“พ่อบ้านหวัง!”
บ่าวรับใช้ต่างใ ก่อนจะรีบกรูกันเข้าไปช่วยประคองชายร่างกำยำผู้นั้นอย่างรวดเร็ว
ชายที่ถูกเรียกว่าพ่อบ้านหวังผู้นั้นทั้งใทั้งโมโห เขาคำรามออกมาอย่างเดือดดาลว่า “จัดการมันให้ข้า!”
หลังจากคนอื่นๆ ได้ยินดังนั้น พวกเขาต่างกระชับท่อนไม้และท่อนเหล็กในมือ ก่อนจะพุ่งตรงเข้าไปหามู่เฟิง
“เฮ้ๆ เสี่ยวเหยีย*ผู้นี้จะมาเล่นเป็เพื่อนพวกเ้าเอง!”
(*หมายถึงนายท่านที่อายุน้อย ใช้เรียกตัวเองเพื่อข่มคู่สนทนา)
ทันใดนั้น มู่ขวงที่มีรูปร่างสูงใหญ่ทัดเทียมกับพวกผู้ใหญ่กลุ่มนั้นก็ได้ปรากฏตัวขึ้น เขาเดินออกมาหยุดอยู่ตรงหน้ามู่เฟิง ก่อนจะพุ่งตัวเข้าหากลุ่มคนเ่าั้พร้อมกันกับอีกฝ่าย
วืด หมับ...!
ชายผู้หนึ่งเล็งไม้มายังศีรษะของมู่เฟิง แต่เด็กหนุ่มสามารถเคลื่อนหลบได้อย่างรวดเร็ว เขาใช้มือข้างหนึ่งจับไม้ท่อนนั้นเอาไว้ และใช้มืออีกข้างต่อยสวนไปยังใบหน้าของชายผู้นั้น
ผัวะ...!
สันจมูกของชายผู้นั้นถูกหมัดกระแทกอย่างแรง กระทั่งฟันยังหลุดออกมาหลายซี่ ทั้งยังมีเืไหลออกจากปากและจมูก
“ระวัง!”
ทันใดนั้นได้มีชายสองคนพุ่งเข้ามาจู่โจมมู่เฟิงจากฝั่งซ้ายและฝั่งขวาพร้อมกัน เด็กหนุ่มที่เพิ่งถูกซ้อมไปก่อนหน้าจึงร้องอุทานออกมาด้วยความใ ทว่าใบหน้าของมู่เฟิงยังคงนิ่งสงบไร้ซึ่งการเปลี่ยนแปลง เขาเพียงถอยออกไปครึ่งก้าวเพื่อหลบหลีก ก่อนที่สองมือของเขาจะคว้าท่อนเหล็กสองท่อนไว้พร้อมกัน จากนั้นเท้าของเขาได้เตะอัดไปยังร่างของคนทั้งคู่จนคนพวกนั้นลอยกระเด็นออกไปไกล และไม่อาจลุกขึ้นมาได้อีก
วรยุทธ์ของมู่ขวงนั้นอยู่ในระดับทงม่ายขั้นเก้า แน่นอนว่าพละกำลังของเขาย่อมแข็งแกร่งกว่าคนเหล่านี้มาก เด็กหนุ่มชกหมัดไปยังอกของชายผู้หนึ่ง ชายผู้นั้นกรีดร้องโหยหวนออกมา กระดูกทรวงอกของเขาแตกร้าว ส่วนร่างของเขาก็ปลิวออกไปไกลกว่าสิบเมตร พร้อมกับกระอักเลือกออกมาทันที
เวลาผ่านไปเพียงไม่กี่อึดใจ เหมือนว่ากลุ่มบ่าวรับใช้ที่มีจำนวนมากกว่าสิบคนจะถูกเด็กหนุ่มทั้งสองไล่ทุบตีจนต้องคลานไปกับพื้น ลุกขึ้นไม่ได้อยู่ครึ่งค่อนวัน
“ช่างร้ายกาจนัก”
“จุ๊ๆ เหมือนว่าคุณชายทั้งสองท่านนี้จะอายุเพียงสิบห้าสิบหกปีเท่านั้น แต่กลับแข็งแกร่งมากถึงเพียงนี้เชียว”
“ดูจากเสื้อผ้าที่พวกเขาสวมใส่แล้ว เหมือนว่าจะไม่ใช่คนแถวนี้ บางทีอาจจะเป็บุตรหลานตระกูลใหญ่จากในเมืองก็ได้”
แขกบางส่วนในโรงเตี๊ยมเดินออกมาชมฉากครึกครื้นเมื่อครู่ แต่ละคนต่างมองไปยังเด็กหนุ่มทั้งสองด้วยสายตาชื่นชมและประหลาดใจ
“พะ พวกเ้ารอข้าก่อนเถอะ ไป!”
ชายร่างกำยำตัวสั่นด้วยความกลัว ทว่าเขายังกล่าวคำทิ้งท้ายเอาไว้ จากนั้นกลุ่มของพวกเขาก็รีบร้อนถอยล่นกลับไปด้วยความอับอาย
“พี่เฟิง ท่าน ความแข็งแกร่งของท่าน...”
มู่ขวงมองมู่เฟิงอย่างประหลาดใจ
มู่เฟิงยิ้มบางก่อนจะกล่าวว่า “พี่เฟิงของเ้าไม่ใช่คนโง่ หากไม่สามารถฝึกวรยุทธ์ได้ ข้าจะตกปากรับคำเดิมพันได้อย่างไรเล่า”
“ฮ่าๆ ข้าว่าแล้ว คนพวกนั้นนั่นแหละที่มองผิดไป”
มู่ขวงยิ้มกว้าง
“สักวันหนึ่ง พี่เฟิงต้องได้หวนคืนสู่เมืองหลวงแน่ ข้าเชื่ออย่างนั้น”
“ฮ่าๆ ไม่ใช่แค่ข้าสิ เป็พวกเราต่างหาก”
ทั้งสองต่างมองหน้าและส่งยิ้มให้กัน
“เอ่อ ขอบคุณพวกเ้าทั้งสองมาก”
ทันใดนั้นเด็กหนุ่มอีกคนก็เดินเข้ามาขอบคุณคนทั้งสอง แต่หลังจากเด็กหนุ่มผู้นั้นได้เห็นว่าอีกฝ่ายแต่งกายด้วยเสื้อผ้าดูดีและมีพละกำลังที่แข็งแกร่ง ั์ตาของเด็กหนุ่มก็เผยให้เห็นถึงร่องรอยของความเศร้า
พวกเขาล้วนเป็คนเหมือนกัน อายุไล่เลี่ยกัน แต่ประสบการณ์ชีวิตช่างต่างกันราวฟ้ากับดิน
“เ้าหนู เ้ายังดูเด็กนัก ทำเช่นนี้ไม่ใช่เื่ดี เหตุใดเ้าต้องขโมยของด้วยเล่า”
มู่ขวงมองเด็กหนุ่มผู้นั้นด้วยท่าทางรังเกียจเล็กน้อย เขาไม่ชอบคนนิสัยขี้ขโมยแบบนี้เลย
“เฮอะ อย่างเ้าจะไปเข้าใจอะไร หากไม่ขโมยก็ต้องอดตาย เพราะภัยาทำให้เด็กอย่างพวกข้าต้องกำพร้าบิดามารดา เด็กที่มาจากตระกูลร่ำรวยเช่นพวกเ้าไม่มีทางเข้าใจหรอก”
เมื่อเด็กหนุ่มมองเห็นความรังเกียจจากสายตาของมู่ขวง ความรู้สึกดีของเขาก็พลันหายไปทันที
“ไร้บิดามารดา...”
มู่เฟิงอดไม่ได้ที่จะหรี่ตาลงเมื่อได้ยินคำกล่าวนั้น เขาเองก็ไร้บิดามารดา แต่ชีวิตความเป็อยู่ของเขานั้นดีกว่าเด็กหนุ่มผู้นี้มาก ต่อให้เขาจะกลายเป็เศษสวะไร้ค่า แต่ด้วยสถานะของเขาแล้ว อย่างไรเขาก็ไม่มีวันตกต่ำจนต้องขโมยของเพื่อแลกอาหาร
“เ้าชื่ออะไร?”
มู่เฟิงเอ่ยถามทันที
“ไป๋จื่อเยว่”
เด็กหนุ่มกล่าวตอบ
“ไป๋จื่อเยว่... เ้าเอาเงินนี้ไปเถอะ ต่อไปอย่าได้ขโมยของอีก”
มีแสงส่องประกายบนนิ้วมือของมู่เฟิง ฉับพลันนั้นถุงเงินของเขาได้ปรากฏขึ้น ก่อนที่เขาจะยัดมันใส่มือของไป๋จื่อเยว่
ไป๋จื่อเยว่รับเอาถุงเงินที่มีน้ำหนักมากมาด้วยความตกตะลึง
มู่เฟิงกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ข้าเองก็เหมือนกับเ้า เพียงแต่ภูมิหลังของข้าอาจจะดีกว่าเ้าหน่อย จื่อเยว่ แม้ชาติกำเนิดจะเป็สิ่งที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ แต่อนาคตล้วนอยู่ในมือของตัวเ้าเอง ในฐานะลูกผู้ชาย ต่อให้ไม่อาจมีจิตใจที่เด็ดเดี่ยวและแน่วแน่ได้ แต่อย่างน้อยก็ไม่ควรทำตัวราวกับหนูข้างถนน”
มู่เฟิงยกยิ้มพลางตบบ่าของเด็กหนุ่มที่อายุไล่เลี่ยกันกับเขา ก่อนจะหันหน้าจากไป เดินเข้าโรงเตี๊ยมพร้อมกับมู่ขวง
“เมื่อครู่ข้ากล่าวหนักเกินไป ต้องขออภัยเ้าด้วย”
ก่อนมู่ขวงจะจากไป เด็กหนุ่มได้ปลดถุงเงินออกจากเอว แม้ถุงเงินของเขาจะไม่หนักเท่าของมู่เฟิง แต่ภายในยังมีแหวนเฉียนคุน เด็กหนุ่มยัดถุงเงินใส่มือไป๋จื่อเยว่และตบลงบนบ่าของอีกฝ่าย ก่อนจากไปพร้อมกับมู่เฟิง
เมื่อเปิดดูถุงเงินในมือ เด็กหนุ่มไป๋จื่อเยว่ก็พบว่ามันเต็มไปด้วยเหรียญตำลึงทอง ถุงเงินสองถุงนี้มีมูลค่าเทียบเท่ากับรายได้หลายปีของคนธรรมดาเลยทีเดียว
“แม้ชาติกำเนิดจะเป็สิ่งที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ แต่อนาคตล้วนอยู่ในมือของตัวเอง...”
ไป๋จื่อเยว่มองตามแผ่นหลังของมู่เฟิงขณะพึมพำคำกล่าวนี้ ดวงตาของเขาทอประกายฉายแววสลับซับซ้อน เด็กหนุ่มกำหมัดแน่น ก่อนจะเดินตามอีกฝ่ายเข้าไป
“ไอหยา เ้าเด็กนั่นช่างน่าสงสารนัก”
มู่ขวงยังคงกล่าวถึงไป๋จื่อเยว่
“ใต้หล้านี้ยังมีคนที่น่าสงสารอีกมากมาย มีเพียงแค่การทำให้ตัวเองแข็งแกร่งและมีกำลังมากพอเท่านั้น จึงจะไม่กลายเป็คนที่น่าสงสาร”
มู่จงกล่าวพลางกระดกเหล้าเข้าปาก สถานการณ์เมื่อครู่เป็เพียงเหตุเล็กๆ น้อยๆ แน่นอนว่าเขาไม่จำเป็ต้องเคลื่อนไหว
“ถูกต้อง หากพวกเราไม่พยายามให้หนัก สักวันหนึ่งเราอาจกลายเป็คนที่น่าสงสารเช่นกัน”
มู่เฟิงกล่าวด้วยความรู้สึกแบบนั้นจริงๆ
"เอ่อ... คือ ข้าอยากติดตามเ้า..."
ในเวลาเดียวกันนั้น ไป๋จื่อเยว่ที่เดินตามมู่เฟิงเข้ามา ก็กล่าวความ้าของตัวเองออกมาตามตรง
“หื้อ ติดตามข้า?”
มู่เฟิงตกตะลึง
“ถูกต้อง ข้าเองก็อยากเก่งกาจเหมือนอย่างพวกเ้า ช่วยสอนข้าได้หรือไม่? ข้าสามารถช่วยพวกเ้าทำงานได้สารพัดเลย ส่วนนี่เงินของพวกเ้า”
ไป๋จื่อเยว่วางถุงเงินสองถุงที่อีกฝ่ายมอบให้ไว้บนโต๊ะ
“เ้า้าจะติดตามข้า? เหอะๆ เ้าคิดดีแล้วหรือ หากติดตามข้าชีวิตของเ้าอาจตกอยู่ในอันตราย แต่หากเ้า้าจะแข็งแกร่งขึ้น เ้าจะต้องพยายามและแลกมันมาด้วยแรงกายแรงใจ ไม่ใช่แค่พูดปากเปล่าเท่านั้น”
มู่เฟิงหัวเราะ
“ข้าสามารถทนลำบากได้ เ้าเป็คนบอกเองว่าอนาคตล้วนอยู่ในมือของตัวเอง ข้าไม่้าเป็ขโมยเหมือนหนูข้างถนน”
ไป๋จื่อเยว่ยังคงกล่าวอย่างยืนหยัดด้วยความมุ่งมั่น
“เช่นนั้นเ้าต้องแสดงให้ข้าเห็นว่าเ้ามีคุณสมบัติมากพอที่จะติดตามข้าหรือไม่ ท่านอาจง”
มู่เฟิงพยักหน้า มู่จงพลันเข้าใจความหมายในทันที เขาหยัดกายลุกขึ้นจากเก้าอี้ และเดินไปวางมือข้างหนึ่งลงบนหัวของไป๋จื่อเยว่ ก่อนจะส่งคลื่นพลังชีวิตสีน้ำเงินให้ไหลเข้าสู่ร่างกายของเด็กหนุ่ม
ไป๋จื่อเยว่รู้สึกราวกับกำลังมีกระแสน้ำไหลเวียนอยู่ภายในร่างกายของตน
หลังจากนั้นไม่นาน มู่จงได้พยักหน้าและกล่าวว่า “เขามีปราณกระดูก เพียงแต่ไม่ทราบว่าอยู่ขั้นใด เอ๊ะ ช้าก่อน!”
ฉับพลันนั้นสีหน้าของมู่จงพลันเปลี่ยนไป ก่อนที่เขาจะรีบชักมือออกทันที คลื่นพลังชีวิตที่เขาส่งเข้าไปในร่างของไป๋จื่อเยว่เมื่อครู่ เหมือนว่ามันจะถูกอีกฝ่ายดูดซับไปบางส่วน!
มู่จงมองไป๋จื่อเยว่ด้วยความใ ส่วนเด็กหนุ่มมองมายังเขาด้วยความสงสัยใคร่รู้
“เฮ้ เหตุใดเ้าจึงมองข้าเช่นนี้ล่ะ”
ไป๋จื่อเยว่ขมวดคิ้ว
“ท่านอาจง มีอะไรงั้นหรือ?”
ด้านมู่เฟิงก็งงงวยไปด้วยเช่นกัน
“คุณชาย เด็กหนุ่มผู้นี้ดูเหมือนจะไม่ง่ายเลย”
มู่จงเหล่ตามองพลางกระซิบกับมู่เฟิง จากนั้นเขาได้เดินไปจับมือของไป๋จื่อเยว่ก่อนส่งคลื่นพลังชีวิตเข้าสู่ร่างกายของเด็กหนุ่มอีกครั้ง แน่นอนว่าครั้งนี้พลังชีวิตของเขาถูกเด็กหนุ่มดูดซับไปอีกเช่นกัน แม้จะเป็เพียงปริมาณเล็กน้อย แต่มันก็เกิดขึ้นจริง
“เ้าช่างประหลาดนัก”
ขณะนั้นไป๋จื่อเยว่ได้ดึงมือของตนกลับ ก่อนหันไปมองทางมู่เฟิง
หลังเห็นมู่จงพยักหน้า มู่เฟิงจึงกล่าวขึ้นว่า “เอาละ จากนี้เ้าคือผู้ติดตามของข้า แต่หากเ้าอยากแข็งแกร่ง เ้ายังต้องพยายามให้มาก จะต้องใช้ความพยายามเป็อย่างมาก เ้าเตรียมตัวพร้อมหรือยัง?”
“ฮ่าๆ น้องเล็กคารวะพี่ใหญ่ ข้าพร้อมแล้ว”
ไป๋จื่อเยว่คุกเข่าข้างหนึ่งให้กับมู่เฟิงตามแบบฉบับของคนโบราณ
ซึ่งนี่คือจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงโชคชะตาของเทพสังหารแห่งยุค...