เจินจวงปี้มีสีหน้าซีดเผือดราวกับหมูที่กำลังจะโดนเชือด เขาตบโต๊ะจากนั้นก็ยืนขึ้น“เ้าอาศัยอะไรมาบอกว่าข้าผิด?”
เขามองไปยังอันเจิงด้วยสายตาเย็นเยียบ “เ้ามันก็เป็แค่เด็กกำพร้าจากย่านหนานชานที่แม้แต่ข้าวก็ยังไม่มีจะกินแล้วเ้าไปรู้เื่พวกนี้ได้อย่างไร? น่าสงสัยนักเ้าคง้าจะทำลายโลกมายาสินะ คนที่น่าสงสัยเช่นเ้าต้องรีบกำจัดโดยเร็วที่สุด”
อันเจิงไม่ได้มองไปที่เขาเลยสักนิด เพียงหันไปกระซิบที่ข้างหูจวงเฟยเฟย“ที่ดินแดนจี๋ชวีมีเผ่า์อยู่ ที่นั่นถูกเรียกว่าเป็ต้าชวีดินแดนลึกลับมีข่าวลือเกี่ยวกับลิขิตฟ้าอยู่มากมาย คาดว่าพวกเ้าก็คงจะเคยได้ยินมาบ้างบางคนในนั้นมีฐานะยากจนมาั้แ่เกิด ไม่ได้เล่าเรียน อ่านตำราไม่ออกเลยด้วยซ้ำแต่จู่ ๆ เมื่อหายจากการล้มป่วย พวกเขาก็มีความรู้มากมาย ทั้งยังล่วงรู้ไปถึงความลับในอดีตอีกด้วยเ้าว่าเื่เหล่านี้ประหลาดหรือไม่?”
เขาชี้ไปที่จมูกของตัวเอง “ในสำนักที่ย่านหนานชานข้าเคยถูกซ้อมจนเกือบตายแต่หลังจากสลบไป ข้าก็เห็นตำหนักขนาดใหญ่ที่ส่องแสงเรืองรองอยู่บนม่านเมฆเพราะเห็นว่าประตูตำหนักเปิดอยู่ ข้าจึงลองเดินเข้าไปดู พบว่าในตำหนักเต็มไปด้วยตำรามากมายตำหนักนั้นมีพื้นที่กว้างใหญ่มากที่สุดเท่าที่ข้าเคยเห็นเลยในนั้นมีผู้เฒ่าผมขาวอยู่คนหนึ่ง เขาบอกว่า หากไม่อ่านตำราทั้งหมดในนี้จนจบก็จะไม่ยอมให้ข้ากลับมา”
“ข้าสู้เขาไม่ได้จึงยอมนั่งอ่านตำราตามที่เขาบอกคิดไม่ถึงเลยว่าข้าจะสามารถอ่านได้เร็วเหลือเกินข้าอ่านเนื้อหาหนึ่งหน้าด้วยเวลาเพียงพริบตาเดียวเท่านั้น ทั้งยังมีความจำดีจนน่าอัศจรรย์เพียงอ่านผ่านตาก็จะไม่มีวันลืมอีก ข้ารู้สึกว่าตัวเองใช้เวลาหลายปีกว่าจะอ่านตำราพวกนั้นจนครบทั้งหมดแต่พอตื่นขึ้นมาอีกครั้งก็พบว่าตัวเองยังอยู่ในสำนักที่ย่านหนานชานอยู่เลย”
ผู้คนทั้งหลายนิ่งอึ้งไปตาม ๆ กันต่างก็เห็นว่าคำพูดของอันเจิงช่างน่าเหลือเชื่อจริง ๆ
เกาซานตัวมองไปยังตู้โซ่วโซ่ว “คือว่า...ดูเหมือนคำตอบของผู้นำนิกายอันจะเหลวไหลไปสักหน่อย”
ทว่าตู้โซ่วโซ่วกลับเชื่ออย่างสนิทใจ “ข้าอยู่ในเหตุการณ์ตอนนั้นด้วยเมื่ออันเจิงฟื้นขึ้นมาอีกครั้งเขาก็รู้ทุกอย่างแล้วจริง ๆ ดูสิแม้คำตอบจะน่าเหลือเชื่อไปสักหน่อย แต่ท่าทางของเขากลับจริงจังเป็อย่างมาก”
เกาซานตัวเริ่มคล้อยตาม “อืม...ก็จริง เขาดูจริงจังจริงๆ นั่นละ”
ผู้าุโหลิวเองก็พยักหน้าตาม “ข้าเองก็พอจะรู้เื่ของต้าชวีดินแดนลึกลับมาบ้างความจริงแล้ว สิ่งที่ผู้นำนิกายอันพูดมาก็น่าเชื่อถือจริง ๆ ไม่ใช่แค่ในต้าชวีดินแดนลึกลับหรอกนะแต่ที่เยี่ยนโยวสิบหกแคว้นก็มีคนแบบที่ผู้นำนิกายอันพูดจริง ๆ ตอนที่ข้าออกไปท่องเที่ยวใต้หล้าข้าก็เคยเจอคนแบบผู้นำนิกายอันถึงสองคนด้วยกัน พวกเขาน่าทึ่งจริง ๆน่าทึ่งจนไม่อาจหาคำใดมาสาธยายได้เลย”
ดูเหมือนผู้าุโหลิวจะมีตำแหน่งใหญ่โตไม่น้อยเพราะทันทีที่เขาพูดจบ คนอื่น ๆ ก็พูดสนับสนุนขึ้นมาทันที
เจินจวงปี้กล่าวด้วยความโมโห “พวกเ้าเชื่อเื่บ้าๆ นี้ด้วยรึ? เขาเป็ปีศาจชัด ๆ”
อันเจิงพูดตอบ “ทุกคนต่างก็รู้ดีว่า ต้องเป็เยาโซ่วที่มีพลังอยู่ในระดับสูงสุดหรือก็คือระดับสีม่วงขั้นสูงเท่านั้นจึงจะได้รับเทียนเจี๋ยและเมื่อผ่านเทียนเจี๋ยมาแล้วจึงจะกลายร่างเป็คนได้ในที่สุด...หากข้าเป็ปีศาจจริงๆ เ้าคงตายไปหลายร้อยครั้งแล้ว”
ทุกคนต่างก็รู้เื่ของเยาโซ่วหมัวโซ่วและจิงโซ่วเป็อย่างดี เป็เื่ยากนักหากสัตว์อสูรทั้งสามชนิดนี้จะกลายร่างเป็มนุษย์เพราะพวกมันต้องผ่านเทียนเจี๋ยมาให้ได้ก่อนนั่นเอง ซึ่งหากผ่านเทียนเจี๋ยมาได้แล้วพวกมันก็จะกลายเป็ยอดฝีมือที่มีพลังอยู่ในขอบเขตแห่ง์เป็อย่างน้อยอีกด้วย ในอดีตกาลที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบันยังไม่เคยได้ยินว่ามีสัตว์อสูรตัวไหนผ่านเทียนเจี๋ยแล้วกลายร่างเป็มนุษย์มาก่อนแน่นอนว่าต่อให้มีก็คงไม่มีใครรู้ ใครจะยืนยันได้เล่าว่ายอดฝีมือในขอบเขตแห่ง์ทั้งหลายในใต้หล้าเป็มนุษย์ทั้งหมดไม่ได้กลายร่างมาจากสัตว์อสูร
เจินจวงปี้ถูกอันเจิงถามกลับจนพูดไม่ออกไปแล้วเป็เวลานานกว่าเขาจะพูดขึ้นมาอีกครั้ง “ต่อให้เื่พวกนั้นจะเคยเกิดขึ้นกับเ้าจริงแล้วเ้าอาศัยอะไรมาพูดว่าข้าคิดผิด?”
อันเจิงชี้หน้าของตัวเอง “นายตัวใหญ่ รีบๆ หน่อยเถอะ เมื่อได้รับรางวัลจากเ้าแล้ว ข้ายังต้องไปตบหน้าผู้อื่นต่ออีก”
จวงเฟยเฟยเองก็มีนิสัยตรงไปตรงมา นางประทับจูบลงบนใบหน้าของอันเจิงหนึ่งครั้งจากนั้นจึงพูดขึ้น “ขอบคุณผู้นำนิกายอันที่มอบของขวัญให้”
อันเจิงหัวเราะเสียงดัง ท่าทางของเขาขณะะโลงมาจากเก้าอี้แลดูสง่างามเหลือเกินผู้คนรอบ ๆ ต่างก็ทอดถอนใจด้วยความอิจฉา พวกเขาต่างก็คิดในใจว่า...เ้าเด็กคนนี้จะจีบสาวทั้งทียังต้องขนเก้าอี้เข้ามาให้เสียเวลาอีกแต่เขาผู้นี้ช่างช่ำชองในด้านนี้จริง ๆ
อันเจิงเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าสิ่งของชิ้นที่หกจากนั้นก็ยกเตาหลอมโอสถขึ้นมาจากแท่นรอง “รองอาจารย์ใหญ่เจินตอบว่ามันเป็เตาหลอมโอสถผงหอมบอกตามตรง แค่เขาให้คำตอบแบบนี้ออกมาได้ก็ถือว่ายอดเยี่ยมมากแล้ว”
เจินจวงปี้กล่าวแย้ง “ก็มันเป็เตาหลอมโอสถผงหอมจริงๆ นี่ นักบวชที่มีคุณธรรมสูงส่งท่านหนึ่งแห่งเผ่า์ทางใต้สร้างมันขึ้นมาจากเถ้าหอมในกระถางธูปที่ห่างจากวัดฟ่าฉานสิบเมตรเถ้าของธูปพวกนั้นมีแรงอธิษฐานของผู้คนแฝงอยู่ อีกทั้งยังได้รับการผสมด้วยน้ำิญญาและถูกหลอมด้วยไฟอัคคีในวัดฟ่าฉานถึงได้เตาหลอมโอสถผงหอมนี้มาในที่สุด เตาหลอมโอสถนี้เดิมเป็สมบัติวิเศษในระดับสีขาวและสามารถใช้หลอมโอสถิญญาระดับสีขาวได้แต่จะใช้ได้เพียงสามสิบหกครั้งเท่านั้น หลังจากนั้นมันก็จะได้รับความเสียหายแล้วลดระดับลงกลายเป็เตาหลอมโอสถระดับสีเขียว”
อันเจิงส่ายหน้า “เ้าเล่าเื่ได้ถูกต้องแล้วแต่เ้านี่ไม่ใช่เตาหลอมโอสถผงหอมธรรมดา ๆ หรอกนะ และยิ่งไม่ใช่ระดับสีเขียวด้วย”
อันเจิงวางเตาหลอมโอสถลงในมือของจวงเฟยเฟยแรงๆ จากนั้นก็คารวะไปที่มัน “เก็บไว้ให้ดี เ้าสิ่งนี้ควรค่าแก่การเคารพ”
“เื่เกี่ยวกับเตาหลอมโอสถผงหอมในวัดฟ่าฉานที่รองอาจารย์ใหญ่เจินพูดเป็เื่จริงแต่มีสิ่งหนึ่งที่เขายังไม่รู้ นั่นก็คือในวัดฟ่าฉานมีนักบวชอยู่รูปหนึ่งเขาไม่รู้เื่การฝึกพลังวัตรเลยสักนิด แต่เขาคนนี้ฝักใฝ่ในพระธรรมทั้งยังรอบรู้เื่บทสวดต่าง ๆ มีความรู้กว้างขวางมาก ก่อนตายเขาเคยบอกความปรารถนาของตัวเองออกมาบอกว่ายินดีจะมอบร่างกายของตนเพื่อสร้างเตาหลอมโอสถผงหอมยี่สิบใบเพราะเขารู้ดีว่าแม้เตาหลอมโอสถผงหอมจะสามารถสร้างโอสถิญญาระดับสีขาวได้แต่ก็สามารถใช้ได้เพียงสามสิบหกครั้งเท่านั้น เขาหวังจะใช้ร่างกายของตนเพิ่มความทนทานให้กับเตาหลอมโอสถผงหอมเพื่อจะได้ใช้มันหลอมโอสถให้มากขึ้นและจะได้ช่วยคนเพิ่มมากขึ้นด้วย”
“ทุกคนต่างก็รู้ดีว่า การอุทิศตัวจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อร่างกายของนักบวชที่มีคุณธรรมสูงถูกเผาแล้วเท่านั้นแม้พวกเขาจะรู้สึกเคารพและยกย่องนักบวชรูปนี้มาก แต่กลับไม่มีใครคิดว่าจะทำได้จริงๆ เลยสักคน แต่คิดไม่ถึงเลยว่าหลังเผาร่างของนักบวชรูปนั้นลงแล้วอัฐิที่เหลือก็มีมากพอจะสร้างเตาหลอมโอสถผงหอมได้ยี่สิบใบพอดีนี่ไม่ใช่แค่เื่เล่า แต่มันเป็เื่ที่เคยเกิดขึ้นจริง ๆ พวกท่านลองดูที่ข้างเตาหลอมโอสถนี่สิจนถึงตอนนี้ยังสามารถมองเห็นไข่มุกเม็ดหนึ่งที่ฝังอยู่ในนี้ได้ราง ๆ เลย”
คนทั้งหลายพากันเข้าไปดูใกล้ ๆเป็จริงดังที่อันเจิงว่า มีรอยนูนอยู่จริง ๆ ด้วย
“เตาหลอมโอสถใบนี้สร้างขึ้นจากร่างกายของนักบวชรูปนั้น”
อันเจิงกล่าวต่อ “นี่เป็เตาหลอมโอสถระดับสีแดงต่อให้เอาเตาหลอมโอสถหลายใบก่อนหน้านี้มารวมกัน ก็ยังห่างชั้นกับเตาหลอมโอสถใบนี้มากเหลือเกินก่อนหน้านี้เคยมีคนบอกว่า จะจัดให้เตาหลอมโอสถที่ทำจากร่างกายของนักบวชรูปนั้นเป็ระดับสีทองเพื่อเป็การแสดงความเคารพและเป็เกียรติต่อนักบวช แต่ทางวัดฟ่าฉานกลับไม่เห็นด้วยนักบวชในวัดฟ่าฉานบอกว่าคนในเผ่า์ไม่้าชื่อเสียงแต่อย่างใด เพราะสำหรับพวกเขาแล้วชื่อเสียงที่ไม่มีตัวตนพวกนี้ก็ไม่ต่างไปจากหมอกควัน ที่ลอยผ่านมาและจะลอยหายไปในที่สุดดังนั้น หากมันเป็ระดับสีแดงก็ปล่อยให้มันเป็ระดับสีแดงเถอะ จะเลื่อนระดับให้เตาหลอมโอสถเพราะเคารพต่อนักบวชของเผ่า์ได้อย่างไร”
เกาซานตัวกล่าวด้วยท่าทางเคารพ “นักบวชของวัดฟ่าฉานช่างน่ายกย่องจริงๆ”
เขายกมือขึ้นคารวะเตาหลอมโอสถตรงหน้า
“เตาหลอมโอสถผงหอมเช่นนี้มีเพียงยี่สิบใบเท่านั้นแม้จะเป็เพียงระดับสีแดง แต่มันแฝงไปด้วยความหมายที่ลึกซึ้งเหลือเกิน ทางที่ดีเ้าอย่าขายมันออกไปเลยจะดีกว่าอย่าซื้อขายให้มันแปดเปื้อนเลย ไม่เช่นนั้นจะผิดต่อความปรารถนาของนักบวชรูปนั้นหากจะว่ากันด้วยเื่ความสามารถในการหลอมโอสถิญญาละก็ เตาหลอมโอสถระดับสีแดงอย่างไรเสียก็เป็ระดับสีแดงอยู่ดีจึงไม่อาจสร้างโอสถิญญาที่มีระดับสูงกว่าระดับสีแดงได้แต่หากจะพูดถึงคุณค่าของมันละก็...นี่ต่างหากที่เป็สมบัติล้ำค่าและมีราคาที่สุด”
อันเจิงพูดขึ้น “ไม่รู้เหมือนกันว่าตอนนี้ยังเหลือเตาหลอมโอสถผงหอมเช่นนี้อยู่กี่ใบหากสามารถเก็บเอาไว้ได้โรงจวี้ฉ่างก็เก็บเอาไว้เถอะ หากเื่นี้แพร่กระจายออกไปจะมีคนมากเท่าไหร่ก็ไม่รู้ที่เดินทางมาที่นี่เพราะมัน”
จวงเฟยเฟยพยักหน้า “เช่นนั้นข้าจะทำตามที่ผู้นำนิกายอันบอกเก็บเตาหลอมโอสถนี้เอาไว้...ไม่สิ เดี๋ยวข้าจะสั่งให้คนสร้างแท่นขึ้นมาใหม่แล้วตั้งเตาหลอมโอสถนี้เอาไว้บูชาที่กลางโถงเลยดีกว่า”
อันเจิงถอนหายใจออกมาเล็กน้อย ไม่รู้ทำไมจู่ ๆ เขาก็รู้สึกสลดใจแปลก ๆ เขาเดินไปนั่งจากนั้นก็มองไปที่เตาหลอมโอสถผงหอมแล้วกล่าวพึมพำขึ้นกับตัวเอง“นักบวชรูปนั้น้าจะช่วยชีวิตคนเท่านั้น และเตาหลอมโอสถผงหอมก็เป็ได้แค่เตาหลอมโอสถเท่านั้น”
การตรวจสอบรอบแรกจบสิ้นลงแล้วจวงเฟยเฟยรู้สึกเหนือความคาดหมายเหลือเกิน คิดไม่ถึงเลยว่าอันเจิงจะแยกเตาหลอมโอสถระดับสีขาวกับระดับสีแดงออกมาจากของทั้งหกชิ้นนี้ได้ความรอบรู้ของอันเจิงทำให้นางต้องมองเขาใหม่เลยทีเดียว ตอนนี้นางเริ่มเสียดายแล้วที่ไม่ได้รั้งอันเจิงเอาไว้เมื่อเทียบกับนักตรวจสอบสมบัติวิเศษในโรงจวี้ฉ่างแล้วอันเจิงก็ดูจะรอบรู้กว่ามากเลยทีเดียว
“วันนี้พอแค่นี้ก่อนเถอะข้ายังมีการแสดงเล็ก ๆ น้อย ๆ เพื่อต้อนรับทุกท่านต่อ พรุ่งนี้ขอให้ทุกท่านมาที่นี่อีกครั้งยังมีของอีกมากที่ต้องเชิญให้ทุกท่านตรวจสอบ อีกสักครู่ข้าจะจัดงานเลี้ยงขึ้นเพื่อทุกท่านหากท่านใดไม่อยากกลับไป คืนนี้จะพักกันในโรงจวี้ฉ่างก็ย่อมได้”
จวงเฟยเฟยโค้งตัวลงเล็กน้อยพลางกล่าวด้วยน้ำเสียงที่แฝงไปด้วยความตื่นเต้น
เตาหลอมโอสถผงหอมที่เป็ระดับสีแดงนั่นขายออกไปไม่ได้จริงๆ สำหรับจวงเฟยเฟยแล้ว นี่นับเป็สิ่งดึงดูดลูกค้าชั้นดี ก็อย่างที่อันเจิงพูด ไม่รู้ว่าคนมากเท่าไหร่ที่จะเดินทางมาที่นี่เพื่อมันเมื่อถึงตอนนั้น เ้าสิ่งนี้ก็จะมีมูลค่ามากขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อยกระดับราคาขึ้นไปจนสูงสุดแล้วไม่แน่ว่าอาจมีคนเอาสมบัติวิเศษระดับสีทองมาแลกกับมันก็เป็ได้ อีกอย่างลำพังแค่ที่เจอเตาหลอมโอสถระดับสีขาวเข้าโดยบังเอิญแค่นี้ก็คุ้มค่ากว่าที่คิดไปมากแล้ว
“เอามา”
อันเจิงยื่นมือไปที่จวงเฟยเฟย “ให้ข้าเถอะ”
จวงเฟยเฟยถาม “อะไรรึ?”
“ค่าตอบแทน”
จวงเฟยเฟยชะงักไปเล็กน้อยก่อนจะส่งประกายรอยยิ้มยั่วยวนออกมา“เมื่อครู่เ้าเพิ่งจะรับจูบจากข้าไปหยก ๆ แล้วยังให้ของขวัญกับข้าอีก แต่มาตอนนี้เพียงพริบตาเดียวก็มาเรียกร้องค่าตอบแทนจากข้าเสียแล้ว สิ่งที่ซ่อนอยู่ในจิตใจของเ้าเป็ความอ่อนโยนหรือหน้าเืกันแน่นะ?”
“นี่มันคนละเื่กันที่ข้าให้ของขวัญเ้าก็เพราะข้าอยากให้ แต่ค่าตอบแทนเป็สิ่งที่เ้าสมควรให้ข้าและข้าก็อยากได้เช่นกัน”
“เ้า้าค่าตอบแทนเท่าไหร่หรือ?”
“หากขายเตาหลอมโอสถทั้งหกใบในราคาของเตาหลอมโอสถระดับสีเขียวละก็พวกเ้าก็จะได้รับเงินมากถึงสามล้านตำลึงเลยทีเดียว หากดวงดี ลูกค้าอาจประมูลไปสูงถึงสี่ล้านตำลึงเลยก็ได้แต่มาตอนนี้ เตาหลอมโอสถหกใบนี้มีระดับสีขาวและระดับสีแดงที่มีมูลค่ามากจนไม่อาจประเมินได้อีกอย่างละหนึ่งใบ ของพวกนี้มีมูลค่ามากขนาดไหนเ้าก็น่าจะรู้ดีอยู่แก่ใจ ตามกฎแล้วแม้จะมีผู้เชี่ยวชาญด้านสมบัติวิเศษมามากกว่าสิบคนแต่มีเพียงข้าคนเดียวเท่านั้นที่ตรวจสอบมูลค่าที่แท้จริงของพวกมันได้ ดังนั้นเ้าจ่ายให้ข้าแค่คนเดียวก็พอแล้วตามหลักแล้วค่าตอบแทนของงานตรวจสอบสมบัติวิเศษ คิดเป็สองในสิบส่วนของราคาสมบัติวิเศษที่ตรวจสอบได้แล้วเ้าคิดว่าข้าสมควรได้รับค่าตอบแทนเท่าไหร่? แต่เห็นแก่หน้าเ้าบวกกับเราสองคนก็ถูกชะตากันไม่น้อยดังนั้น ข้าจะคิดค่าตอบแทนแค่สองในสิบส่วนของราคาเตาหลอมโอสถระดับสีขาวก็แล้วกัน”
“ข้าให้เ้าสามในสิบส่วนเลย”
จวงเฟยเฟยก้มตัวลง ร่องอกที่ขาวเนียนของนางจึงมาอยู่ในระดับสายตาของอันเจิง“แค่ผู้นำนิกายอันมาที่นี่บ่อย ๆ จะเท่าไหร่ก็ได้ทั้งนั้น”
“ข้ายังพูดไม่จบ หากพวกเ้าส่งเตาหลอมโอสถผงหอมใบนี้กลับคืนไปเป็ที่ระลึกให้วัดฟ่าฉานแล้วละก็นั่นจะสร้างชื่อเสียงให้ได้อย่างมหาศาลเลยทีเดียว คุ้มค่ากว่าการนำไปแลกกับสมบัติวิเศษระดับสีทองเสียอีกแต่ข้าคิดว่าโรงจวี้ฉ่างคงไม่ยอมทำแบบนั้นแน่ ดังนั้น คิดเสียว่าข้าแค่พูดไปอย่างนั้นก็แล้วกันเอาแบบนี้ หากข้าหาสมบัติวิเศษระดับสีแดงหรือของที่มีระดับสูงกว่านั้นให้ได้อีกเ้าต้องยกเตาหลอมโอสถผงหอมใบนี้ให้ข้า ว่าอย่างไร? หากในอนาคตโรงจวี้ฉ่างมีอะไรให้ช่วยข้าจะไม่ปฏิเสธเลย”
จวงเฟยเฟยนิ่งเงียบไปชั่วขณะ “ผู้นำนิกายอันข้าตัดสินใจเื่นี้คนเดียวไม่ได้ ให้เวลาข้าสักสองถึงสามวันได้หรือไม่?”
เจินจวงปี้ที่ยืนอยู่ด้านหลังพูดด้วยน้ำเสียงแดกดัน “แค่ดวงดี หาสมบัติวิเศษระดับสูงเจอแค่สองชิ้นก็ผยองจนลืมกาลเทศะไปเสียแล้วคิดว่าจะหาสมบัติวิเศษที่มีระดับสูงกว่าระดับสีแดงได้อีกงั้นรึ?เ้าคิดว่าตัวเองมีกงล้อเก้าภพหรืออย่างไร?”
อันเจิงหันกลับไป “รู้หรือไม่ว่าทำไมข้าถึงไม่ฆ่าเ้าด้วยกระดิ่งแก้ว?”
คำพูดของอันเจิงทำให้เจินจวงปี้ใจนเผลอก้าวถอยหลังออกไปหนึ่งก้าวแต่ถึงกระนั้น เขาก็ยังทำใจแข็งยืนสบตากับอันเจิงต่อไป
อันเจิงพูดขึ้นทีละคำ “ที่ข้าไม่ฆ่าเ้าด้วยกระดิ่งแก้วเพราะข้า้าฆ่าเ้าอย่างเปิดเผยอย่างไรเล่า อย่ารีบร้อนไปข้าไม่ปล่อยให้เ้ารอนานหรอก”
เจินจวงปี้ไม่กล้าพูดสิ่งใดออกมาอีก จู่ๆ เขาก็รู้สึกราวกับว่า ที่ด้านหลังของอันเจิงมีดวงตาที่เต็มไปด้วยรังสีสังหารกำลังมองจ้องมาที่เขาซึ่งนั่นทำให้เขารู้สึกหนาวสั่นเหมือนกับตกลงไปในบึงน้ำแข็งก็ไม่ปาน
อันเจิงกับตู้โซ่วโซ่วจากไปแล้วทว่าเจินจวงปี้กลับยังยืนนิ่งอยู่กับที่เป็เวลานาน
จวงเฟยเฟยมองตามแผ่นหลังของอันเจิงที่กำลังเดินจากไป ด้วยสายตาที่แฝงไปด้วยความสลับซับซ้อน
“เป็ลิขิตฟ้าจริง ๆ รึ?” นางพึมพำกับตัวเองเบา ๆ จึงไม่มีใครได้ยิน
หลังเดินออกมาตู้โซ่วโซ่วก็ถามขึ้นด้วยความสงสัย “ทำไมเ้าถึงอยากได้เตาหลอมโอสถผงหอมนั่นเล่า?”
“ชวีหลิวซีเป็คนมีจิตใจเมตตา มอบเตาหลอมโอสถผงหอมนั่นให้นางเป็ทางเลือกที่ดีที่สุดแม้ตอนนี้ นางจะมีเหล็กกิเลนอยู่แล้วก็เถอะ แต่เหล็กกิเลนมีอานุภาพรุนแรงเกินไปไม่เหมาะกับนาง อีกอย่าง เหล็กกิเลนเป็วัสดุระดับสีขาวเท่านั้นมันมีระดับต่ำเกินไปหน่อย”
ตู้โซ่วโซ่วพยักหน้า “เมื่อมาคิดแบบนี้แล้วเตาหลอมนั่นก็เหมาะกับชวีหลิวซีจริง ๆ นั่นแหละ”
ระหว่างที่ทั้งสองกำลังพูดคุยกันพวกเขาก็เดินมาถึงที่ร้านเหล้าของแม่นางเยว่เสียแล้ว ซึ่งธงที่เขียนคำว่า 酒 ก็ยังแขวนอยู่ที่เดิมอันเจิงลังเลเล็กน้อยก่อนดึงธงนั้นออกมาแล้วม้วนมันเอาไว้ “นี่เป็ของฝากเล็ก ๆ น้อยๆ ให้เสี่ยวชีเต้า เอาไปปักไว้ที่หน้าห้องของเขาดีกว่า”
ทั้งสองเดินไปพลางคุยกันไปด้วยอันเจิงพบว่าเสี่ยวช่านมุดเข้ามาอยู่ในกระเป๋าของตู้โซ่วโซ่วอีกแล้ว ดูเหมือนมันจะชื่นชอบจานรองเป็อย่างมาก
“ไม่สิ!”
อันเจิงชะงักฝีเท้าลงแล้วจ้องไปที่กระเป๋าของตู้โซ่วโซ่ว “เสี่ยวช่านไม่ได้ชอบจานรองแต่เป็ผ้าสีฟ้านั่นต่างหาก!”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้