เมื่อเหล่าไท่ไท่ได้ยินก็พลันตะลึงงันทันที เหอตังกุยจับจ้องริมฝีปากของหนิงยวนเขม็ง ‘แย่แล้ว เ้านั่นคงไม่พูดเื่เมื่อวานกระมัง’
เหล่าไท่ไท่ครุ่นคิดพลางเหลือบมองพิจารณาอีกฝ่ายก่อนเอ่ย ‘ข้ามีหลานสาวสายนอกอายุสิบขวบเพียงคนเดียว พวกเ้าเคยพบหน้ากันบนถนน หรือคุณชายยวนกับนาง...ไม่ ๆ เื่นี้ร้ายแรงเกินไป’ เมื่อเหอตังกุยนึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นก็พลันแตะเข็มรอบข้อมืออย่างรวดเร็ว ก่อนหยิบเข็มเงินที่เล็กที่สุดเล็งจุดฝังเข็มหย่าเหมิน[1]ของหนิงยวน ชาติที่แล้วขณะอยู่ในตำหนักอ๋องหนิง นางเคยเรียนวิชาอาวุธลับจากอาจารย์ผู้เยี่ยมยุทธ์ที่รู้จักกันในนาม “มีดเทพไร้พ่าย” แม้นางจะร่ำเรียนไม่ถึงเสี้ยวหนึ่งของทักษะยอดฝีมือผู้นั้น แต่ก็มั่นใจว่าสามารถทำให้หนิงยวนกลายเป็ใบ้ได้ในทันที เขาไม่มีสัจจะก่อน จะโทษความโหดร้ายของนางมิได้
ภายใต้สายตาร้อนใจของเหล่าไท่จวินและแววตาโเี้เ็าของเหอตังกุย หนิงยวนเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เหล่าไท่จวินเข้าใจผิดแล้ว ตอนนั้นข้าอยู่ห่างจากน้องสาวไกลมากจึงไม่ได้เกิดความประทับใจอันใดนัก เพียงเห็นนางวิ่งไปช่วยเหลือชีวิตคนเร็วมากเสมือนไม่เคยถูกรัดเท้า ข้าจึงลองเอ่ยถาม จริงสิ พ่อของน้องสาวผู้นั้นมาจากเมืองหลวงหรือไม่? ฟังดูเหมือนนางมีสำเนียงคนเมืองหลวงอยู่บ้าง” เหล่าไท่ไท่นิ่งเงียบครู่หนึ่ง หลังเอ่ยตอบคลุมเครือก็เปลี่ยนหัวข้อสนทนา พวกเขาทั้งสองเริ่มคุยสัพเพเหระ ใบหน้าปรากฏรอยยิ้ม บรรยากาศค่อย ๆ เต็มไปด้วยความกลมเกลียว
เหอตังกุยถอนหายใจอย่างโล่งอกพลางเก็บเข็มเงินกลับเข้าที่ ก่อนหันมองสถานการณ์ของหยางเฟิงตัวปลอมและจิ่วกู
เฟิงจิ่วกูเป็สตรีชาวม้ง ปีนี้อายุสี่สิบเอ็ดปี มีใบหน้างดงามและไร้ริ้วรอยความชรา ดูเหมือนสตรีอายุเพียงสามสิบกว่าเท่านั้น แม้ขณะเฟิงจิ่วกูอาศัยในจวนตระกูลหลัวจะไม่ขาดแคลนอันใด ทั้งยังได้รับความเคารพจากคนในเรือน มีฐานะสูงส่งกว่าตอนอยู่ที่จวนตระกูลเฟิง ทว่านางก็อยู่อย่างโดดเดี่ยว ไร้สามีและลูก นางจึงคิดถึงเฟิงหยางผู้เป็หลานชายมาก ในวัยเด็กเขามักติดตามนางไปทุกที่ ด้วยความช่วยเหลือของเหล่าไท่ไท่ ในที่สุดนางก็ได้พบคุณชายหยางผู้หล่อเหลาและเงียบขรึมเสมือนก่อน นอกจากส่วนสูงก็ไม่มีสิ่งใดเปลี่ยนแปลง
เมื่อเห็นจิ่วกูจับมือเฟิงหยางตัวปลอมพลางพูดคุยสัพเพเหระ จู่ ๆ เหอตังกุยก็พบว่าดวงตาของจิ่วกูและเฟิงหยางตัวปลอมนั้นแทบจะเหมือนกัน จมูกและปากก็ละม้ายคล้ายกัน หากพวกเขาเป็น้าหลานแท้ ๆ ก็คงเป็เื่ปกติ แต่นางจำได้ว่าจิ่วกูเป็เด็กหญิงกำพร้าที่นายท่านผู้เฒ่าเฟิงพากลับตระกูล...
ขณะเหอตังกุยจมจ่อมกับความคิดก็รู้สึกว่ามีใครบางคนในห้องโถงมองมา นางจึงเงยหน้าพลันพบว่าหนิงยวนลุกจากเก้าอี้เดินตรงไปยังประตูหลังอีกด้านโดยอ้างว่าจะเปลี่ยนเสื้อผ้า เมื่อเหอตังกุยคิดได้ว่ายังต้องไป “ล้างพิษ” ให้คุณชายจูจึงเดินกลับทางระเบียงอีกด้าน ตรงไปยังห้องปีกข้างของโถงใหญ่ทันที ทันใดนั้นเงาดำสายหนึ่งก็พุ่งจากด้านข้างขวางทางนางไว้ คนผู้นั้นคือหนิงยวนที่เพิ่งหาข้ออ้างออกมาจากห้องโถง
“สาวน้อย เ้ามีเรี่ยวแรงพอหรือ โยนออกไปแล้วมั่นใจหรือว่าจะแม่นยำ?” หนิงยวนมองเหอตังกุยพลางเอ่ย “เป็สตรีอายุยังน้อยแต่ไม่ยอมเรียนรู้การเย็บปักถักร้อยในห้องของตน กลับถ่อมาที่นี่เพื่อดักฟังและโยนอาวุธลับใส่ผู้อื่น เพื่อความปลอดภัยของอนุคนอื่นในจวน วันนี้ข้าคงต้องสั่งสอนเ้าสักหน่อย”
เหอตังกุยเหลือบมองเขาครู่หนึ่งก่อนเอ่ยเ็า “ลู่เจียงเป่ยเป็สุภาพบุรุษ เ้าปลอมตัวเป็เขา มองแวบแรกก็คล้ายมาก แต่น่าเสียดายที่การพูดคุยของเ้ากลับไม่ใช่ น่าผิดหวังไม่น้อย”
หนิงยวนเอ่ยถามจริงจัง “เ้าสนิทกับลู่เจียงเป่ยเพียงนั้นเชียวหรือ? ครั้งที่แล้วเ้าบอกว่าเคยเจอเขาครั้งเดียว”
“ครั้งที่แล้วเ้าก็บอกว่าเ้าไม่เคยพบลู่เจียงเป่ย แล้วเ้าปลอมตัวเป็เขาได้อย่างไร?” เหอตังกุยเลิกคิ้วเล็กน้อยพลางพูดเสียงสูง “ข้าไม่เคยเอ่ยโป้ปด แม้ข้าจะพบเขาเพียงครั้งเดียวแต่ก็รู้ว่าเขาเป็สุภาพบุรุษที่ดีกว่าเ้าเป็ร้อยเท่า”
แววตาของหนิงยวนมืดมัว แม้จะโกรธมากแต่ก็ยังหัวเราะประชดประชัน “ไม่ว่าเขาจะดีกับเ้าเพียงใด เ้าก็รอเขาไม่ได้ ข้าจะไปขออนุญาตเหล่าไท่จวินหลัวพาเ้ากลับจวนด้วย หึ นั่งคิดถึงลู่เจียงเป่ยอยู่ในจวนอ๋องของข้าก็แล้วกัน”
“จวนอ๋อง? ในเมืองหยางโจวไม่เคยมีจวนอ๋อง” เหอตังกุยเอียงศีรษะเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เท่าที่ข้ารู้ กฎหมายกำหนดว่า ‘ท่านอ๋องเ้าสำนักอื่น ๆ ไม่สามารถออกนอกพื้นที่ได้หากไม่มีพระราชโองการ’ คุณชายหนิง...ดูเหมือนชื่อนี้จะเป็ชื่อปลอม น้ำเสียงก็ปลอม ใบหน้าก็ยังปลอม สิ่งที่เ้าทำล้วนฝ่าฝืนกฎทุกข้อ หากข้าะโ ไม่รู้ว่าท่านอ๋องน้อยหรือซื่อจื่อเช่นเ้าจะตกอยู่ในสถานการณ์ลำบากเช่นไรบ้าง?”
หนิงยวนเดือดดาลอย่างอดไม่ได้ สิ่งที่ทำให้เขาโกรธไม่ใช่เพราะเขาเผลอพูดฐานะของตน แต่เป็เพราะสาวน้อยผู้นี้ แม้นางจะรู้ฐานะของเขาแต่กลับไม่เกรงกลัวแม้แต่น้อย มิหนำซ้ำยังพูดข่มขู่ตนอีก นางช่างไม่รู้ว่า “ความตาย” สะกดอย่างไรจริง ๆ แม้ตอนนี้เขาจะาเ็แต่การฆ่าสตรีตัวเล็กเช่นนางนั้นง่ายเสียยิ่งกว่าง่าย หากคนธรรมดารู้ว่าเขามีฐานะเป็อ๋องหรือซื่อจื่อ ปฏิกิริยาแรกคือคุกเข่าคำนับ ในเมื่อนางท่องกฎของราชวงศ์ต้าิได้ เหตุใดจึงไม่เข้าใจการทำความเคารพขั้นพื้นฐาน? ทว่าสถานที่นี้มีผู้คนเดินผ่านไปมามากมาย หนิงยวนจึงตัดสินใจพาเหอตังกุยไปยังสถานที่ไร้ผู้คนก่อนเริ่มถกเถียงอีกครั้ง
หนิงยวนเหยียบย่างเข้าหาอีกฝ่ายด้วยน้ำหนักเท้าปกติ ทว่าเหอตังกุยกลับััได้ถึงความแปลกประหลาดและแรงกดดันจึงพูดอย่างรวดเร็ว “หากเ้าฆ่าข้าตอนนี้ จดหมายลับฉบับแปดที่ข้าเขียนจะถูกส่งไปยังสำนักข้าราชการพลเรือน จงซูเสิ่ง กรมราชทัณฑ์ เสนาบดีกรมขุนนาง เสนาบดีกรมธรรมการ ตงฉ่าง ซีฉ่างและหน่วยองครักษ์จิ่นอีเว่ย แม้สถานะของเ้าจะเป็เท็จและปลอมตัวเป็ผู้อื่น แต่เ้าก็สามารถหนีได้ตลอดเวลา ทว่าเฟิงหยางและพรรคเฉาไม่สามารถทำเช่นนั้นได้... ข้าเขียนในจดหมายชัดเจน เฟิงหยางเ้าสำนักรุ่นเยาว์ของพรรคเฉามีความสัมพันธ์กับท่านอ๋องที่หลบหนีโดยไม่มีราชโองการ อีกทั้งพวกเขายังมีส่วนกระทำผิดร่วมกัน”
หนิงยวนคว้าตัวนางวิ่งเข้าห้องข้างอย่างรวดเร็ว พลันกอดคอเหอตังกุยแน่นพลางเอ่ยด้วยรอยยิ้มเ็า “ช่างเล่าเื่เก่งเสียจริง เ้ามีความรู้มากมาย ทุกสิ่งที่พูดก็ล้วนเป็ประเด็นสำคัญ แต่เ้าลืมไปอย่างหนึ่ง ข้าเพิ่งพูดฐานะของข้าเมื่อครู่ เหตุใดเ้าจึงเขียนจดหมายล่วงหน้าได้? ทีแรกข้าคิดว่าเ้าน่าสนใจจึงอยากพากลับจวนอ๋องเพื่อศึกษาเ้า แต่ตอนนี้เ้ารู้ตัวตนของข้าแล้ว อีกทั้งเ้ายังไม่ค่อยเชื่อฟังเท่าไรนัก ข้าจึงทำได้เพียงปิดปากเ้าตลอดไป…” เมื่อกล่าวจบ มือของเขาก็ทวีความแข็งแกร่งขึ้น
เหอตังกุยหลับตาพลางพูด “เฉาหงรุ่ย เกิ่งปิ่งซิ่ว” สองชื่อนี้เบา ๆ พลันรู้สึกว่ามือที่กำคอนางนั้นดีดออกทันที ได้ผลยิ่งกว่าพูดถึงทวยเทพบน์หรือพระราชบัญญัติอะไรนั่นเสียอีก
“เ้าพูดว่าอะไร?” หนิงยวนทั้งใและเดือดดาลพลางมองนางประหนึ่งมองปีศาจก็ไม่ปาน “พูดให้ชัดเดี๋ยวนี้”
เหอตังกุยมองผ่านหนิงยวนก่อนพบขวดนมหมักบนมุมตู้ นางจึงเทออกมาครึ่งถ้วยพลางเอ่ยช้า ๆ “ข้าได้กลิ่นอำพันทะเลจากกายเ้า ทั้งยังสังเกตเห็นว่าใบหน้าเ้าเป็ของปลอมจึงสงสัยว่าเ้าอาจเป็อ๋องหรือซื่อจื่อที่หนีออกมาอย่างลับ ๆ ยิ่งไปกว่านั้นเ้ายังขัดแย้งกับองครักษ์จิ่นอีเว่ย เห็นได้ชัดว่าเ้าปลอมตัวเป็ลู่เจียงเป่ย ทว่าตอนพบกันครั้งแรก เ้ากลับปฏิเสธว่าไม่เคยรู้จักลู่เจียงเป่ยราวหวาดกลัวอีกฝ่ายจะมาตามหาเ้าถึงหน้าประตู สาเหตุที่เ้าปลอมตัวเป็ลู่เจียงเป่ยนั้นไม่ใช่เพราะเ้าชื่นชมเขา แต่เป็เพราะเ้านึกถึงเขาขณะทำหน้าปลอมนี้ ดังนั้นจึงทำใบหน้าของเขาออกมาโดยไม่รู้ตัว ฮ่า ๆ ดูสีหน้าของเ้าตอนนี้สิ เสมือนเห็นผีอย่างไรอย่างนั้น หวาดกลัวคนผู้นี้ไม่น้อยเลยใช่หรือไม่”
หนิงยวนกัดฟันเอ่ย “ข้าจำเป็ต้องสังหารเ้าและบ่าวรับใช้ทั้งหมด เื่นี้จะต้องเป็ความลับตลอดไป”
“ช่างปากไม่ตรงกับใจเอาเสียเลย เ้าอยากถามว่าข้าจะส่งจดหมายออกไปอย่างไรใช่หรือไม่?” เหอตังกุยหยิบส้มเชื่อมโยนเข้าปากก่อนเอ่ยต่อด้วยรอยยิ้ม “บอกไปก็ไร้ประโยชน์ ข้าเลี้ยงนกพิราบไว้ในเมืองหยางโจวแปดตัว จดหมายที่เขียนเมื่อคืนก็ถูกมัดที่ขาของนกพิราบเ่าั้ ทุกสามวันข้าจะขอให้ลูกน้องนำน้ำดอกไม้ “เสวี่ยตู่ลั่ว” ให้พวกมันกิน หากข้าตาย การจัดส่งของเสวี่ยตู่ลั่วจะหยุดชะงัก จากนั้นนกพิราบที่มีจดหมายทุกตัวก็จะพุ่งออกจากรังอย่างบ้าคลั่ง บินไปยังสถานที่ที่พวกมันเคยได้รับการฝึกฝนเป็เวลาหลายปี เช่นห้องหนังสือของหัวหน้าสำนักตงฉ่างเฉาหงรุ่ยหรือห้องฝึกซ้อมของผู้บัญชาการหน่วยองครักษ์จิ่นอีเว่ยเกิ่งปิ่งซิ่ว…ได้ยินว่าพวกเขาสนใจคดีฏเป็พิเศษ หากพวกเขาไม่ได้อ่านจดหมายเกี่ยวกับเื่เหล่านี้ก็คงจะกินข้าวไม่อร่อย หลังข้าตายก็จะส่งจดหมายเหล่านี้เป็เครื่องเคียงให้แก่พวกเขา ฮ่า ๆ ๆ ”
หนิงยวนนิ่งเงียบด้วยสีหน้าเ็าพลางพิจารณาความถูกต้องในคำพูดนาง เด็กหญิงตัวเล็ก ๆ รู้จักเสวี่ยตู่ลั่ว เฉาหงรุ่ย เกิ่งปิ่งซิ่วได้อย่างไร? โดยเฉพาะเกิ่งปิ่งซิ่ว...มีเพียงไม่กี่คนที่รู้ว่าเขาใจคอโเี้และกระหายเื หลังหยุดไปชั่วขณะ หนิงยวนก็เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ “เ้าเป็เพียงเด็กสาวในตระกูลชั้นสูง จะมีลูกน้องได้อย่างไร? หรือเ้าเคยเข้าร่วมสำนักยุทธภพ?”
“ในเมื่อเ้าเดาถูก ข้าก็คงทำได้เพียงเปิดเผยฐานะ...” เหอตังกุยเอามือไพล่หลัง พยายามทำตนให้น่าเกรงขามที่สุด “ฟังจากน้ำเสียง เ้าก็ท่องยุทธภพบ่อย ๆ คงจะเคยได้ยินชื่อ ‘ประมุขแห่งพรรคฉีหยาง’ ใช่หรือไม่”
“เ้าพูดถึงประมุขพรรคฉีหยาง? หมายความว่าเ้าเป็...” หนิงยวนเบิกตากว้าง
“ใช่แล้ว ประมุขพรรคฉีหยางเป็ปรมาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่ที่สามารถเอาชนะพรรคฝ่ายธรรมะและอธรรมได้ พรรคฉีหยางกงที่เขาก่อตั้งเต็มไปด้วยความลึกลับมหัศจรรย์ มีลูกศิษย์จากทั่วแผ่นดิน อีกทั้งเขายังมีความสามารถประดุจเทพองค์หนึ่ง” เหอตังกุยกระแอมในลำคอ “ตำแหน่งของข้าในพรรคฉีหยางกงนั้นไม่สามารถเปิดเผยมากกว่านี้ได้ แต่ข้าขอพูดอย่างตรงไปตรงมา พลังภายในที่แข็งแกร่งของข้าได้รับการถ่ายทอดจากเขาผู้นั้น”
“กำลังภายในของเ้าได้รับการถ่ายทอดจากประมุขพรรคฉีหยางโดยตรงเช่นนั้นหรือ? มิน่าล่ะ เ้าถึงไม่สามารถควบคุมลมปราณเจินชี่และปรับลมหายใจได้ เ้าดูไม่คล่องแคล่วเหมือนคนที่รู้จักวรยุทธ์ วิธีการขว้างอาวุธลึกลับของเ้าก็แย่ยิ่งนัก…” หนิงยวนจับคางพลางพูดกับตัวเอง “แต่กำลังภายในของเ้าดีเทียบเท่ายอดฝีมือระดับหนึ่ง ที่แท้ก็เป็เช่นนี้ จุ๊ ๆ ช่างเป็เื่น่าเศร้าของยอดฝีมือที่ถูกสร้างโดยไม่สิ้นเปลืองกำลังใด พวกเขามักเผชิญกับลมปราณพลุ่งพล่านบ่อยครั้ง เ้ามีกำลังภายในแต่ไม่สามารถใช้ได้ เื่ที่เ้าโง่เขลายอมให้ม้าเหยียบเมื่อวาน...ที่แท้ก็เป็เพราะมีลมปราณเจินชี่ปกป้องร่างกายนี่เอง”
เหอตังกุยกัดฟันพลางเอ่ยสรุป “กล่าวสั้น ๆ คือเ้ากับข้าเป็เหมือนน้ำบ่อที่ไม่ยุ่งน้ำคลอง ต่างคนต่างอยู่ ข้าดูออกว่าเ้าสนใจตระกูลหลัวและ้าพักฟื้นอาการาเ็ที่นี่ ดูจากที่เ้าคิดถึงลู่เจียงเป่ยเพียงนี้ บางทีเขาอาจทำให้เ้าาเ็จนกลายเป็เช่นนี้ก็เป็ได้” เหอตังกุยหดคอเรียวเล็ก “นี่ เหตุใดจึงจ้องข้าเช่นนั้น ข้าไม่ได้ทำร้ายเ้าเสียหน่อย... ตราบใดที่เ้ายังรักษาอาการาเ็อย่างสงบ เ้ากับข้าก็สามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างสงบสุข ข้าจะไม่มีวันเปิดเผยความลับของเ้าเพราะมันไม่ใช่เื่ดีสำหรับข้า อันที่จริงข้าก็เกลียดคนเช่นเกิ่งปิ่งซิ่วและเฉาหงรุ่ยเช่นกัน”
ขณะหนิงยวนลดไอสังหาร แรงกดดันทางจิตใจของเหอตังกุยก็ลดลงเช่นกัน นางถอนหายใจเงียบ ๆ ด้วยความโล่งอกแต่กลับไม่กล้าแสดงสีหน้าใด
เมื่อครู่ขณะนางได้ยินว่าเขาอาศัยใน “จวนอ๋อง” ก็คิดจะเปิดเผยความจริงเื่เขาหลบหนีโดยไม่ได้รับอนุญาต ด้วยตอนนั้นนางไม่รู้ว่าเด็กหนุ่มอายุสิบห้าสิบหกจะมีวรยุทธ์ร้ายกาจเช่นนี้ กระทั่งนางไม่มีโอกาสดิ้นรนหรือร้องขอความช่วยเหลือ ขณะเขากำลังจะบีบคอนางนั้นไม่ใช่ว่านางไม่หวาดกลัว แต่การขอความเมตตาและร้องขอความช่วยเหลือเป็วิธีที่แย่ที่สุด นางจะมีโอกาสรอดชีวิตก็ต่อเมื่อนำความลับสูงสุดของเขามาข่มขู่
หนิงยวนครุ่นคิดก่อนเอ่ยเตือน “วันนี้ข้าจะไม่ฆ่าเ้าชั่วคราว แต่หากเื่นี้แพร่งพราย เ้าจะกลายเป็คนที่น่าสงสัยที่สุด เมื่อถึงตอนนั้น สิ่งแรกที่ข้าจะทำคือคิดบัญชีกับเ้า”
เหอตังกุยเอ่ยเยาะเย้ย “ทักษะการเปลี่ยนน้ำเสียงของเ้าย่ำแย่นัก บางทีเ้าอาจเปิดเผยตัวตนได้แปดร้อยครั้งแล้วกระมัง มีสิทธิ์ใดมาสงสัยข้า?”
หนิงยวนจ้องนางอย่างดุร้าย ก่อนเอ่ยเ็า “สาวน้อย เ้าไม่เคารพข้าเช่นนี้ ไม่กลัววันหน้าจะหาเื่เดือดร้อนให้ตระกูลหลัวหรือ? ฮ่องเต้ชอบสังหารคน ตราบใดที่หาเหตุผลเหมาะสมได้สักข้อ ตระกูลหลัวของพวกเ้าอาจถูกฆ่าล้างโคตรก็เป็ได้”
เหอตังกุยยกผ้าเช็ดหน้าปิดปากพลางหัวเราะด้วยแววตามีเสน่ห์เป็ประกาย “ฮ่า ๆ ๆ หากมีวันนั้นจริง ๆ ข้าจะเลี้ยงสุราท่านแน่นอน อีกทั้งจะมอบซองแดงสองร้อยตำลึงให้เป็ของขวัญขอบคุณด้วย”
หนิงยวนมองนางด้วยความสงสัยพลางเอ่ยถาม “เ้าหมายความว่าอย่างไร?”
“ข้าหมายความว่า...” เหอตังกุยหันกลับไปเทนมหมักครึ่งชามพลางจ้องละอองน้ำสีขาวก่อนเอ่ยเนิบนาบ “จุดอ่อนของเ้าคือเฟิงหยาง แม้เ้าจะหนี ข้าก็สามารถไปหาเฟิงหยางได้ แต่จุดอ่อนของข้านั้นกลับไม่ใช่คนตระกูลหลัว เมื่อเ้าสังหารหนึ่งคนก็เท่ากับช่วยข้าหนึ่งครั้ง หากสังหารสองคนก็เท่ากับช่วยข้าสองครั้ง กลับกันข้าคงจะต้องขอบใจเ้าอย่างสุดซึ้งเสียด้วยซ้ำ”
“เ้ามีความแค้นกับตระกูลหลัวกระนั้นหรือ? เพราะเหตุใด? ที่นี่มิใช่ครอบครัวฝั่งมารดาของเ้าหรือ?” หนิงยวนจ้องใบหน้าด้านข้างของอีกฝ่าย
เหอตังกุยไม่ตอบแต่กลับเอ่ยถาม “คุณชายหนิง ข้อตกลงที่เ้ากับข้าคุยกันก่อนหน้านี้ยังคงอยู่หรือไม่? ดูสิ เ้า้ายอดฝีมือที่มีพลังภายในแข็งแกร่งช่วยรักษาอาการาเ็ ทว่าตอนนี้ข้ายังไม่สามารถติดต่อกงจู่ประมุขพรรคฉีหยางกงได้ ข้าเพียง้าใครสักคนที่สอนวิธีควบคุมลมปราณให้แก่ข้า แม้เมื่อครู่ระหว่างเราจะเกิดการเข้าใจผิดเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้ขัดแย้งทางผลประโยชน์หรือมีความเกลียดชังฝังลึก ข้าคิดว่าคุณชายเช่นเ้าคงไม่ใช่คนใจคอคับแคบ เ้าช่วยหยุดการทะเลาะครั้งนี้แล้วสานต่อข้อตกลงของผลประโยชน์ร่วมกันต่อไปได้หรือไม่?”
“ข้าไม่อาจคิดหาเหตุผลคัดค้านได้ เช่นนั้นพวกเราเริ่มความร่วมมือคืนนี้เถอะ” หนิงยวนพยักหน้ากล่าวด้วยรอยยิ้ม “อย่างไรก็ตาม การควบคุมลมปราณเจินชี่และกำลังภายในนั้นอันตรายไม่น้อย โดยปกติการฝึกฝนคนเดียวเงียบ ๆ จะดีที่สุด แต่ตอนนี้เ้ากับข้าต้องฝึกซ้อมด้วยกัน อย่างน้อยก็ควรสร้างความไว้วางใจระหว่างสองฝ่ายก่อนใช่หรือไม่?”
เหอตังกุยเลิกคิ้วเล็กน้อย “จะเชื่อใจได้อย่างไร? ข้าทั้งตัวเล็กทั้งอ่อนแอ เ้าอยากฆ่าตอนไหนก็ฆ่าได้ เ้ายัง้าการคุ้มครองอันใดอีก?”
หนิงยวนส่ายหัวพลางเอ่ย “ไม่ได้ ขณะถ่ายทอดลมปราณ ทั้งสองฝ่ายจะถูกควบคุมทั้งหมด ไม่มีการแบ่งแยกระหว่างผู้แข็งแกร่งและผู้อ่อนแอ ตอนนี้เ้ารู้จุดอ่อนของข้าและเฟิงหยาง แต่ข้ากลับไม่รู้จุดอ่อนของเ้าแม้แต่น้อย หากวันหน้าเ้าเปิดเผยความลับของพวกข้าแล้วหนีไปไม่เห็นแม้แต่เงา เช่นนั้นข้าก็ต้องเสียทั้งคนเสียทั้งเงินใช่หรือไม่?”
“ข้าไม่มีเงิน” เหอตังกุยเอ่ยตอบโดยไม่ต้องคิด
หนิงยวนหัวเราะพลางเอ่ยขบขัน “ไม่มีเงินหรือ? เช่นนั้นก็เอาตัวเ้ามัดจำให้ข้าเป็อย่างไร” หนิงยวนดึงร่างบอบบางเข้าในอ้อมกอด ก่อนสูดดมกลิ่นหอมจาง ๆ ข้างใบหูของนาง พลางเอ่ยเสียงเบาด้วยรอยยิ้ม “สาวน้อย ข้ากลัวว่าเ้าจะเชื่อถือไม่ได้ ฉะนั้นข้าต้องคิดดอกเบี้ยกับเ้าก่อนเล็กน้อย” เขากัดใบหูเล็กของเหอตังกุยเบา ๆ ก่อนถอนหายใจอย่างกลัดกลุ้ม “หากเ้าอยู่ในตระกูลหลัว ข้ากลัวพวกเขาจะเลี้ยงดูเ้าไม่ดี ให้เ้าอยู่ข้างกายข้ายังน่าวางใจมากกว่า...”
-----------------------------------------------
[1] จุดฝังเข็มหย่าเหมิน คือจุดฝังเข็มบริเวณท้ายทอย
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้