บทที่ 146 การเปลี่ยนแปลง
“ได้ อวิ๋นเอ๋อร์ พี่เชื่อเ้า”
ดวงตาอันอ่อนโยนของฉู่ซินเหยากะพริบเบาๆ เปล่งประกายจางๆ จมูกของนางโด่งรับกับใบหน้า นางเม้มริมฝีปากเล็กน้อย
“เอ่อ...พี่หญิง ท่านดูไม่ค่อยดีนัก ดูแลตัวเองด้วย และท่านไม่ต้องกังวล ทุกเื่ข้าจะจัดการเอง” ฉู่อวิ๋นพูดเบาๆ ด้วยสายตาจริงจัง
"อืม~” ฉู่ซินเหยาพยักหน้าเบาๆ ใบหน้าของนางเปลี่ยนเป็เขินอาย นางยกมือหยกขึ้นโดยไม่รู้ตัว อยากจะเอื้อมมือไปบีบหน้าของฉู่อวิ๋น
แต่ก่อนจะได้ทำตามใจคิด นางก็หยุดความคิดนี้ไว้และกัดริมฝีปากิย่างไม่พอใจ
ที่นี่อันตรายเกินไป การกระทำที่ดูคล้ายสนิทสนมจะถูกเห็นเข้าโดยง่าย
“พี่หญิง ท่านต้องระวังตัวด้วย ข้าจะรอข่าวดีจากท่าน” ฉู่อวิ๋นพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มลึก ดวงตาฉายแววตำหนิตนเอง
เดิมทีเขาไม่้าให้ฉู่ซินเหยาเข้ามาเกี่ยวข้องเพราะมันอันตรายเกินไป แต่ตอนนี้เขาไม่มีทางเลือกอื่นจึงต้องตัดสินใจทำเช่นนี้
เขาคนเดียวที่ต้องต่อสู้กับกองกำลังใหญ่หลายกองกำลัง หรือแม้แต่ต้องเผชิญหน้ากับครอบครัวตัวเอง เื่เช่นนี้ต้องระวังทุกขั้นตอน
อาจกล่าวได้ว่า ตอนนี้ฉู่อวิ๋นไร้ญาติ ไร้อาจารย์ ไร้สำนัก อาศัยเพียงโชคช่วย หยาดเื และความกล้าหาญ ยากที่เขาจะสู้เพียงลำพังได้ถึงตอนนี้
พึงรู้ว่า ยังไม่ถึงครึ่งปีดีที่ฉู่อวิ๋นปลุกิญญายุทธ์นั้น หากเขาออกอาละวาดด้วยความสะใจเพียงอย่างเดียว เขาคงตายไปนานแล้ว
“คุณหนูเ้าคะ” ในเวลานี้ มีสาวใช้เข้ามา ดวงตาของฉู่อวิ๋นหรี่ลง เขารีบบอกให้โยวกู่จือถอนปราการจิตออก
เห็นได้ชัดว่าผู้หญิงคนนี้เป็ผู้ฝึกยุทธ์ หากนางค้นพบสิ่งแปลกๆ เข้าคงไม่ดีสักเท่าไร
“คุณหนูเ้าคะ ท่านผู้นำบอกว่าท่านคุยกันนานเกินไปแล้ว รีบกลับเถอะเ้าค่ะ” สาวใช้พูดอย่างเ็าโดยไม่แสดงสีหน้า
“ข้ารู้แล้ว ประเดี๋ยวเล่นเพลงเสร็จข้าจะกลับ”
หลังจากที่สาวใช้จากไป โยวกู่จื่อก็ใช้ปราการจิตอีกครั้ง ขณะนี้ ฉู่อวิ๋นมีสีหน้าเศร้าหมองและแอบถอนหายใจอย่างเงียบๆ
ทั้งๆ ที่พวกเขาทั้งคู่มีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดที่สุด แต่ตอนนี้เพียงแค่พูดคุยกันยังต้องเก็บเป็ความลับ
เมื่อเห็นท่าทางหดหู่ของฉู่อวิ๋น ฉู่ซินเหยาก็เบนสายตากลับมาแล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ทำตัวดีๆ ล่ะ ไม่ต้องกังวล พี่อยู่ที่นี่กินดีอยู่ดี มีเพียงอิสระที่ถูกจำกัด”
“อืม” ฉู่อวิ๋นพยักหน้า แต่หมัดของเขาที่ซ่อนอยู่ใต้โต๊ะหินกลับกำแน่นอย่างเงียบๆ
เขา้าความแข็งแกร่ง!
“อวิ๋นเอ๋อร์ พี่กำลังจะเล่นเพลงโปรดของเ้าให้ฟัง ฟังจบแล้ว... เ้าก็ควรกลับไปก่อน นี่ก็เริ่มสายแล้ว”
ขณะที่พูด ฉู่ซินเหยาก็ยิ้มน้อยๆ จากนั้นก็ยื่นมือหยกที่เรียบเนียนและขาวสว่างออกมาวางบนกู่ฉินเซวียนมู่ ดีดสายแล้วบรรเลงเพลงที่นุ่มนวลและผ่อนคลายหนึ่งบทเพลง
และเพลงที่อ่อนโยนและผ่อนคลายนี้ฉู่อวิ๋นเคยได้ยินเมื่อครั้งที่เขาปลุกิญญายุทธ์กระบี่บาป์
ท่วงทำนองที่ไพเราะและเสียงอันศักดิ์สิทธิ์นี้ ทำให้ฟ้าดินสั่นะเื
ณ ที่นั้นเงียบสงบ มีแสงเรืองรอง เต็มไปด้วยความมีชีวิตชีวา และต้นกล้วยไม้อันเขียวชอุ่ม
ฉู่อวิ๋นหลับตาฟังอย่างตั้งใจ ด้วยกลัวว่าจะพลาดเสียงใดไป
เพราะนี่เป็เพลงที่พี่ซินเหยาบรรเลงให้เขาโดยเฉพาะ เขาต้องตั้งใจฟังอย่างสุนทรีย์
“ติ้ง——”
เสียงเพลงของกู่ฉินยังคงอยู่ในโลกใบเล็กนี้
ลึกลับและไร้ตัวตน ชวนฝันและสวยงาม
คลื่นเสียงส่งข้ามความว่างเปล่าและเข้าไปในหว่างคิ้วของฉู่อวิ๋น
เข้าไปในกระบี่บาป์
ในขณะที่ฉู่อวิ๋นยังไม่รู้ตัว ในโถงกระบี่แปดบัญชรก็มีเสียง์ดังก้องไม่รู้จบ
ใน่เวลาหนึ่ง ตราประทับของประตูบานที่สองที่เปิดค้างไว้ครึ่งหนึ่งดูเหมือนจะคมชัดขึ้นเล็กน้อย เสียง์ที่ได้ยินนั้นก็ผ่านเข้าไป
นี่คือทะเลแห่งดวงดาวอันกว้างใหญ่ โดดเดี่ยวไร้จุดสิ้นสุด ประกายแวววาวไร้ตัวตน
ในสมุทรดารา โลงศพแขวนลอยกลางอากาศอย่างเงียบๆ ราวกับว่ามันเป็เรือกระดาษชั่วนิรันดร์ที่ลอยน้ำอยู่ตลอดเวลา
ทันใดนั้น เสียงดนตรีก็มาตกลงบนพื้นผิวโลงศพ จากนั้นก็หายไปพร้อมกับเสียง “ปุ๊บ”
จากนั้น โลงศพก็ดูเหมือนจะตอบสนอง มันดูดซับพลังงานของเสียงดนตรี และค่อยๆ เรืองแสงเป็ประกาย ความมหัศจรรย์ผลิบานออกมา ทำให้สถานที่นั้นสว่างไสวราวกับกลางวัน
ร่องรอยของหมอกที่ล้นกระจายออกมาจากโลงศพ มีพลังชีวิตอันทรงพลัง เสียงอันศักดิ์สิทธิ์ดูลึกลับอย่างไร้ขอบเขต
ด้วยเสียง “กริ๊ก” ฝาโลงศพดูคล้ายจะคลายออกเล็กน้อย หมอกแสงสีทองปกคลุมมากขึ้นเรื่อยๆ
สถานที่แห่งนี้ช่างชวนฝันและพร่ามัว ราวกับว่ามันเพิ่งเปิดออกและวุ่นวายอย่างยิ่ง
มีบางอย่างกำลังตื่นขึ้น
ในเวลานี้ บทเพลงบรรเลงไปแล้วกว่าครึ่ง และแม้ว่าฉู่ซินเหยาจะยังคงเล่นอยู่ แต่ดวงตาอันอ่อนโยนของนางกลับแอบมองไปที่ฉู่อวิ๋น โดยมีรอยยิ้มจางๆ ประดับไว้ที่มุมปาก
คราแรกที่นางอยู่ที่ศาลากลางทะเลสาบ และได้รู้ข่าวว่าฉู่อวิ๋นจากไปแล้ว นางเต็มไปด้วยความโศกเศร้าและโกรธแค้นจนอยากจะฆ่าตัวตายตามไป
แต่ไม่คิดว่าตอนนี้ นางจะนั่งอยู่ที่นี่กับฉู่อวิ๋น คนหนึ่งบรรเลงฉิน คนหนึ่งฟังดนตรี
“คงจะดีไม่น้อยหากเป็แบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ…” ฉู่ซินเหยาลอบถอนหายใจ
ในที่สุด หลังจากบรรเลงท่อนนี้เสร็จ สาวใช้ก็มาตามนางอีกครั้ง ทั้งคู่ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องกล่าวคำอำลา
“พี่ซินเหยา ข้าจะต้องช่วยท่านแน่นอน รอข้านะ!”
“ได้~ พี่เชื่อเช้า”
ทันทีที่คำพูดนั้นจบลง ทั้งคู่ก็มองหน้ากันอย่างลึกซึ้งอีกครั้ง จากนั้นฉู่อวิ๋นก็กัดฟันหันหลังและจากไป
ในตอนเย็น ฟากปีกของจวนตระกูลเสวี่ย
“ผู้าุโ ท่านรู้หรือไม่ว่าที่ใดในเมืองชุยเสวี่ยที่วุ่นวายที่สุดบ้าง?” ฉู่อวิ๋นเดินไปรอบๆ ห้องอย่างกังวลและสับสน
“เ้าบ้าไปแล้วหรือ? ตอนที่ข้ายังมีชีวิตอยู่ เมืองชุยเสวี่ยนี่อาจเป็เพียงหมู่บ้านเล็กๆ อยู่ก็ได้ ข้าจะไปรู้ได้อย่างไร?”
โยวกู่จือพูดอย่างโกรธๆ หลังจากที่ลองคิดดูเล็กน้อยก็พูดว่า “แต่จากประสบการณ์ของข้า สถานที่ที่สะดุดตาที่สุดในเมืองมักจะเป็ที่ที่ชอบมีความวุ่นวายเกิดขึ้น”
“ตัวอย่างเช่น”
“ตัวอย่างเช่น ขุมทรัพย์บางแห่งและเมืองบางแห่งจะถูกสร้างขึ้นรอบๆ อนุสาวรีย์”
“อีกอย่างข้าคล้ายจำได้ว่าเหมือนจะมีเมืองๆ หนึ่งในราชวงศ์เซี่ยตะวันออกที่สร้างขึ้นรอบๆ อนุสาวรีย์เทพอันมหึมาที่ตกลงมาจากท้องฟ้า สูงกว่าพันหมี่ น่ากลัวจะตาย” โยวกู่จือกล่าว
“ผู้าุโ ท่านรำลึกถึงอดีตไปก็ไม่มีประโยชน์หรอก ไม่ว่าจะมองอย่างไร เมืองชุยเสวี่ยก็ไม่มีสมบัติเช่นนั้น” ฉู่อวิ๋นถอนหายใจ
“ถ้าเช่นนั้น..." โยวกู่จือเงียบไปสักพักแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม “นี่นี่ ข้าเข้าใจแล้ว ที่จริงแล้วเราไม่จำเป็ต้องดึงดูดความสนใจก็ได้นะ ที่ใดที่มีนักรบที่แข็งแกร่งเพียงพอ ก็ก่อความวุ่นวายได้เช่นกัน”
“นั่นคือ...”
“ลานประลองยุทธ์!” โยวกู่จือพูดด้วยรอยยิ้ม “เ้าต้องรู้ว่าที่ลานประลองยุทธ์ย่อมมีนักรบจากทุกที่มารบราฆ่าฟันกันอยู่ตลอด ถ้าสามารถสร้างความวุ่นวายที่นั่นได้ ใครจะตีกับใครก็ไม่มีทางรู้”
“ความคิดดี!”
หลังจากได้ยินคำตอบนี้ ฉู่อวิ๋นก็ตัดสินใจจะพาฉู่ซินเหยาไปที่ลานประลองยุทธ์พร้อมกับพี่น้องตระกูลเสวี่ยเพื่อสร้างความปั่นป่วนสักครั้ง
นี่จะทำให้เขามีโอกาสตกปลาในน้ำขุ่นและหลบหนีจากความวุ่นวายได้!
หลังจากคิดเื่นี้ครั้งแล้วครั้งเล่า ฉู่อวิ๋นก็ตกลงใจกับกลยุทธ์นี้
จากนั้นเขาก็เริ่มนับสิ่งของที่ได้รับจากการแข่งขันยิงธนูในวันนี้
“นอกจากยาฟื้นชีพจร แร่มิติ และวัตถุดิบยาบางชนิด ที่เหลือล้วนเป็หินิญญา รวมแล้วมากกว่าหกแสนก้อน ซึ่งอาจจะซื้ออาวุธลึกลับระดับกลางได้!”
“พวกขี้แพ้พวกนั้นรวยนัก! หินิญญาหกแสนก้อน มูลค่าร้อยกว่าล้านเหรียญทอง! ถ้าไม่ฝึกฝนและใช้ชีวิตแบบเรื่อยเปื่อย แม้ขาจะหักก็ไม่ต้องกังวลอะไรแล้ว
ฉู่อวิ๋นหัวเราะและโยนทุกสิ่งในวงแหวนอวกาศออกมา
ตอนนี้ ทั้งห้องเต็มไปด้วยหินิญญาและสมบัติที่ใสสว่างราวกับคริสตัล ทำให้อารมณ์หนักอึ้งของเขาผ่อนคลายลง
“เ้ามีหินิญญาหกแสนกว่าก้อนก็ได้ใจถึงเพียงนี้? ช่างไร้เดียงสาจริงๆ~” โยวกู่จือกลายเป็จุดแสงเล็กๆ ลอยอยู่ในอากาศและพูดด้วยรอยยิ้ม
หลังจากนั้น ฉู่อวิ๋นก็เล่นกับแร่มิติอีกครั้ง มองซ้ายมองขวาและถามว่า “ก้อนใหญ่เช่นนี้ เอาไว้ใช้ทำวงแหวนอวกาศหรือ?”
โยวกู่จื่อบินไปตำหนิ “มารดามันเถอะ! แร่มิติแสนบริสุทธิ์เช่นนี้เอาไปใช้สร้างวงแหวนอวกาศหรือ? สมองของเ้าติดอยู่ที่ประตูหรืออย่างไร?”
“ก็ข้าไม่ใช่นักหลอมศาสตรา ข้าจะไปรู้ได้อย่างไร?” ฉู่อวิ๋นเหล่ไปที่จุดแสงเล็กๆ และดุอย่างเ็า
“เช่นนั้นข้าจะบอกให้ฟัง!” โยวกู่จือลอยไปรอบๆ และอธิบายว่า “แร่มิตินั้นสามารถใช้สร้างวงแหวนอวกาศได้ นี่เป็เื่จริง แต่โดยทั่วไปแล้วแร่มิติที่บริสุทธิ์นี้มักใช้สร้างเป็ประตูส่งผ่าน หรือไม่ก็เป็สมบัติล่องฟ้าขนาดใหญ่”
“เช่นนั้นก้อนเล็กๆ นี่จะมีประโยชน์อะไร?” ฉู่อวิ๋นมองแร่ผลึกใสบนฝ่ามืออย่างรังเกียจ
“แสนล้านประโยชน์!” โยวกู่จือพูดด้วยท่าทีเทศนา “ต้องรู้ว่า การที่ผู้ฝึกยุทธ์ทะลวงสู่ขั้นพื้นพิภพได้จะสามารถเดินเหินบนอากาศได้ชั่วครู่ แต่ถ้าพวกเขา้าลอยอยู่บนฟ้าได้จริงๆ จำต้องทะลวงไปสู่ขั้นเทียมฟ้าเท่านั้น”
“และแร่มิติก้อนเล็กๆ นี่ สามารถมอบให้กับผู้หลอมอาวุธนำไปสร้างเป็อาวุธมิติ เพื่อให้นักรบใช้มันบินบนฟ้าได้ในระยะทางสั้นๆ”
“ทรงพลังเช่นนั้นเชียว?” ดวงตาของฉู่อวิ๋นเบิกกว้าง ดูเหมือนว่าเขาจะได้รับสมบัติอันเหลือเชื่อมาอยู่ในเสียแล้ว
ดังนั้น ด้วยความอยากรู้อยากเห็น ฉู่อวิ๋นจึงวางฝ่ามือลงไปใกล้แร่มิติ ้าเห็นความลึกลับของสิ่งนี้
“ควับ--!!”
แต่ทันใดนั้นเอง ฉู่อวิ๋นก็รู้สึกเ็ปอย่างรุนแรงที่หน้าอกที่มีแสงสีทองเล็ดลอดออกมา มันร้อนลวกและส่องสว่างไปทั่วทั้งห้อง
“เจ็บ!”
ฉู่อวิ๋นรีบเปิดเสื้อขึ้นมอง เห็นเพียงลายสลักที่เสี่ยวหวงสร้างขึ้นกำลังสั่นไหวและส่องแสง
“เกิดอะไรขึ้น?”
“เร็วเข้า! รีบโยนแร่มิติเข้าไปในอกเร็ว!”
“โยน?! โยนอย่างไร?! โยนทำไม?”
“เชื่อข้า! เร็วเข้า! นี่... นี่คงจะเป็เ้าสัตว์ปีศาจตัวน้อยนั่นที่เรียกร้องแร่มิติ มันอาจจะ้าใช้สิ่งนี้ฟื้นฟูพลังของมัน!”
เมื่อได้ยินคำพูดนั้น ฉู่อวิ๋นก็ไม่ลังเลอีกต่อไป ในเมื่อตอนนี้มีความหวังที่จะช่วยเสี่ยวหวงได้แล้ว อาวุธไร้สาระนั่นเขาก็ไม่อยากมีอีก
“ควับ!”
ฉู่อวิ๋นพยายามวางแร่มิติไว้ใกล้กับหน้าอก มองเห็นแสงสีทองส่องประกายอยู่กลางอากาศ ทันใดนั้น แร่มิติก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย แสงนั่นก็เริ่มสลัว และห้องก็กลับมาสงบอีกครั้ง
“ไม่มีการตอบสนองหรือ? เสี่ยวหวงกำลังจะฟื้นขึ้นมาไม่ใช่หรือ?” เมื่อมองดูลายอักษรสีเข้มบนหน้าอก ฉู่อวิ๋นก็รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมา
“จิ๊ดจิ๊ด~”
แต่ในยามนี้ เสียงร้องของสัตว์ที่ชัดเจนและสุขสันต์ก็ดังขึ้นในใจของฉู่อวิ๋น และหายไปหลังจากชั่วขณะหนึ่ง
นี่คือเสียงที่น่ารักของเสี่ยวหวง
“เสี่ยวหวง? นั่นเ้าใช่หรือไม่?”
ฉู่อวิ๋นถาม แต่หลังจากนั้นก็ไม่มีการตอบกลับ
“ผู้าุโ เสี่ยวหวงน่าจะฟื้นแล้วไม่ใช่หรือ? เหตุใดดูดซับแร่มิติเข้าไปแล้วยังไม่ฟื้นขึ้นมาอีก?”
“ข้าจะรู้ได้อย่างไร? อย่าคิดว่าข้าจะรู้ไปเสียทุกสิ่งนะเ้าเด็กสารเลว!” โยวกู่จือพูดด้วยความโกรธ
ทว่าเมื่อเห็นท่าทางเศร้าๆ ของฉู่อวิ๋น เขาก็อดใจไม่ไหว “นี่... บางทีแร่มิติอาจจะไม่พอ หากต่อไปมันได้แร่มิติเพิ่มขึ้นมา ไม่แน่ว่าอาจจะตื่นขึ้นมาก็ได้”
“เอาเถอะ ดูเหมือนว่าต่อไปคงต้องระวังกันสักหน่อยแล้ว”
ฉู่อวิ๋นถอนหายใจยาวและยอมรับความจริงข้อนี้
เ้าสัตว์ปีศาจตัวน้อยนี้มีความรักอันลึกซึ้งต่อเขา หากมันไม่ลากเขาเข้าไปในเสาเพลิงศักดิ์สิทธิ์ เขาคงตายไปนานแล้ว
“มีเพิ่มมาอีกหนึ่งภารกิจแล้ว” ฉู่อวิ๋นยิ้มอย่างขมขื่นและส่ายหัวเบาๆ