"ข้าไม่ได้ทำ..." อันหรงเหอตกตะลึงไปหมด พู่กันด้ามนี้มาอยู่ในโต๊ะของเขาได้อย่างไรกัน?
"คนเราต่อให้มีความรู้มากเพียงใด หากไร้ซึ่งคุณธรรม จริยธรรมเสื่อมทราม ในภายหน้าก็เป็ได้แค่บัณฑิตจอมปลอม!"
กู้หลินหลางกล่าวเสียงดัง "ข้าอุตส่าห์หวังดีอบรมสั่งสอนเ้า เห็นความสำคัญของเ้าถึงเพียงนี้ แต่เ้ากลับตอบแทนด้วยการลักขโมยเช่นนี้ ข้าจะทนได้อย่างไร!"
เขาสะบัดแขนเสื้ออย่างฉุนเฉียว "ข้าจะไม่ลงโทษเ้า แต่อย่าได้เรียกข้าว่าท่านอาจารย์อีกต่อไป และไม่ต้องมาเรียนที่สำนักศึกษาแห่งนี้อีก!"
อันหรงเหอจนปัญญา ไม่รู้จะทำอย่างไร ได้แต่ก้มหน้ามองพู่กันที่หักเป็สองท่อนบนพื้น หลินจื่อ สหายสนิทของเขา เห็นท่าไม่ดีจึงรีบแอบกลับไปบอกเหลียงซื่อที่บ้านให้มาช่วยพูด
แต่ถึงเหลียงซื่อจะมาก็ไม่ได้ช่วยอะไร ในเมื่อมีหลักฐานว่าอันหรงเหอลักขโมย พฤติกรรมก็ถือว่าด่างพร้อยไปแล้ว พอเห็นเหลียงซื่อมา กู้หลินหลางก็ตำหนินางชุดใหญ่ บัณฑิตย่อมมีวาจาคมคายกว่าชาวบ้านธรรมดา แม้ปกติเหลียงซื่อจะปากจัดเพียงใด แต่พออยู่ต่อหน้าปัญญาชนอย่างกู้หลินหลาง ก็รู้สึกว่าตนด้อยกว่าหลายขุม ถูกเขาว่ากล่าวด้วยถ้อยคำที่นางฟังไม่ค่อยเข้าใจ ก็ได้แต่รู้สึกอับอายเป็อย่างยิ่ง สุดท้ายจึงต้องพาลูกหลานกลับบ้านตามที่เขา้า
อันซิ่วเอ๋อร์พอได้ฟังเื่ราวทั้งหมดจากอันหรงเหอและเหลียงซื่อ ก็สังหรณ์ใจทันทีว่าเื่นี้ไม่ชอบมาพากล และต้องเกี่ยวข้องกับนางเป็แน่ บางทีกู้หลินหลางอาจจะแค้นที่นางเคยตำหนิเขา เลยจงใจวางแผนร้ายกาจแบบนี้เพื่อเล่นงานหลานชายของนาง
คนอะไรช่างใจแคบเช่นนี้! ที่นางตำหนิเขาก็เพราะพฤติกรรมเดิมของเขามันไม่เหมาะสมอยู่แล้ว แต่หลานชายของนางไปทำอะไรผิด? หากอยากจะแก้แค้น ก็ควรมาลงที่นางสิ ไม่ใช่ใช้วิธีสกปรกมาลงกับเด็กตัวเล็กๆ แบบนี้ ช่างเป็การกระทำที่น่ารังเกียจที่สุด!
"หรงเหอ มานี่สิ ท่านอาเชื่อว่าเ้าไม่ได้ทำ"
อันซิ่วเอ๋อร์กวักมือเรียกหลานชายเข้ามาหา ลูบศีรษะเล็กๆ ของเขาเบาๆ พออันหรงเหอรู้ว่ามีคนเชื่อใจตน ก็รู้สึกดีขึ้นมาก โผเข้ากอดท่านอาสะอื้นไห้เบาๆ
พ่อไม่อยู่บ้าน แม่ก็จากไปั้แ่ยังเด็ก อันหรงเหอจึงเป็เด็กที่ประพฤติตัวดี เชื่อฟัง และระมัดระวังตัวอยู่เสมอ ไม่ว่าจะอยู่ที่บ้านหรือข้างนอก เหลียงซื่อเองก็สอนเขามาั้แ่เล็กว่า คนจนต้องมีกำลังใจที่เข้มแข็ง เขาไม่มีทางขโมยพู่กันของท่านอาจารย์กู่อย่างแน่นอน!
"ท่านอา ข้าไม่ได้เอาไปจริงๆ ต้องมีคนใส่ร้ายข้าแน่ๆ"
หลังจากร้องไห้อยู่พักใหญ่ อันหรงเหอก็เริ่มตั้งสติได้ ลองคิดทบทวนเื่ราวทั้งหมดแล้ววิเคราะห์ว่า "ท่านอาจารย์กู้ดีกับข้ามาก ข้าว่าต้องมีคนอิจฉาข้าแน่ๆ เลยขโมยพู่กันของท่านอาจารย์มาใส่ร้ายข้า วันนี้ก็มีแต่เฉาเทียนอวี่นั่นแหละที่ะโโหวกเหวกจะค้นโต๊ะข้า ข้าสงสัยว่าเขาเป็คนเอาไปซ่อนไว้"
"อันที่จริง คนที่ไม่ถูกใครอิจฉาเลย ก็คือคนที่ไม่เก่งอะไรเลยนั่นแหละ"
อันซิ่วเอ๋อร์ปลอบโยนเบาๆ แต่นางมั่นใจว่า ไม่ว่าใครจะเป็คนลงมือทำเื่นี้ กู้หลินหลางต้องมีส่วนเกี่ยวข้องอย่างแน่นอน ไม่ว่าจะเป็คนซ่อนพู่กันเอง เป็คนสั่งการ หรือเป็คนชักนำให้คนอื่นทำ อย่างไรเสียก็ต้องเกี่ยวกับเขา!
แม้ในใจจะคิดเช่นนั้น แต่นางก็ไม่ได้พูดออกไป ตอนนี้อันหรงเหอยังคงเคารพกู้หลินหลางอยู่มาก ถึงขั้นรักใคร่ศรัทธา เขาไม่เคยคิดเลยว่าเื่นี้จะเกี่ยวข้องกับอาจารย์ที่เขาเคารพ
ดังนั้น ถึงแม้กู้หลินหลางจะไร้ยางอายเพียงใด อันซิ่วเอ๋อร์ก็ยังมีขอบเขตของตนเอง นางไม่อาจทำลายภาพลักษณ์ของอาจารย์ในใจหลานชายได้ ได้แต่ปลอบใจเบาๆ ว่าความจริงจะต้องปรากฏในสักวัน ขอให้เขาอย่ากังวลไปเลย
"เอาล่ะๆ เราไม่พูดเื่นี้แล้วนะ มา หรงเหอ ดูนี่สิ ท่านอาตั้งใจทำรองเท้าหนังให้เ้า" อันซิ่วเอ๋อร์พูดพลางหยิบรองเท้าที่เตรียมไว้ ออกมาวางบนมือหลานชาย
เพราะยังเป็เด็ก เมื่อได้รับการปลอบโยนและความเชื่อมั่นจากผู้ใหญ่ แถมยังได้ของที่ชอบ ความทุกข์จากการถูกใส่ร้ายเมื่อครู่ก็พลันหายวับไปสิ้น เขาถือรองเท้าไว้ในมือ เตรียมจะลองสวมทันที
"เ้าเด็กคนนี้นี่ แม่ใจหายใจคว่ำแทบแย่ ยังมีกะใจมาลองรองเท้าอีก" เหลียงซื่อบ่นพึมพำอยู่ข้างๆ
"ท่านแม่ ข้าเชื่อว่าหรงเหอไม่ใช่คนแบบนั้น ท่านอย่ากังวลไปเลย คนบริสุทธิ์ก็คือคนบริสุทธิ์ สักวันความจริงต้องปรากฏเ้าค่ะ"
อันซิ่วเอ๋อร์พูดพลางหยิบรองเท้าปักลายอีกคู่ที่เตรียมไว้ให้แม่สามีออกมา "ท่านแม่ดูสิ นี่ข้าตั้งใจปักให้ท่าน ชอบไหมเ้าคะ?"
ใจที่กำลังกังวลเื่หลานชาย พอเห็นรองเท้าที่อันซิ่วเอ๋อร์ทำให้ ความสนใจของเหลียงซื่อก็ถูกดึงไปจนหมด รองเท้าคู่นี้ช่างงดงามเหลือเกิน นางถือรองเท้าขึ้นมา ลูบไล้ผ้าแพรเนื้อดีกับลายปักอู่ฝู [1] อันประณีต ราวกับกำลังััสมบัติล้ำค่า มือถึงกับสั่นเทา
"รองเท้าคู่นี้สวยเกินไป แม่เป็แค่ชาวนา จะใส่รองเท้าสวยๆ แบบนี้ได้ยังไง เ้าเก็บไว้ใส่เองเถอะ"
"ไม่ได้เ้าค่ะ ท่านแม่ คู่นี้ข้าตั้งใจทำให้ท่านโดยเฉพาะ บอกให้ท่านใส่ ท่านก็ต้องใส่นะเ้าคะ"
อันซิ่วเอ๋อร์รู้ว่าแม่ของนางชอบ เพียงแต่เป็นิสัยของท่านที่มักจะถ่อมตัวปฏิเสธไว้ก่อนเมื่อมีใครให้ของขวัญ นางจึงไม่ได้ถือสา
"ท่านวางใจเถอะ วันดีๆ ข้างหน้าของท่านแม่ยังมีอีกเยอะ ถึงตอนนั้นอยากจะใส่รองเท้าดีแค่ไหนก็ได้ทั้งนั้น"
เหลียงซื่อที่เมื่อครู่ยังชื่นชมรองเท้าอยู่ พอได้ยินคำพูดนี้ อารมณ์ก็พลันหม่นหมองลง นางวางรองเท้าลงข้างตัว ถอนหายใจ "เฮ้อ จะมีวันดีๆ อะไรได้ เื่ของหรงเหอแม่ยังไม่รู้จะทำยังไงเลย"
"เอาเถอะน่า ท่านแม่อย่าคิดมากเลยเ้าค่ะ ต้องมีทางพิสูจน์ความบริสุทธิ์ให้หรงเหอได้สิเ้าคะ"
อันซิ่วเอ๋อร์ทำได้เพียงปลอบใจอีกครั้ง แต่เหลียงซื่อไม่ใช่เด็กน้อยอย่างอันหรงเหอที่จะหลอกล่อได้ง่ายๆ นางรู้ดีว่าเื่นี้ไม่ง่ายเลย พอนึกถึงว่าอันหรงเหอถูกกู้หลินหลางไล่ออกจากสำนักศึกษา ต่อไปนี้จะต้องถูกตราหน้าว่าเป็หัวขโมย นางก็กลุ้มใจจนไม่รู้จะทำอย่างไร
อันซิ่วเอ๋อร์กลัวแม่ของตนจะคิดมากไปกว่านี้ จึงไม่ได้พูดอะไรต่อ เหลียงซื่อเองก็รู้ว่าทำหน้าเศร้าต่อหน้าบุตรสาวไปก็ไม่มีประโยชน์ จึงพยายามเก็บสีหน้ากังวลเอาไว้ นานๆ บุตรสาวจะกลับมาเยี่ยมทั้งที นางต้องทำอาหารอร่อยๆ ต้อนรับเสียหน่อย
อันซิ่วเอ๋อร์จึงลุกไปช่วยเหลียงซื่อทำอาหารในครัวเงียบๆ ตอนเที่ยง เมื่อพ่อเฒ่าอัน อันเถี่ยหมู่ และคนอื่นๆ กลับมาทราบเื่ ก็พากันกลัดกลุ้มไปตามๆ กัน มื้อนั้นทุกคนจึงกินข้าวกันอย่างไม่รู้รสชาติ
พอกินเสร็จ พ่อเฒ่าอันก็บอกว่าจะไปหากู้หลินหลางด้วยตัวเองเพื่ออธิบายเื่ราว หวังว่าเขาจะเปลี่ยนใจ
อันซิ่วเอ๋อร์เกรงว่าพ่อจะไปเสียเที่ยว จึงพยายามทัดทาน แต่พ่อเฒ่าอันกลับพูดว่า "ถ้าหรงเหอถูกไล่ออก เรียนหนังสือต่อไม่ได้ ข้าจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน จะไปพบหน้าเ้าใหญ่ กับสะใภ้ใหญ่ที่ตายไปแล้วได้อย่างไร?"
เมื่อมองเห็นริ้วรอยลึกบนใบหน้าของบิดา ซึ่งเต็มไปด้วยความกังวลถึงอนาคตของหลานชาย นางจึงไม่ห้ามอะไรอีก ได้แต่หวังว่ากู้หลินหลางจะยังมีจิตสำนึกอยู่บ้าง เห็นแก่ที่พ่อเฒ่าอันอุตส่าห์ไปขอร้องถึงที่ด้วยตัวเอง จะยอมเมตตาให้อภัย
พ่อเฒ่าอันจึงพาอันหรงเหอไปหากู้หลินหลางเพื่อขอความเมตตา โดยมีอันเถี่ยหมู่เดินทางไปด้วย อันซิ่วเอ๋อร์เองก็กังวลเื่นี้เช่นกัน หากไม่ได้รู้ผลก็จะกระวนกระวายใจ จึงตัดสินใจอยู่รอฟังข่าวที่บ้านสกุลอันพร้อมกับจางเจิ้นอัน
เวลาแห่งการรอคอยช่างยาวนานเหลือเกิน กว่าจะผ่านไปหนึ่งชั่วยาม ก็เห็นพ่อเฒ่าอันเดินกลับมาถึงหน้าประตูบ้าน ทุกคนจึงรีบพากันออกไปต้อนรับ อยากรู้ผลลัพธ์ใจจะขาด
พ่อเฒ่าอันและคนอื่นๆ เดินกลับมาอย่างเชื่องช้า สีหน้าเต็มไปด้วยความทุกข์ใจ พ่อเฒ่าอันหลังค่อมลง ใบหน้าอิดโรย เหมือนคนหมดเรี่ยวแรง ชราภาพลงไปถนัดตา จนไม่มีใครกล้าเอ่ยถาม อันซิ่วเอ๋อร์เม้มปากแน่น เดินเข้าไปประคองบิดาเข้าบ้าน
เหลียงซื่อรีบรินน้ำชาให้ แม้จะไม่ได้เอ่ยถาม แต่แววตาก็เต็มไปด้วยความคาดหวัง พ่อเฒ่าอันรับถ้วยชามาจิบเบาๆ แล้วกล่าวว่า "เฮ้อ... ท่านอาจารย์กู้ไม่เชื่อว่าหรงเหอเป็ผู้บริสุทธิ์ ข้าอ้อนวอนอยู่ตั้งนาน สุดท้ายเขาก็ยอมอ่อนข้อ บอกว่าจะให้หรงเหอพักอยู่บ้านไปก่อน รอให้เขาตรวจสอบความจริงให้กระจ่าง แล้วค่อยกลับไปเรียน"
"์! อย่างน้อยก็ยังพอมีหวังอยู่บ้าง" เหลียงซื่อได้ยินดังนั้น ก็ใจชื้นขึ้นมาบ้าง
แต่อันซิ่วเอ๋อร์กลับไม่ได้มองโลกในแง่ดีเช่นนั้น รอให้ตรวจสอบความจริงกระจ่างแล้วค่อยกลับไปเรียน? แต่ถ้าความจริงนั้นไม่กระจ่างสักทีล่ะ? แบบนั้นหรงเหอก็ต้องถูกตราหน้าว่าเป็ขโมยไปตลอดชีวิตไม่ใช่หรือ?
เหลียงซื่ออาจมองไม่เห็นนัยตรงนี้ แต่พ่อเฒ่าอันกับอันเถี่ยมู่เข้าใจดี พวกเขาถึงได้กลับมาด้วยสีหน้ากลัดกลุ้มเช่นนี้
"เอาล่ะ ในเมื่อเป็แบบนี้ หรงเหอ เ้าก็ตั้งใจอ่านหนังสืออยู่ที่บ้าน ถ้าท่านอาจารย์พิสูจน์ได้ว่าเ้าบริสุทธิ์แล้ว พอกลับไปเรียนอีกครั้ง จะได้ตามเพื่อนๆ ทัน"อันซิ่วเอ๋อร์ก้มลงหยิกแก้มหลานชายเบาๆ ทำทีเป็สบายๆ พูดกับเขา
อารมณ์ความรู้สึกเป็สิ่งที่ส่งต่อกันได้ ก่อนหน้านี้เห็นสีหน้าเคร่งเครียดของปู่กับพ่อ อันหรงเหอก็กังวลตามไปด้วย แต่พอเห็นอาสาวทำท่าทีผ่อนคลาย เขาก็รู้สึกสบายใจขึ้นมาบ้าง ตอบเสียงดังฟังชัดว่า "วางใจเถอะขอรับท่านอา ข้าจะพยายามเต็มที่แน่นอน!"
"ใช่แล้ว วิธีแก้แค้นคนที่ดีที่สุดก็คือการทำให้ตัวเองเก่งขึ้นเรื่อยๆ เก่งกาจจนคนที่เคยดูถูกเ้าต้องเสียใจและได้แต่มองตามอย่างเอื้อมไม่ถึง!" อันซิ่วเอ๋อร์ให้กำลังใจหลานชาย
"อืม! ท่านอาพูดถูก!" พอได้ยินเช่นนั้น ดวงตาของอันหรงเหอก็เป็ประกายขึ้นมา "ถ้าอย่างนั้นข้าไปอ่านหนังสือก่อนนะขอรับ"
คราวนี้พ่อเฒ่าอันและคนอื่นๆ ได้นำหนังสือและเครื่องเขียนทั้งหมดของอันหรงเหอกลับมาด้วย เขาจึงหยิบของเ่าั้แล้วรีบเดินกลับห้องไปอ่านหนังสืออย่างกระตือรือร้น
รอจนอันหรงเหอเดินลับไปแล้ว อันซิ่วเอ๋อร์จึงพูดกับบิดาว่า "ท่านพ่อ ท่านก็อย่ากังวลมากไปเลยนะเ้าคะ วางใจเถอะ ความจริงจะต้องปรากฏในสักวัน บางทีพรุ่งนี้ท่านอาจารย์กู้อาจจะรู้แล้วก็ได้ว่าหรงเหอถูกใส่ร้าย"
"ก็หวังว่าจะเป็อย่างนั้น" พ่อเฒ่าอันถอนหายใจ คำพูดปลอบใจที่ฟังดูดีแต่ไร้น้ำหนักของอันซิ่วเอ๋อร์ ไม่ได้ทำให้เขารู้สึกดีขึ้นเลยแม้แต่น้อย
เมื่อเห็นท่าทางเช่นนั้น อันซิ่วเอ๋อร์จึงไม่ได้พูดอะไรต่อ เพียงบอกลากับทุกคน พ่อเฒ่าอันและเหลียงซื่อแม้ใจจริงอยากให้บุตรสาวอยู่ต่อ แต่เมื่อเกิดเื่แบบนี้ขึ้น พวกเขาก็ไม่มีอารมณ์จะรั้งใครไว้ ได้แต่กล่าวลาเพียงเล็กน้อย แล้วปล่อยให้ทั้งสองกลับไป
ระหว่างทางกลับ อันซิ่วเอ๋อร์ก็หน้าตาอมทุกข์ ไม่ได้เบิกบานเหมือนตอนมาเลย
"ท่านพี่ เื่นี้ต้องเป็ความผิดของข้าแน่ๆ" พอกลับถึงบ้าน อันซิ่วเอ๋อร์ก็พูดกับจางเจิ้นอัน
"ไม่เกี่ยวกับเ้าเลย" จางเจิ้นอันวางมือลงบนไหล่ของนาง มองหน้าอย่างจริงจัง "เป็เพราะเ้าคนสารเลวนั่นมันน่ารังเกียจเกินไปต่างหาก!"
"ท่านก็สงสัยว่ากู้หลินหลางเป็คนก่อเื่หรือ?" พอได้ยินคำพูดนี้ อันซิ่วเอ๋อร์ก็รู้สึกเหมือนเจอคนที่เข้าใจความคิดของตน
"มีความเป็ไปได้สูงมาก" จางเจิ้นอันวิเคราะห์
"หรงเหอเป็แค่เด็กคนหนึ่ง ถึงจะมีคนอิจฉาเขาที่โรงเรียน ก็คงใช้วิธีอื่น พวกเด็กๆ ไม่น่าจะกล้าถึงขั้นขโมยของของอาจารย์ตัวเอง ต่อให้จะขโมยจริงๆ ก็คงขโมยของที่อาจารย์ใช้บ่อยๆ ทำไมต้องเสียเวลาไปขโมยพู่กันที่อยู่ในห้องหนังสือส่วนตัวของเขาด้วย?"
เชิงอรรถ
[1] ห้าความสุข
