียงเบา “ท่านอ๋อง”
เขาไม่ได้ตอบกลับ ยังคงมองไปด้านหน้า เหมือนไม่ได้ยินเสียงของนาง
นางคิดว่าเสียงของตนเบาเกินไปจึงพูดเสียงดังขึ้นมาอีกนิด น้ำเสียงออดอ้อนขึ้นอีก “ท่านอ๋อง”
ตอนนี้ทุกคนกำลังสนใจกับความเป็ตายของหวังเจิง กระทั่งเหล่าสตรีที่สนใจอวี้หวางเองก็ลืมคนในใจของตนไปชั่วคราว ไม่ได้สนใจว่าในตำหนักเกิดเื่อะไรขึ้น
มู่หรงฉางเห็นเขายังคงเหมือนไม่ได้ยินก็กัดริมฝีปากอย่างหงุดหงิด หากเสียงดังอีกนิดก็จะถูกคนได้ยินแล้ว
ตอนที่กำลังคิดอยู่ จู่ๆ มู่หรงอวี้ก็ลุกขึ้นก่อนจะเดินลงบันไดไป
ความจริงแล้ว ไม่ใช่เขาไม่ได้ยิน แต่ไม่อยากจะสนใจต่างหาก
เขายืนอยู่ที่บันไดขั้นสุดท้ายพลางพูดเสียงดัง “ทุกคนแยกย้ายได้”
ถึงแม้ในใจของนางจะโกรธเคืองอยู่เล็กน้อย แต่เพียงไม่นานก็กลับมาเป็ปกติ : เอาเถิด ตอนนี้เกิดเื่ขึ้น เขามีหน้าที่ต้องควบคุมสถานการณ์
ความสนใจของทุกคนกลับไปหยุดที่เขาอีกครั้ง โดยเฉพาะเหล่าสตรีพวกนั้นที่ยืดอกแสดงท่าทางงดงาม หวังว่าจะเข้าตาของเขาบ้าง
คนที่มุงดูอยู่รอบๆ ถอยหลังไปหลายก้าวเพื่อเปิดทาง
เสิ่นจือเหยียนไม่อยู่ มู่หรงฉือลังเลว่าจะต้องชันสูตรพลิกศพหวังเจิงก่อนหรือไม่ ตอนนี้เอง นางก็ได้ยินเสียงของมู่หรงอวี้ “เสิ่นเซ่าชิงเ้ามาได้จังหวะพอดี รีบมาตรวจสอบหวังเจิงเถิด”
นางเงยหน้ามองไป เห็นเสิ่นจือเหยียนเดินสาวเท้าไวๆ เข้ามา โค้งคำนับก่อนจะคุกเข่าลงไปตรวจสอบศพ
ฮูหยินหวังมือบีบผ้าเช็ดหน้าปิดปากร้องไห้ พิงตัวอยู่กับลูกสาว เ็ปใจเหลือขนาด
“เหตุใดถึงเกิดเื่เช่นนี้ขึ้นได้? คุณชายใหญ่สกุลหวังทั้งๆ ที่ชนะแล้วแท้ๆ เฮ้อ ฟ้าอิจฉาคนมีความสามารถจริงๆ”
“คนหัวขาวต้องมาส่งคนหัวดำ ไอหยา ช่างเป็เื่อันน่าสลดในใต้หล้าจริงๆ”
“เมื่อวานก็เป็ฟ่านเสี้ยวเหวิน วันนี้ก็เป็หวังเจิง นี่เป็ผู้ใดทำผิดต่อเทพเซียนหรือไม่? ช่างเป็ปีอัปมงคลยิ่ง”
“ฟ่านเสี้ยวเหวินฉลาดเฉลียวเป็อันดับหนึ่งของเมืองหลวง หวังเจิงเป็ผู้เก่งกาจการต่อสู้เป็ลำดับต้นๆ ในคนรุ่นเดียวกัน พอสองคนนี้ตายไป ก็...” ประโยคนั้นหยุดเอาไว้ไม่กล้าพูดต่อ
“นี่เป็เื่บังเอิญหรือ? การทดสอบคัดเลือกราชบุตรเขยในครั้งนี้ไม่เป็มงคลจริงๆ”
คนพูดประโยคนี้รู้สึกว่าแขนเสื้อถูกกระตุก จึงเข้าใจทันทีว่าได้พูดคำที่ไม่ควรพูดออกมาเสียแล้ว เมื่อพูดสิ่งที่ไม่ควรพูดออกมาจะต้องรู้จักระวังเอาไว้เป็ยอดดี
ต่อมาทุกคนก็มองไปยังเสิ่นจือเหยียนที่ชันสูตรศพอยู่ เขาตรวจสอบไปก็พูดไป “ผู้ตายคือหวังเจิง อายุยี่สิบสองปี ร่างกายยังอุ่นอยู่ เพราะเพิ่งจะหมดลมหายใจไป บนตัวไม่มีาแที่ชัดเจน มีแต่รอยบาดยาวสองรอยที่แขนซ้าย”
มู่หรงฉือก็พบความผิดปกติของาแจากกระบี่ที่แขนซ้าย ปากแผลในตอนนี้กลายเป็สีม่วง เืที่แข็งตัวแล้วก็เป็สีม่วงเช่นกัน ครั้นมองไปที่ใบหน้าของเขา สีผิวก็เริ่มดำคล้ำ ดวงตาทั้งสองข้างปูดนูนออกมาเล็กน้อย หูจมูกตามีน้ำสีม่วงคล้ำไหลออกมา ริมฝีปากดำ นิ้วทั้งสิบในเวลาอันสั้นก็เปลี่ยนเป็สีม่วง
ชัดเจนว่าเป็รูปการณ์ของการถูกพิษ
เสิ่นจือเหยียนมองไปทางนาง พูดเสียงเบา “เตี้ยนเซี่ย หวังเจิงตายเพราะพิษ”
พวกเขารู้จักกันมาหลายปีจนมีจิตใจเชื่อมต่อกัน : หวังเจิงถูกพิษได้อย่างไร แค่มองตากันก็ต่างคิดพร้อมกัน
กำลังภายในของมู่หรงอวี้แข็งแกร่ง การได้ยินย่อมดีกว่าคนปกติมาก การพูดคุยของพวกเขา เขาได้ยินแล้วและคาดเดาได้หลายส่วน
“หวังเจิงเสียชีวิตไปเสียเฉยๆ เป็เื่ที่น่าสงสัยยิ่งนัก เสิ่นเซ่าชิงแห่งศาลต้าหลี่กำลังตรวจสอบเื่นี้ ขอเชิญทุกท่านไปพักที่ตำหนักด้านข้างเป็การชั่วคราวก่อน และอดทนรอสักครู่”
เสียงเย็นของเขาดังกระจายออกไป ราวกับอากาศหนาวใน่ฤดูใบไม้ร่วง
มีคนถามออกมาอย่างไม่กลัวตาย “เช่นนั้นจะได้ออกจากวังได้เมื่อไหร่หรือขอรับ?”
“เมื่อตรวจสอบได้ผลชัดเจนแล้วก็สามารถออกจากวังได้”
มู่หรงอวี้กวาดสายตาเย็นเยียบมองไปยังคนถาม สายตาแหลมคมดั่งลูกธนูวิ่งไปตามลม ความเป็ตายห่างเพียงแค่เส้นกั้น น่าหวาดกลัวเป็อย่างยิ่ง
คนผู้นั้นหดคอ รู้สึกแผ่นหลังเย็นวาบ ก้มหน้าไม่เอ่ยถามสิ่งใดอีก
คนที่แอบพูดคุยกันแม้ไม่อยากจะอยู่ต่อแต่ก็ไม่กล้าเอ่ยปาก ได้แต่ทำตามคำสั่งแต่โดยดี
อวี้หวางลงมือว่องไวเฉียบขาด หากไปแหย่ถูกจุดโมโหขึ้นมา เช่นนั้นหายนะก็คือพวกเขาแล้ว
เขาสั่งเหอกวงให้พาทุกคนไปพักผ่อนที่ตำหนักด้านข้าง ยกชามาปลอบใจทุกคน
มู่หรงฉางมองเขาด้วยสายตานับถือและหลงใหล บุรุษที่นางชื่นชมก็คือคนที่ทรงอำนาจองอาจ!
กงจวิ้นหาวกับถังฉางเทียนที่เกี่ยวข้องกับการตายของหวังเจิงมากที่สุด กับชายหนุ่มคนอื่นจะต้องอยู่รอสอบปากคำ
ปากแผลที่แขนซ้ายของหวังเจิงเป็กงจวิ้นหาวสร้างขึ้น มู่หรงฉือสั่งให้กงจวิ้นหาวส่งกระบี่ยาวที่เขาใช้เล่มนั้นมา
เขามาจากสกุลกงซึ่งเป็หนึ่งในตระกูลใหญ่ ทั้งยังเป็บุตรชายคนโต ความกล้าหาญในการต่อสู้นั้นย่อมไม่ธรรมดา แต่ตอนนี้เป็เพราะกระบี่เดียวของเขากลับทำให้คนถึงตาย จึงยากที่จะหลีกเลี่ยงอาการใทำอะไรไม่ถูก จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
เสิ่นจือเหยียนกับมู่หรงอวี้ร่วมกันตรวจสอบกระบี่ หลังจากการแข่งขันจบลง กงจวิ้นหาวก็ถือกระบี่อยู่ตลอด ไม่ทันได้วาง
กระบี่ยาวย้อมไปด้วยเืสดๆ โดดเด่นสะดุดตา
“กระบี่เล่มนี้ไม่มีอะไรผิดปกติใช่หรือไม่?” มู่หรงอวี้ถาม
“ลองไปจับแมวสักตัวหนึ่งมาทดสอบดู” สีหน้าของเสิ่นจือเหยียนสงสัยอย่างหนัก “เตี้ยนเซี่ย ท่านอ๋อง กระหม่อมคิดว่ากระบี่ยาวถูกคนทาพิษไว้”
มู่หรงฉือสั่งให้คนไปเอาแมวมา ไม่นานนัก ลูกแมวดำตัวหนึ่งก็ถูกจับมา
เขาใช้กระบี่ยาวฟันไปที่แมวดำหนึ่งที เพียงครู่เดียว แมวดำก็ตาย ก่อนจะมีเืสีม่วงคล้ำไหลออกมา
กงจวิ้นหาวใถอยหลังไปหลายก้าว ดวงหน้าขาวซีด ตาทั้งสองข้างเผยความตื่นตระหนกใ หน้าผากปกคลุมไปด้วยหยาดเหงื่อบางๆ : เหตุใดถึงเป็เช่นนี้?
แล้วก็ได้การสรุปออกมาเช่นนี้ : กระบี่เล่มนี้มีพิษ
มู่หรงฉือคาดเดาได้นานแล้วว่ากระบี่เล่มนี้มีพิษ “พิษนี้รุนแรงมาก หลังจากหวังเจิงได้รับาเ็พิษก็ออกฤทธิ์จนถึงตาย”
“กระบี่เล่มนี้ดูแล้วปกติมาก คงจะไม่ใช่กระบี่ของกงจวิ้นหาว” เสิ่นจือเหยียนมองไปทางกงจวิ้นหาว “แต่ว่ากงจวิ้นหาวตอนที่แข่งอยู่ก็ใช้กระบี่เล่มนี้...”
“หรือว่าเขาทำอะไรกับกระบี่?” หนึ่งในบรรดาชายหนุ่มมีคนคาดเดาออกมา
“คิดไม่ถึงว่าเขาจะเป็คนเช่นนี้”
“ดูไม่ออกเลย เขาเป็ถึงบุตรชายคนโตของจวนอัครเสนาบดีอย่างสกุลกงเชียวนะ”
ชายหนุ่มเ่าั้ต่างพากันพูดคุยไปมา คาดเดากันไปอย่างร้ายกาจ ทั้งยังแสดงความสมน้ำหน้าอย่างอดไม่ได้ เื่นี้ไม่มีอะไรมากไปกว่าการเอาชื่อคนร้ายไปป้ายใส่ที่ตัวของกงจวิ้นหาว เมื่อเป็เช่นนี้พวกเขาก็มีคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งน้อยลงไปอีกหนึ่งคน
คนพูดกันไปเช่นนี้ สีหน้าของกงจวิ้นหาวพลันซีดเผือดราวกระดาษ
มู่หรงฉือหัวเราะเสียงเย็น บุตรชายคนโตของอัครเสนาบดีมีความกล้าเพียงแค่นี้หรือ? คนที่อยู่รอบข้างพากันพูดโจมตีแต่เขากลับไม่ตอบโต้ ช่างไร้อนาคตจริงๆ
นางโพล่งถามออกไป “กงจวิ้นหาว เ้าเอากระบี่เล่มนี้ไปทาพิษมาใช่หรือไม่?”
เขาโบกมือเป็พัลวัน พูดติดอ่าง “ไม่มี...กระหม่อมไม่ได้ทำอะไรเลยพ่ะย่ะค่ะ...”
“ไม่ใช่แล้วยังจะเป็ผู้ใดได้อีก?” เสิ่นจือเหยียนสอบปากคำต่อ “ฝีมือการต่อสู้ของหวังเจิงแข็งแกร่งมาก ขอเพียงเขาตายไป เ้าก็จะลดคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งที่สุดลงไปได้อีกหนึ่งคนใช่หรือไม่?”
“ไม่ใช่...กระหม่อมไม่ได้ฆ่าคนจริงๆ...กระหม่อมไม่รู้ว่ากระบี่เล่มนี้มีพิษ...”กงจวิ้นหาวหวาดกลัวจนแทบจะร้องไห้ “องค์รัชทายาทผู้ปราดเปรื่อง กระหม่อมไม่ได้มีใจที่จะสังหารใครจริงๆ พ่ะย่ะค่ะ...”
“กระบี่ที่พวกเขาใช้แข่งใครเป็คนจัดเตรียม?” มู่หรงอวี้ถามพลางหรี่ตาลงน้อยๆ
“เพื่อความยุติธรรม กระบี่ที่ใช้ในการแข่งขันล้วนเป็ของที่กรมพิธีการจัดเตรียมไว้ กระบี่ทั้งหมดเหมือนกัน” มู่หรงฉือมองไปทางเหอกวง “ไปเอาตัวคนที่เตรียมกระบี่มา รวมถึงคนที่เคยัักระบี่ทุกคนมาที่นี่”
“พ่ะย่ะค่ะ เตี้ยนเซี่ย” เหอกวงใจนิญญาแทบจะบินออกจากร่าง เหงื่อร้อนเย็นผสมปนเปกันไปหมดจนเสื้อเปียกชื้นอีกครั้ง
สามสิบห้าคนที่เข้าร่วมต่างรอการสอบปากคำ จู่ๆ หรงชิงถิงก็พูดขึ้นว่า “เตี้ยนเซี่ย ก่อนการแข่งจะเริ่มขึ้น กระหม่อมเห็นกงจวิ้นหาวสุ่มหยิบกระบี่ออกมาหนึ่งเล่ม คิดไม่ถึงว่าจะถูกคนลงมือทำอะไรกับกระบี่พ่ะย่ะค่ะ”
ถังฉางเทียนเองก็พูดขึ้นว่า “กระหม่อมเองก็เห็นกงจวิ้นหาวแค่หยิบกระบี่ขึ้นมาเท่านั้น”
คนอื่นๆ ก็พูดเสริมขึ้นมา บอกว่าเป็กระบี่ที่หยิบขึ้นมาแบบสุ่มๆ เท่านั้น เพราะว่าทุกเล่มก็เหมือนๆ กัน
กระบี่สามสิบกว่าเล่มมีเ้าหน้าที่สองคนในกรมพิธีการเป็ผู้จัดเตรียม พวกเขาถูกพาเข้ามาพบอวี้หวางกับองค์รัชทายาท ต่างพากันก้มหน้าก้มตา ในใจหวาดกลัวจนมือไม้สั่นเทาทำอะไรไม่ถูก
“พวกเ้าทำอะไรไปบ้าง ทำอะไรกับกระบี่ รายงานมาตามความจริง!” เหอกวงตวาดเสียงดุ
“ข้าน้อยแค่ขนย้ายกระบี่จากกรมพิธีการมายังด้านในตำหนักเหวินฮวาขอรับ” เ้าหน้าที่คนหนึ่งตอบกลับอย่างกล้าๆ กลัวๆ
“ข้าน้อยสองคนไม่กล้าทำงานหย่อนหยาน ทำตามคำสั่งของใต้เท้า ไม่ได้ทำอะไรเลยจริงๆ ขอรับ” เ้าหน้าที่อีกคนขาสั่นพั่บๆ
“พวกเ้าขนย้ายกระบี่เข้ามาด้านในตำหนักเหวินฮวา หลังจากนั้นมีคนมาเฝ้าหรือไม่?” มู่หรงฉือจ้องพวกเขาสองคนด้วยดวงตาคมกริบ
“กระหม่อมสองคนเป็คนเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ”
“ไม่เคยออกไปจากตรงนั้นเลย?”
“ไม่...ใช่สิ ที่จริงแล้วออกมาครู่หนึ่ง”
“ข้าไม่ได้ให้พวกเ้าเฝ้าเอาไว้หรอกหรือ? พวกเ้าไปที่ไหนกัน?” เหอกวงโกรธจนหนวดขาวสั่นระริก
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้