เล่มที่ 8 บทที่ 212 ไม่สนิทเท่าไร
เมื่อพูดจบ ผู้บำเพ็ญหนุ่มก็นึกขึ้นได้ว่ายังตนเองไม่รู้จักอีกฝ่ายเลย จึงรีบเอ่ยถามขึ้น
“จริงสิ ลืมแนะนำตัวไปเลย ข้าชื่อเว่ยฟง ส่วนสองคนนั้นเป็เพื่อนข้า คนที่ผอมๆชื่อเกาชิว ส่วนคนที่อ้วนหน่อยชื่อหวังหลง…”
“ที่แท้ก็เป็ศิษย์น้องเว่ยนี่เอง…” หลินเฟยได้ยินดังนั้นก็พยักหน้าตอบรับ ก่อนจะมองตามสายตาเว่ยฟงไป จากนั้นก็เห็นผู้บำเพ็ญอ้วนผอมที่อยู่ไม่ไกล ทั้งคู่ดูอายุราวยี่สิบกว่าปีเช่นกัน คนอ้วนมีขั้นบำเพ็ญมิ่งหุนเคราะห์สาม ส่วนคนผอมก็เคราะห์สี่ หากเทียบกับคนรุ่นเดียวกัน ถือว่าทั้งสามคนนี้ล้วนมีขั้นบำเพ็ญที่ไม่ขี้เหร่เลย
‘แต่ว่าก็เพียงขั้นบำเพ็ญเท่านั้น ส่วนเื่อยู่ด้วยก็ถือว่าแล้วไปเถอะ…’
เพราะระยะทางจากเมืองวั่งไห่ถึงเกาะปริศนาถือว่าใช้เวลาไม่นานมาก หลินเฟยจึงไม่สนใจว่าจะพักที่ไหน และตลอดทางก็มีเื่ต้องจัดการเยอะแยะไปหมด ‘แล้วจะต้องไปอุดอู้อยู่ในห้องโดยสารคับแคบทำไมล่ะ?’
ขณะที่กำลังจะเอ่ยปฏิเสธ เว่ยฟงก็เกาหัวน้อยๆ ก่อนจะเอ่ยอย่างเก้อเขินออกมา
“ก่อนหน้านี้พวกข้าก็เคยไปที่เกาะนั่นมาก่อน แต่น่าเสียดายที่ดันเจอปีศาจเยาเจี้ยงขั้นหกเข้า ไม่ง่ายเลยกว่าจะหนีตายออกมาได้ เพราะเสียดายนี่แหละ จึงกลับไปรวบรวมหินิญญามาใหม่ ว่าจะลองเสี่ยงดูอีกสักครั้ง…”
“ปีศาจเยาเจี้ยงขั้นหกงั้นหรือ?” หลินเฟยได้ยินดังนั้นก็ชะงักลงทันที
เกาะนั่นโผล่มาหลายวันแล้ว ทุกคนจึงเข้าไปสำรวจมาบ้างแล้ว โดยเกาะที่อยู่ทางใต้ของเมืองวั่งไห่นั้นไม่ถือว่าอันตรายเท่าไรนัก นอกจากมีหมอกพิษและพืชพันธุ์มีพิษต่างๆจำนวนมากแล้ว ก็มีเพียงมารปีศาจปลายแถวเท่านั้น สำหรับคนทั่วไปการเข้าไปที่นั่นอาจจะดูยากลำบาก ทว่าสำหรับผู้บำเพ็ญขั้นมิ่งหุนแล้ว ขอแค่ระมัดระวังเสียหน่อย ก็คงไม่ใช่เื่ยากอะไร…
และที่อันตรายจริงๆคือเกาะที่อยู่ทางเหนือต่างหาก…
ปกติแล้วเรือที่สัญจรมักจะไปจอดเทียบฝั่งที่เกาะทางใต้ก่อน จากนั้นค่อยล่องเรือต่อไปเพื่อขึ้นเหนือ ยิ่งขึ้นเหนือเท่าไรก็ยิ่งอันตรายมากขึ้นเท่านั้น เมื่อมาถึงเกาะทางเหนือแล้ว ก็จะพบกับปีศาจเยาเจี้ยงขั้นห้าถึงขั้นหกจำนวนมาก อีกทั้งยังมีเสียงลือกันมาว่า ที่ใจกลางเกาะทางเหนือ มีปีศาจขั้นเยาหวังซึ่งมีลำตัวยาวนับพันจ้างอาศัยอยู่อีกด้วย…
หรือจะพูดง่ายๆก็คือ “ผู้บำเพ็ญทั้งสามคนนี้เคยไปที่เกาะทางเหนือมาก่อน…”
นับว่าเกิดคาดไม่น้อยเลย
ฉะนั้นคำปฏิเสธที่หลินเฟยกำลังเอ่ยออกมา จึงถูกกลืนกลับลงไปเช่นเดิม อย่างไรก็ตามนี่ก็เป็ครั้งแรกของเขาที่ไปเยือนเกาะนั่น หากมีผู้บำเพ็ญกลุ่มนี้นำทาง จึงไม่ใช่เื่แย่อะไร…
“เช่นนั้นข้าต้องจ่ายหนึ่งร้อยห้าสิบหินิญญาอย่างนั้นหรือ?”
“ไม่ต้องๆ…” เว่ยฟงไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะพูดง่ายเช่นนี้ เ้าตัวถึงกับชะงักไปชั่วขณะ จากนั้นค่อยระบายยิ้มออกมาด้วยความดีใจ ก่อนจะส่ายหน้าปฏิเสธพลางเอ่ยออกมา
“ศิษย์พี่จ่ายร้อยเดียวก็พอ อีกห้าสิบที่เหลือ เดี๋ยวพวกข้าจัดการจัดเอง…”
ั้แ่ขึ้นเรือมา เว่ยฟงได้ทักถามคนไปทั่ว ทว่าส่วนมากล้วนไม่อยากจ่ายหนึ่งร้อยห้าสิบหินิญญา แถมยังมีบางส่วนที่ไม่้าอยู่ร่วมกับคนแปลกหน้าอีกด้วย พอได้ยินเช่นนี้ เว่ยฟงก็กลัวว่าอีกฝ่ายจะเปลี่ยนใจ จึงรีบชิงพูดออกมาว่าจะลดให้ห้าสิบหินิญญา…
“หึหึ…” หลินเฟยย่อมไม่สนใจห้าสิบหินิญญานี่อยู่แล้ว แต่ในเมื่อเว่ยฟงพูดแล้ว หลินเฟยก็ย่อมไม่ปฏิเสธ สุดท้ายจึงทำเพียงพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม
“ขอบคุณเหลือเกิน จริงสิ ข้าแซ่หลิน ชื่อว่าหลินเฟย ข้าเปิดร้านหลอมอาวุธเล็กๆที่เมืองวั่งไห่…”
“ศิษย์พี่หลินช่างร้ายกาจนัก…” เมื่อได้ยินว่าหลินเฟยเปิดร้านหลอมอาวุธ เว่ยฟงก็ทั้งใไปพร้อมกับแสดงความนับถือ หลังจากประจบอยู่ชั่วครู่ เขาก็นึกเื่บางอย่างขึ้นมาได้ จึงรีบเรียกเพื่อนอีกสองคนเข้ามา
“ศิษย์พี่เกา พี่ศิษย์หวังมานี่เร็ว ศิษย์พี่หลินตกลงแล้ว ตอนนี้พวกเรามีคนหารค่าห้องแล้ว…”
“คารวะศิษย์พี่หลิน” หวังหลงยกมือคารวะหลินเฟยด้วยรอยยิ้ม ใบหน้าที่อวบอูมทำให้ภายนอกดูเป็คนซื่อสัตย์และน่าคบหาไม่น้อย
“ข้าหวังหลง เป็เพียงผู้บำเพ็ญพเนจรไร้สังกัดไร้สำนัก แต่ก็พอจะมีความรู้ด้านการวาดยันต์และการขับไล่ภูตผีปีศาจอยู่บ้าง เมื่อกี้ได้ยินศิษย์น้องเว่ยบอกว่าศิษย์พี่หลินเปิดร้านหลอมอาวุธที่เมืองวั่งไห่ด้วย หากวันหน้าข้ามีโอกาสไป อย่าลืมลดราคาให้ข้าด้วยนะ…”
“ย่อมได้ๆ…” หลินเฟยยกมือคารวะตอบ สายตาที่มองหวังหลงก็มีประกายความยินดีแฝงอยู่ ทว่าในใจกลับลอบด่าอีกฝ่ายว่าเ้าเล่ห์อยู่ด้วยเช่นกัน…
เ้าอ้วนนี่ภายนอกซื่อๆก็จริง แถมคำพูดก็ยังฟังดูจริงใจ ทว่าพอพินิจดูดีๆ จะพบว่าไม่มีมูลเลยแม้แต่น้อย ทั้งวาดยันต์ทั้งผู้บำเพ็ญพเนจรอะไรนั่น แค่ได้ยิน หลินเฟยก็รู้แล้วว่านี่มันปลาไหลตัวลื่น ช่างไหลลื่นเป็ที่สุด…
หลังจากเหล่มองหวังหลงชั่วครู่ สายตาของหลินเฟยก็เลื่อนมาจับจ้องที่เกาชิวแทน ผู้บำเพ็ญที่มีรูปร่างผอมแห้งแถมยังเป็คนที่มีขั้นบำเพ็ญสูงที่สุดในบรรดาทั้งสามคน คนผู้นี้ถึงกับมีขั้นบำเพ็ญมิ่งหุนเคราะห์สี่เลยทีเดียว หากพูดถึงขั้นบำเพ็ญละก็ ถือว่าสูงกว่าหลินเฟยเลย และเมื่อเทียบกับเว่ยฟงและหวังหลงที่เป็ผู้บำเพ็ญพเนจรแล้ว เกาชิวเหมือนจะมีบางอย่างต่างออกไป…
เพราะหลินเฟยสังเกตเห็นว่าที่ปลายแขนเสื้อของอีกฝ่าย มีลวดลายกระบี่สีเงินประทับอยู่ และนี่ก็คือสัญลักษณ์ของสำนักหลิงเจี้ยนนั่นเอง…
สำนักหลิงเจี้ยนเป็หนึ่งในสำนักใหญ่แถบทะเลอูไห่ ดูเหมือนจะติดสามสิบอันดับแรกด้วย และหลินเฟยก็จำได้ที่เจียงหลีเคยพูดไว้ว่าลวดลายสีทองคือผู้าุโของสำนัก ส่วนศิษย์สายตรงจะมีสีเงิน ซึ่งก็แปลว่าเกาชิวเป็ศิษย์สายตรงของสำนักหลิงเจี้ยน
มิน่าล่ะ อายุไม่มากก็มีขั้นบำเพ็ญถึงมิ่งหุนเคราะห์สี่แล้ว
แม้สำนักหลิงเจี้ยนจะไม่ได้เป็สิบสำนักใหญ่ในเป่ยจิ้ง แต่ก็ถือว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับสำนักเวิ่นเจี้ยน คิดได้ดังนั้นหลินเฟยจึงยกมือคารวะอีกฝ่ายด้วยรอยยิ้ม
“ศิษย์น้องเกา…”
ทว่า…
หลินเฟยยังไม่ทันพูดจบ เกาชิวก็แค่นหัวเราะเ็าออกมา สายตาที่มองหลินเฟยก็เต็มไปด้วยความดูแคลน
“ขอเตือนไว้ก่อน อย่ามาเรียกศิษย์พี่ศิษย์น้อง ข้าไม่ได้สนิทกับเ้าขนาดนั้น...”
หลินเฟยได้ยินดังนั้นก็หยุดชะงักทันที
‘ช่วยไม่ได้ เพราะไม่ชินเท่าไรนี่นะ’
่นี้หลินเฟยเอาแต่คลุกคลีกับพวกอสุรกายและปีศาจขั้นหวัง แล้วก็ผู้บำเพ็ญขั้นจิงตันทั้งนั้น หากเป็ผู้บำเพ็ญขั้นมิ่งหุน ต่อให้เป็ศิษย์สายตรงของสามสำนักใหญ่ เมื่ออยู่ต่อหน้าหลินเฟยแล้วก็ยังต้องเกรงอกเกรงใจกันบ้าง ดังนั้นพอถูกผู้บำเพ็ญเพียงขั้นมิ่งหุนเคราะห์สี่ชักสีหน้าใส่เช่นนี้ จึงรู้สึกไม่ชินเท่าไร...
“ศิษย์พี่เกา ทำอะไรน่ะ...” หลิยเฟยยังตะลึงอยู่กับที่ ส่วนเว่ยฟงที่อยู่ไม่ไกลพอได้ยินดังนั้นก็รีบดึงแขนเสื้อเกาชิวเอาไว้ ก่อนจะเอ่ยปรามเสียงเบา
“ศิษย์พี่หลินเป็คนดีจะตาย มีคนมากขึ้นจะได้มีคนช่วยเพิ่มนะ แต่เ้า...”
“หุบปากไป!” เกาชิวได้ยินดังนั้นก็ถลึงตาใส่เว่ยฟง ตลอดทางมานี้เกาชิวรำคาญเว่ยฟงมามากพออยู่แล้ว ไม่รู้อาจารย์คนใดสั่งสอนเ้านี่มา นอกจากจะไม่มีความสามารถแล้ว ยังเอาแต่สร้างเื่ไม่หยุด หากไม่ใช่เพราะต้องเ้านี่ช่วยเมื่อไปถึงเกาะแล้วละก็ เกาชิวคงได้เตะเว่ยฟงกลับเมืองวั่งไห่ไปนานแล้ว
อย่างเช่นตอนนี้นั่นเอง...
เื่ที่สามคนอยู่ห้องโดยสารสี่คนถือว่าสิ้นเปลือง ดังนั้นเลยอยากหาคนมาช่วยหารล้วนเป็คำพูดบังหน้าเท่านั้น เพราะที่จริงตนเองและหวังหลงคิดว่าด้วยความสามารถของคนทั้งสาม หากไปเกาะเหนืออีกครั้งจะต้องไม่ไหวแน่นอน จึงคิดอยากหาคนมาช่วยเพิ่ม แต่เ้านี่กลับโง่นัก ผู้บำเพ็ญตั้งมากมายบนเรือกลับไม่รู้จักไปหา ดันไปหามิ่งหุนเคราะห์สอง...
‘บ้าเอ๊ย นี่พวกเรากำลังจะไปเกาะเหนือกันอยู่นะ!’
มีตัวถ่วงอย่างเว่ยฟงที่เป็มิ่งหุนเคราะห์หนึ่งก็ว่าแย่แล้ว นี่ยังมีมาเพิ่มอีกคน...
‘แค่ขั้นมิ่งหุนเคราะห์สอง แต่กลับคิดจะไปเกาะเหนือเนี่ยนะ จะไปทำไม อยากจะเป็อาหารให้พวกปีศาจขั้นห้าขั้นหกอย่างนั้นหรือ?’
นอกจากนี้เกาชิวยังรู้สึกได้ว่าหลินเฟยไม่ใช่ผู้บำเพ็ญขั้นมิ่งหุนเคราะห์สองทั่วๆไป เพราะหลังจากมองอีกฝ่ายั้แ่หัวจรดเท้าแล้ว ก็มั่นใจได้ว่าจะต้องเป็เหมือนกับเว่ยฟงเป็แน่ จะต้องเป็เพียงผู้บำเพ็ญพเนจรที่ยากจนเท่านั้น...
แค่ดูก็รู้แล้ว...
ทั่วทั้งตัวไม่มีไอิญญาแม้แต่น้อย แสดงว่าจะต้องไม่มีอาวุธป้องกันตัวแม้แต่ชิ้นเดียว...
สถานที่ที่พวกเขาจะไปก็คือเกาะกลางทะเล ถือว่าเป็สถานที่ที่อันตรายมาก ต่อให้เป็สำนักทั่วไปในแถบทะเลอูไห่ หากส่งศิษย์เข้าไป อย่างน้อยก็ต้องมอบอาวุธให้ป้องกันตัวบ้าง ต่อให้ไม่ใช่อาวุธหยินฝูหรือหยางฝู ก็จะต้องเป็อาวุธที่มีมนต์สะกดสักเก้าถึงสิบสายไม่ใช่หรือ?
และอีกอย่างก็คือ...
‘พิจารณาจากคลื่นพลังปราณแล้ว ดูเหมือนว่าเ้านี่จะเป็ผู้บำเพ็ญกระบี่...’
‘แล้วไหนกระบี่เล่า?’
‘เป็ผู้บำเพ็ญกระบี่ แต่กลับไม่มีกระบี่เนี่ยนะ?’
‘นี่ไม่ใช่แค่ยากจนอย่างเดียวแล้วล่ะ...’
บ้าชะมัด ซวยจริงๆ เดิมทีคิดจะหาคนมาช่วยแท้ๆ แต่ที่ไหนได้กลับมีตัวถ่วงมาเพิ่ม สงสัยตอนที่ลงเรือจะต้องหาข้ออ้างเพื่อไล่ไปให้ได้แล้วล่ะ จากนั้นค่อยหาผู้บำเพ็ญมิ่งหุนขั้นสี่ขั้นห้ามาช่วยเพิ่ม...
เมื่อคิดได้ดังนั้นเกาชิวก็หันมามองหลินเฟยด้วยหางตาอีกครั้ง
“จริงสิ แล้วเ้าชื่ออะไร?”
“หลินเฟย...” หลินเฟยได้ยินคำถามของอีกคนก็ลูบจมูกน้อยๆ ก่อนจะตอบออกมา
“ดี หลินเฟยใช่ไหม เห็นแก่หน้าเว่ยฟงแล้วกัน เ้าจะตามมาก็ได้ แต่ขอเตือนไว้ก่อนเลยนะ ห้ามก่อเื่เด็ดขาด...”
“แน่นอนๆ...” ถึงอย่างไรหลินเฟยก็เพียง้าคนนำทางเท่านั้น จึงไม่คิดเื่มากอะไร ทำเพียงตอบรับด้วยใบหน้ายิ้มแย้มเท่านั้น...
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------