เหล่ากองทัพทหารตระกูลมู่ต่างตะเบ็งเสียงออกมาอย่างเดือดดาล พวกเขาไม่รู้จักท่านอ๋องอะไรนั่น คนที่พวกเขาให้ความเคารพและเชื่อฟังคำสั่งคือมู่เทียนผู้เดียวเท่านั้น
หนานหาวเพิกเฉยต่อถ้อยคำด่าทอของเหล่ากองทัพทหารตระกูลมู่ เขาเพียงกล่าวกับมู่เทียนอย่างเย้ยหยันว่า “แม่ทัพมู่ เวลานี้เราไม่อาจเปิดประตูเมืองได้ ขืนเปิดประตูเมือง เกรงว่ากองทัพศัตรูคงบุกเข้ามาเป็แน่ ถึงเวลานั้นประชาชนนับล้านในเมืองจิ่วเฉวียนคงถูกสังหารกันจนหมดสิ้น ท่านแม่ทัพโปรดอดใจรออีกหน่อยเถิด อีกไม่นานทัพเสริมก็คงจะมาถึงแล้ว”
เมื่อได้ยินดังนั้น เหล่ากองทัพทหารตระกูลมู่ที่อยู่ด้านล่างกำแพงเมืองก็ยิ่งเดือดดาลมากขึ้นไปอีก มีทหารบางคนเล็งธนูไปยังหนานหาว ทว่ากลับถูกมู่เทียนหยุดไว้เสียก่อน
“ท่านแม่ทัพ หนานหาวผู้นี้คงคิดจะกำจัดกองทัพตระกูลมู่ของเรา และ้าปลิดชีพท่านแม่ทัพเป็แน่ขอรับ”
“ท่านแม่ทัพโปรดสั่งการให้บุกเข้าเมืองเถิดขอรับ”
มู่เทียนจ้องมองไปยังหนานหาว พลางกล่าวกับมู่เฟิงที่อยู่ด้านข้างด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ “เฟิงเอ๋อร์ เ้าจงจำคนผู้นี้เอาไว้ให้ดี”
ดวงตาของมู่เฟิงทอประกายเย็นะเื ก่อนจะพยักหน้ารับ
จากนั้นมู่เทียนจึงดึงบังเหียนม้ากลับ ก่อนจะะโด้วยน้ำเสียงอันดังก้อง “กองทัพตระกูลมู่ บุกโจมตี!”
หลังกล่าวจบ มู่เทียนได้ชี้หอกควบม้านำทัพออกไปเป็คนแรก เหล่ากองทัพทหารนับแสนนายต่างมองหน้ากันด้วยความตะลึง จากนั้นพวกเขาจึงกัดฟันกรอด ก่อนโห่ร้องตามมู่เทียนออกไปสู้รบต่อในทันที ฉับพลันนั้นศึกานองเืก็ได้เริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง
ชุดเกราะของหนุ่มน้อยเปรอะเปื้อนไปด้วยหยาดโลหิตจนกลายเป็สีแดงฉาน กระทั่งใบหน้าอ่อนเยาว์ของเขายังเลอะเทอะเต็มไปด้วยหยดเื นอกจากนี้จี้หยกรูปหัวใจบนอกแกร่งยังอาบย้อมไปด้วยของเหลวสีแดงสด ทว่ามันยังคงส่องประกายออกมาเมื่อถูกแสงตกกระทบ
ทหารตระกูลมู่กว่าแสนนายพยายามต่อสู้กับทหารฝั่งศัตรูจำนวนหลายแสนนายอย่างสุดกำลัง ทว่าแม้พวกเขาจะพยายามอย่างเต็มที่ แต่ผลลัพธ์ของศึกในครั้งนี้มันก็ชัดเจนแล้วว่าพวกเขาจะเป็ฝ่ายแพ้ ยิ่งเวลาผ่านไปมากเท่าไร จำนวนทหารของตระกูลมู่ก็ยิ่งลดน้อยลง จนกระทั่งเหลือทหารเพียงพันกว่านายเท่านั้น
แม้แขนข้างหนึ่งของมู่เทียนจะถูกตัดขาดจนเืไหลอาบ แต่แขนอีกข้างยังคงถือหอกและยืนหยัดที่จะสู้ต่อ ส่วนม้าเกล็ดสีครามสัตว์คู่กายของเขานั้นได้ตายไปแล้ว ชุดเกราะของมู่เทียนถูกโจมตีจนปริแตกกลายเป็เศษชิ้นส่วน บนอกแกร่งมีาแขนาดใหญ่และลึกจนถึงกระดูก ส่วนาแเล็กน้อยเรียกได้ว่ามีอยู่นับไม่ถ้วน แม้ร่างกายจะได้รับาเ็หนักถึงเพียงนี้ แต่ดวงตาอันคมกริบของเขากลับไร้ซึ่งความหวาดกลัว
ด้านทหารตระกูลมู่ที่เหลืออยู่พันกว่านาย แม้ร่างกายของพวกเขาจะเต็มไปด้วยาแ แต่กลับไม่มีใครแสดงความอ่อนแอหรือความหวาดกลัวออกมาเลยสักคน
ทางด้านทหารฝ่ายศัตรู ชายร่างกำยำในชุดเกราะดำและผ้าคลุมสีแดงเืกำลังนั่งอยู่บนหลังสัตว์อสูรรูปลักษณ์คล้ายเสือ เขาจ้องมองเหล่าทหารตระกูลมู่ด้วยสายตาชื่นชมที่อีกฝ่ายยังสามารถยืนหยัดมาได้จนถึงตอนนี้
“มู่เทียน เ้ายอมจำนนเสียเถอะ ในเมื่อหนานหาวทอดทิ้งเ้าแล้ว เหตุใดไม่มายังอาณาจักรเทียนเฟิงของข้าแทนเล่า ข้ารับปาก สำหรับทหารกล้าที่ภักดีอย่างเ้า ทางเทียนเฟิงของข้าย่อมมอบสิ่งที่ดีกว่าให้กับเ้าอย่างแน่นอน”
ชายวัยกลางคนเปิดปากเกลี้ยกล่อมให้มู่เทียนยอมจำนน ในฐานะที่เป็ทหารเหมือนกัน เขาย่อมรู้สึกชื่นชมในความเก่งกล้าของมู่เทียน
“ยอมจำนน?”
มู่เทียนแค่นเสียงหัวเราะออกมาทันที ใบหน้าเปื้อนเืแสดงออกถึงความเย้ยหยัน
“ตระกูลมู่ของข้าอยู่ในกองทัพมาหลายชั่วอายุคนไม่เคยจำนนต่อศัตรู ในฐานะทหารข้าย่อมจงรักภักดีและปกป้องอาณาจักรบ้านเกิด ในฐานะผู้ฝึกยุทธ์ข้ายิ่งไม่มีทางศิโรราบต่อศัตรู แม้ต้องตายข้าก็ยินดีจะเผชิญหน้ากับความตาย ดีกว่ายอมถอยกลับแล้วมีชีวิตต่ออย่างอดสู เหล่าพี่น้องทั้งหลาย พวกเ้าจะยอมจำนนต่อศัตรูหรือไม่?”
มู่เทียนะโถามเหล่าพี่น้องทหารกว่าพันนายที่อยู่ด้านหลังเขา
“เราจะยอมสู้แม้ตัวตาย จะไม่ถอยกลับแม้เพียงครึ่งก้าว ร่วมสู้เป็ตายไปกับท่านแม่ทัพ”
เหล่าทหารต่างตะเบ็งเสียงตอบกลับพร้อมกัน ดวงตาของพวกเขาแดงก่ำ แววตาฉายชัดถึงความ้าฆ่าฟันอันแรงกล้า
มู่เทียนััได้ถึงร่องรอยของคราบน้ำตาที่แฝงอยู่ในคำพูดอันฮึกเหิมนี้ เขาหันไปหามู่เฟิง ก่อนแนบชิดหน้าผากของตนลงไปบนหน้าผากของบุตรชาย พลางกล่าวติเตียนตนเอง “เฟิงเอ๋อร์ พ่อขอโทษ นับั้แ่เด็กเ้าได้เข้าร่วมกับกองทัพมานานหลายปี ที่ผ่านมานั้นข้าเข้มงวดกับเ้าเป็พิเศษ ทั้งยังไม่เคยให้ความรักความอบอุ่นกับเ้าได้เหมือนพ่อของผู้อื่น ยิ่งไปกว่านั้น วันนี้ข้ายังทำให้เ้าต้องมาพบจุดจบเช่นนี้ ในฐานะบิดาแล้ว ข้ารู้สึกละอายใจต่อเ้ายิ่งนัก”
แม้จะาเ็หนักมากเพียงใด มู่เทียนก็ไม่เคยหลั่งน้ำตาออกมาสักครั้ง แต่หลังจากที่กล่าวประโยคนี้เขากลับอดไม่ได้ที่จะหลั่งน้ำตาออกมา ใครเล่าจะไม่รู้ว่าทหารกล้านั้นไม่เคยมีน้ำตา แต่สำหรับความรักอันลึกซึ้งนี้แล้วย่อมถือเป็ข้อยกเว้น
มู่เฟิงเหยียดยิ้ม รอยยิ้มของเขาไม่มีความขุ่นเคืองหรือเสียใจแฝงอยู่เลยแม้แต่น้อย “ท่านพ่อ ในใจเฟิงเอ๋อร์ท่านคือบิดาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในใต้หล้า ตลอดเวลาที่ผ่านมาท่านคือความภาคภูมิใจของเฟิงเอ๋อร์ ข้าอยากเป็ยอดวีรบุรุษเหมือนกับท่าน การที่ท่านเข้มงวดกับข้า ทั้งหมดก็เพื่อตัวข้าเองไม่ใช่หรือ?”
“ฮ่าๆ การได้มีบุตรเช่นเ้า ชีวิตนี้ของข้ามู่เทียนก็ไม่้าอะไรแล้ว”
มู่เทียนหัวเราะออกมาเสียงดังหลังได้ฟังคำกล่าวนี้ จากนั้นเขาก็หันมองไปทางเหล่าทหารนับพันที่เหลืออยู่ ก่อนจะคุกเข่าลงข้างหนึ่งต่อหน้าเหล่าทหารกล้าของตัวเอง
พรึ่บ ตึกตึก!
เมื่อเห็นดังนั้น เหล่าทหารกล้านับพันต่างก็คุกเข่าลงทันที
“เหล่าพี่น้องทุกท่าน ข้ามู่เทียนต้องขออภัยต่อทุกท่านที่ต้องมารับเคราะห์จากการถูกทรยศหักหลังไปพร้อมกับข้า เป็ข้าที่ไร้ความสามารถนำพาทุกคนมาพบจุดจบเช่นนี้”
“ท่านแม่ทัพ”
“ในวันที่ข้าได้เข้าร่วมกองทัพทหารตระกูลมู่ ข้าได้สาบานตนว่าจะใช้ชีวิตปกป้องบ้านเมืองและติดตามท่านแม่ทัพ แม้ต้องตายในสนามรบข้าก็ไม่นึกเสียใจ”
“แม้ต้องพลีชีพข้าก็ไม่นึกเสียใจ”
เหล่าทหารกล้านับพันต่างะโก้องด้วยน้ำตาที่เอ่อล้น
“ฮ่าๆ ดี ยอดเยี่ยมมาก แต่ละคนล้วนเป็นักรบที่กล้าหาญและเยี่ยมยอด ข้ามู่เทียนผู้นี้ภูมิใจที่ได้ร่วมสู้รบกับพวกเ้าทุกคน ชาติภพหน้าหวังว่าเราจะได้เป็พี่น้องกันเช่นนี้อีก! ไม่ว่าจะเป็หรือตายล้วนไม่เสียใจ”
หลังกล่าวจบมู่เทียนได้หยัดกายลุกขึ้น เขากระชับหอกในมือแน่นก่อนจะตะเบ็งเสียงสั่งการ “กองทัพตระกูลมู่!”
“พร้อมรับคำสั่ง!”
“บุกโจมตี!”
ขณะสั่งการ มู่เทียนได้ชี้หอกไปทางทหารฝั่งศัตรูที่มีจำนวนหลายแสนนาย จากนั้นเหล่าทหารของตระกูลมู่ที่เหลือเพียงพันคนก็โห่ร้องออกมา พร้อมชูอาวุธพุ่งเข้าโจมตีศัตรูในทันที
กลุ่มทหารทั้งพันคนนี้ดูราวกับแมลงเม่าบินเข้ากองไฟ ทว่าพวกเขากลับไม่มีใครนึกเสียใจหรือคิดจำนนเลยสักคน
บนกำแพงเมืองซึ่งอยู่ไกลออกไป เหล่าทหารรักษาการณ์ของเมืองจิ่วเฉวียนแทบหลั่งน้ำตาเมื่อต้องทนมองฉากตรงหน้า แต่ละคนต่างกระชับหอกในมือเอาไว้แน่น
ในทางกลับกัน หนานหาวมองดูเหตุการณ์นี้พร้อมกับแสยะยิ้มออกมา “มู่เทียนหนอมู่เทียน เื่ในวันนี้ล้วนต้องโทษตัวเ้าเอง ไม่อาจโทษเปิ่นหวางได้...”
ท้ายที่สุดแล้วกองทัพของตระกูลมู่ได้ถูกกวาดล้างอยู่นอกเมืองจิ่วเฉวียน ส่วนมู่เทียนนั้นถูกกระบี่ของแม่ทัพฝ่ายศัตรูแทงเข้าที่ทรวงอก
“มู่เทียน ใต้หล้านี้มีคนอยู่ไม่มากที่ข้ารู้สึกชื่นชม และเ้าก็เป็หนึ่งในนั้น”
แม่ทัพฝ่ายศัตรูกล่าวพึมพำกับตัวเองก่อนจะดึงกระบี่กลับ ร่างของมู่เทียนล้มลงสู่อ้อมแขนของเขา
ในเวลานั้น กลางหุบเขาด้านหลังเมืองจิ่วเฉวียนมีกองทัพทหารกลุ่มหนึ่งกำลังรอเคลื่อนทัพไปเสริมกำลัง ความจริงแล้วกองกำลังเสริมกลุ่มนี้ได้มาถึงก่อนแล้ว แต่เพราะคำสั่งของหนานหาวพวกเขาจึงต้องหลบซ่อนตัวอยู่ในหุบเขา รั้งรอจนกว่ากองทัพทหารตระกูลมู่จะถูกกวาดล้างจนหมดจึงจะปรากฏตัวได้
แต่เมื่อกองกำลังของทัพเสริมเข้าสู่สนามรบ ทหารฝ่ายศัตรูนั้นก็ได้ล่าถอยออกไปแล้ว กระทั่งร่างไร้ิญญาของมู่เทียนอีกฝ่ายยังนำกลับไปด้วย
ท่ามกลางซากศพมากมาย มีร่างของเด็กหนุ่มผู้หนึ่งกำลังนอนตะแคงข้าง เขาถูกธนูยิงเข้าตรงตำแหน่งหัวใจ อุณภูมิในร่างกายของเขากำลังลดฮวบลง แต่ในขณะนั้นเอง จี้หยกรูปหัวใจสีแดงเืที่อยู่ตรงกลางอกของเขาก็เริ่มมีการเคลื่อนไหวบางอย่าง มันทอประกายเปล่งแสงสีแดงโรหิตออกมา ก่อนที่แสงนั้นจะไหลซึมเข้าสู่หัวใจของเขา ฉับพลันหัวใจที่เคยถูกทำลายไปแล้วก็เริ่มได้รับการเยียวยากลับมา
เพียงไม่นานแสงสีแดงโรหิตนั้นก็เลือนหายไป พร้อมกับาแที่ปิดสนิทและหัวใจที่เริ่มกลับมาเต้นอีกครั้ง นอกจากนี้พลังที่ยังหลงเหลืออยู่ในกายก็ไหลเวียนไปตามเส้นโลหิตทั่วทั้งร่าง รวมถึงอวัยวะส่วนอื่นที่ได้รับความเสียหายของเด็กหนุ่มด้วย
“ดูนั่น ตรงนั้นยังมีคนรอดชีวิต”
“นี่ไม่ใช่มู่เฟิงบุตรชายของแม่ทัพมู่หรอกหรือ?”
“เป็มู่เฟิง เร็วเข้า รีบพาเขาไปหลบซ่อนตัว เื่นี้จะให้ท่านอ๋องรู้ไม่ได้เด็ดขาด ไม่อย่างนั้นเขาไม่มีทางปล่อยมู่เฟิงให้รอดไปได้แน่ แม่ทัพมู่เป็คนซื่อสัตย์และภักดี ข้านับถือเขาเป็ที่สุด ฉะนั้นจะปล่อยให้ทายาทของแม่ทัพมู่ตายไม่ได้”
เหล่าทหารหลายนายนั้นนับว่ายังมีมโนธรรม พวกเขาลอบพาตัวมู่เฟิงหลบออกมา จากนั้นจึงส่งเขากลับไปยังอาณาจักรหนานหลิง หวนคืนสู่จวนตระกูลมู่...
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้