หลิงฉี่ไห่ยิ้มอย่างอึดอัดทำตัวไม่ถูก ไม่กล้าเอื้อนเอ่ยวาจาอันใด
เขาไม่กล้าปฏิบัติต่อหลิงมู่เอ๋อร์เหมือนอย่างสตรีทั่วไปได้ ท่าทางการทุบตีคนของสตรีผู้นี้เมื่อสักครู่ แม้แต่เขาที่เป็บุรุษร่างใหญ่เห็นแล้วก็ยังอกสั่นขวัญหายไม่ได้ เชื่อว่าหลังจากผ่านเื่วุ่นวายในวันนี้แล้ว ทุกคนในหมู่บ้านตระกูลหลิงยามที่เห็นคนในครอบครัวพวกเขาล้วนต้องเดินเลี่ยงไปทางอื่น แน่นอนว่า ข้อแรกคือคนในหมู่บ้านตระกูลหลิงต้องข้ามผ่าน่เวลายากลำบากตอนนี้ไปให้ได้เสียก่อน ถึงอย่างไรในตอนนี้ก็มีคนคอยหนุนหลังหลิงมู่เอ๋อร์อยู่ พวกเขาเจอกับปัญหาใหญ่แล้ว
หลิงฉี่ไห่คิดถึงการตัดสินใจอันชาญฉลาดของตนเองที่ทำให้คนในครอบครัวรอดพ้นไปได้ ในใจก็เต็มเปี่ยมไปด้วยความลำพองใจ เขาว่ากันว่า ทำการใดจะต้องดูให้มากคิดให้มาก เช่นนี้ถึงจะสามารถตัดสินใจออกมาได้อย่างชาญฉลาดที่สุด
เมื่อสักครู่ท่านพ่อท่านแม่ของเขาจะพุ่งเข้ามาชมงิ้วสนุกด้านใน แต่ถูกเขาห้ามเอาไว้ก่อน เขาก็ไม่ได้รู้สึกเห็นใจครอบครัวนั้นมากมาย แค่รู้สึกว่าเื่นี้ไม่มีความเกี่ยวข้องกับพวกเขา เหตุใดจะต้องไปร่วมสนุกกับเื่นี้ด้วย?ตอนนี้ท่านพ่อท่านแม่คงกำลังแอบคิดในใจว่าโชคดีแล้วที่เชื่อฟังคำพูดของเขาอยู่กระมัง!กลับไปเขาจะต้องโน้มน้าวพวกเขา ต่อจากนี้ถ้าไม่มีเื่อันใดก็ไปพูดคุยกับอาสะใภ้หยางกับท่านอาต้าจื้อให้มากๆ สักหน่อย พยายามสร้างความสัมพันธ์กับพวกเขา
หลิงมู่เอ๋อร์บีบฝ่ามือแน่น นางแอบสาบานว่า ครั้งนี้หากนางไม่ทำให้คนทั้งหมู่บ้านตระกูลหลิงหวาดกลัวครอบครัวพวกเขาได้ อ้อนวอนให้ครอบครัวพวกเขาให้อภัย นางก็ไม่ใช่หลิงมู่เอ๋อร์แล้ว
เมื่อเดินทางมาถึงโรงหมอที่หมาย ซั่งกวนเซ่าเฉินก้าวะโลงมาก่อน อุ้มหลิงต้าจื้อขึ้นมาแล้วเดินเข้าไปด้านใน
ตอนนี้เป็เวลาเย็นมากแล้ว โรงหมอก็ไม่ค่อยมีคนไข้เท่าใด หลังจากที่ซั่งกวนเซ่าเฉินอุ้มคนเข้าไป ก็มีเด็กปรุงโอสถเดินออกมาต้อนรับ
“ท่านหมอล่ะ?” ซั่งกวนเซ่าเฉินเห็นเพียงแต่เด็กปรุงโอสถแต่กลับไม่พบท่านหมอ เขากล่าวพลางจ้องหน้าเด็กปรุงโอสถด้วยความไม่พอใจ
ครั้นเด็กปรุงโอสถเห็นใบหน้าประหนึ่งปีศาจร้ายของซั่งกวนเซ่าเฉิน ใบหน้าก็แสดงถึงความหวาดกลัวออกมา เขากล่าวอย่างสั่นระริก “ท่านหมอพักผ่อนอยู่ที่ห้องโถงด้านหลัง เขากล่าวว่าวันนี้ไม่ตรวจคนไข้แล้วขอรับ”
หลิงมู่เอ๋อร์อุ้มหยางซื่อเข้ามา ได้ยินคำพูดนั้นของเด็กปรุงโอสถก็กล่าวว่า “ตอนนี้ชีวิตของคนสำคัญที่สุด เขาบอกว่าไม่ตรวจก็จะไม่ตรวจหรือ?เ้าไปเรียกเขาออกมา แล้วแจ้งว่าคนป่วยอาการร้ายแรง”
จิตใจของหลิงมู่เอ๋อร์ในเวลานี้ย่ำแย่มาก กล่าวกับเด็กปรุงโอสถเมื่อครู่ก็ถือว่าสุภาพมากแล้ว
ทว่าเด็กปรุงโอสถผู้นั้นหวาดกลัวบุรุษร่างใหญ่อย่างซั่งกวนเซ่าเฉินผู้นี้ แต่ไม่กลัวแม่นางน้อยอย่างหลิงมู่เอ๋อร์ อีกประการหนึ่งหลิงมู่เอ๋อร์สวมใส่เสื้อผ้าเก่าๆ ดูก็รู้ว่าไม่ใช่คนใหญ่คนโตอันใด สถานที่แห่งนี้เป็โรงหมอที่ดีที่สุดในเมือง ปกติเด็กปรุงโอสถจะปรนนิบัติรับใช้ผู้สูงศักดิ์ มีวิสัยทัศน์สูงส่งและทะนงตัว ในเวลานี้ได้พบเห็นหลิงมู่เอ๋อร์ เขาอยากจะะโเสียงดังว่า ‘คนจนเช่นเ้ามีปัญญาพบหมอหรือ’ แต่น่าเสียดายที่ตรงหน้าเขามีซั่งกวนเซ่าเฉินที่จ้องถมึงทึงอยู่ ถึงแม้ว่าในใจเขาจะโกรธแต่ก็ระบายออกมาไม่ได้
เขากล่าวอย่างตัวสั่นเทา “ท่านทั้งสอง ท่านหมอของพวกเรามีนิสัยเฉพาะตัว นั่นก็คือตอนบ่ายจะไม่ตรวจอาการ ตรวจเฉพาะตอนเช้าเท่านั้น โรงหมอของพวกเราตอนบ่ายจ่ายแค่ใบเทียบยาเท่านั้นขอรับ พวกท่านค่อยมาใหม่พรุ่งนี้เถิด!”
“รนหาที่ตาย” โทสะของซั่งกวนเซ่าเฉินทะลุจนถึงขีดสุด มือหนึ่งข้างทุบลงไปที่โต๊ะข้างๆ เสียงดังปัง โต๊ะแตกเป็เศษเล็กเศษน้อย
ซั่งกวนเซ่าเฉินยังอยากโต้เถียงกับเด็กปรุงโอสถ แต่หลิงมู่เอ๋อร์ดึงแขนของเขาเอาไว้ นางกล่าวนิ่งๆ ว่า “ช่างเถิดเ้าค่ะ ท่านหมอของพวกเขาไม่ตรวจโรค ข้าก็จะตรวจเอง พี่ใหญ่ ท่านคอยดูเขาไว้ อย่าให้เขาเดินไปไหน อีกอย่าง หากข้าหาสิ่งของของพวกเขาที่นี่ไม่เจอ จะได้ให้เขามาช่วยอยู่เป็ลูกมือข้า”
ซั่งกวนเซ่าเฉินไม่ได้เอ่ยถามหลิงมู่เอ๋อร์ว่าสามารถตรวจโรคได้อย่างไร เขาเชื่อมั่นในตัวนางอย่างสิ้นเชิง เพราะฉะนั้นนางกล่าวอย่างไร เขาก็จะให้ความร่วมมืออย่างนั้น
หลิงฉี่ไห่อุ้มหลิงจื่อเซวียนเดินเข้ามา หลิงจื่ออวี้เดินตามมาอยู่ด้านหลังสุด หลิงฉี่ไห่ไม่เห็นหมอ แต่กลับเห็นหลิงมู่เอ๋อร์กำลังถอดเสื้อของหลิงต้าจื้ออย่างว่องไว จากนั้นก็นำสมุนไพรที่มีความซับซ้อนหลากชนิดมาบดให้ละเอียดและทาลงไปบนาแของเขา เขาแสดงสีหน้าประหลาดใจ และพาหลิงจื่อเซวียนไปนั่งบนตั่ง เอ่ยถามซั่งกวนเซ่าเฉินว่า “ใต้เท้า ไม่มีหมอหรือขอรับ?”
ซั่งกวนเซ่าเฉินมองหลิงฉี่ไห่ด้วยความเ็า ถึงแม้จะไม่ได้กล่าววาจา แต่ความหมายในสายตาของเขานั้นชัดเจนมาก นั่นคือไม่พอใจที่เขาส่งเสียงดัง
หลิงฉี่ไห่คลำๆ ที่จมูก ไม่กล้าไปหาเื่ซวยใส่ตัวอีก
เขามองสำรวจโรงหมอนี้ด้วยความสงสัยใคร่รู้ ‘โรงหมอผิงอัน [1] ’ แห่งนี้ เป็โรงหมอที่ดีที่สุดในเมือง กล่าวกันว่าท่านหมอเป็แพทย์หลวงที่เกษียณอายุแล้วกลับมาที่บ้านเกิด ค่ารักษาของที่นี่สูงมาก คนธรรมดาทั่วไปไม่กล้าก้าวเข้ามาเหยียบที่นี่
สกุลหลิงเป็ครอบครัวที่ขึ้นชื่อเื่ความยากจน จ่ายค่ารักษาไม่ได้อย่างแน่นอน พวกเขาเข้ามาที่โรงหมอผิงอันนี้ มีความเป็ไปได้สองอย่าง อย่างแรกคือใต้เท้ามือปราบท่านนี้เป็คนจ่ายค่ารักษา อย่างที่สองคือใต้เท้ามือปราบนี้ใช้กำปั้นในการแก้ปัญหา
หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วยาม หลิงมู่เอ๋อร์ได้ทายาให้หยางซื่อ หลิงต้าจื้อ รวมถึงหลิงจื่อเซวียนเรียบร้อยแล้ว และยังตรวจสอบแผลของหลิงจื่อเซวียนอีกด้วย าแที่ขาของหลิงจื่อเซวียนยังอยู่ใน่พักฟื้น เดิมทีเขาฟื้นตัวได้ดีมากขึ้นแล้ว แต่หลังจากผ่านเื่ราวในวันนี้แล้ว เกรงว่าจะต้องใช้เวลาพักฟื้นนานขึ้นไปอีกหนึ่งเดือน ไม่ทำให้อาการาเ็ของเขาหนักขึ้นถือว่าเป็ความโชคดีในความโชคร้ายแล้ว หลิงมู่เอ๋อร์รู้สึกว่าฟ้ามีตาแล้ว ในใจก็รู้สึกแอบโล่งใจ
“นั่น…ทั้งหมดหนึ่งร้อยตำลึงเงินขอรับ” เด็กปรุงโอสถที่อยู่ด้านข้างกล่าว
หลิงมู่เอ๋อร์มองเด็กปรุงโอสถผู้นั้นด้วยสายตาที่เฉียบคม ก่อนยกรอยยิ้มเยาะเย้ยขึ้น นางหยิบสมุนไพรที่อยู่ด้านข้างขึ้นมา พลางกล่าว “ซานเยี่ยเฉ่า [2] ใช้ไปทั้งหมดสามเฉียน [3] ก็เท่ากับสามอีแปะ ถ้าหากเป็ดอก ใช้ไปห้าเฉียน สิ่งนี้แพงขึ้นมาเล็กน้อย น่าจะมีค่าเป็เงินสิบอีแปะ ชิงหลานเฉ่า [4] สิ่งนี้ใช้ไปเจ็ดเฉียน อย่างมากก็สิบอีแปะ าแของท่านพ่อท่านแม่ของข้าค่อนข้างรุนแรง ค่ายาของแต่ละคนอาจจะใช้อยู่หนึ่งตำลึงเงิน พี่ชายข้าเพียงแค่าแที่ขาอาการกำเริบ ใช้ยาสมุนไพรง่ายๆ ของพวกเ้าที่นี่เล็กน้อย ใช้เงินแค่ประมาณห้าสิบอีแปะกระมัง!ใบหน้าน้องชายของข้าปูดบวม ก็แค่ทายาขี้ผึ้งสลายเืคั่งเล็กน้อยเท่านั้น น่าจะใช้ไปยี่สิบอีแปะ นั่นก็หมายความว่า คนในครอบครัวของข้าสี่คนจ่ายเงินอย่างมากที่สุดก็ไม่ถึงสองตำลึงเงินครึ่งด้วยซ้ำ นึกไม่ถึงว่าเ้าจะเก็บเงินข้าหนึ่งร้อยตำลึง เ้าคิดว่าสตรีอย่างข้าจะรังแกได้ง่ายขนาดนั้นเลยหรือ?”
เด็กปรุงโอสถคิดไม่ถึงว่าวันนี้จะได้เจอผู้เชี่ยวชาญเข้าเสียแล้ว สิ่งที่เด็กสาวผู้นี้กล่าวนั้นไม่ผิดเลยแม้แต่อีแปะเดียว เป็เช่นนั้นจริงๆ แต่ว่า นี่คือกฎที่ท่านหมอได้กำหนดเอาไว้
“ที่นี่คือโรงหมอผิงอัน โอสถของพวกเราเป็ของดีที่สุด หมอของพวกเราดีที่สุด…” เด็กปรุงโอสถโต้เถียงด้วยเหตุผล
“เอ๋…ถ้าหากข้าจำไม่ผิด ข้าไม่ได้พบท่านหมอของพวกเ้า ท่านหมอของพวกเ้าดีมากเพียงใด ข้าไม่ทราบจริงๆ เพียงแต่ว่าสิ่งหนึ่งที่มั่นใจได้คือ ไม่ว่าวิชาแพทย์ของเขาจะสูงส่งแค่ไหน ก็ล้วนเป็คนที่เืเย็นไม่สนความเป็ความตายของคนไข้คนหนึ่ง คนเช่นนี้ไม่มีคุณสมบัติที่จะเป็หมออย่างสิ้นเชิง ไม่ใช่ แม้แต่เรียกเขาว่ามนุษย์ยังไม่เหมาะเลย ถ้าท่านพ่อท่านแม่และพี่ชายน้องชายข้ามีอันเป็ไปอันใด วันนี้ข้าจะพังร้านพวกเ้าเสีย พวกเ้าควรจะดีใจที่ข้ารู้วิชาแพทย์ เช่นนี้ถึงทำให้พวกเขาไม่เป็อันใด ไม่อย่างนั้น แม้ว่าข้าจะพังพินาศ ก็จะทำลายที่นี่ให้พังพินาศไปด้วยกัน”
เด็กปรุงโอสถถูกแววตาของหลิงมู่เอ๋อร์ทำให้ใจนนิ่งอึ้งไป นี่คือสตรีหรือ?ไม่ใช่ว่าเป็ดาวมารหรอกกระมัง ?
“เสียงดังอันใดกัน?” น้ำเสียงหมดความอดทนดังมาจากห้องโถงด้านหลัง “ซานเอ๋อร์ ไม่ใช่เคยบอกไปแล้วหรือ?ว่าตอนบ่ายไม่รับตรวจไข้ เ้าทะเลาะกับผู้ใดที่ด้านนอกนั่น?”
เด็กปรุงโอสถได้ยินเสียงนั้นกล่าว เดิมทีเขาที่มีความหวาดกลัวอยู่บ้าง ยามนี้กลับยืดอกขึ้นมาทันที เขาถลึงตาใส่หลิงมู่เอ๋อร์ด้วยความเคียดแค้น หันไปกล่าวกับคนด้านในว่า “ท่านอาจารย์ ที่นี่มีสตรีหยาบคายนางหนึ่งขอรับ นางไม่เพียงแต่ไม่จ่ายค่ายา ยังกล่าวว่าท่านอาจารย์ไม่มีคุณสมบัติที่จะเป็หมออย่างสิ้นเชิง ยังกล่าวอีกว่าจะพังที่นี่เสียให้ย่อยยับขอรับ”
“อันใดนะ?ผู้ใดช่างกำเริบเสิบสานเช่นนี้?” คนด้านในได้ยินคำกล่าวของเด็กปรุงโอสถ ก็โกรธเป็ฟืนเป็ไฟขึ้นมาทันที
ชายชราคนหนึ่งเดินออกมา จ้องมองเหล่าคนที่อยู่ตรงหน้าด้วยความไม่พอใจ เขากวาดสายตามองผ่านทุกคน สุดท้ายก็หยุดสายตาที่ตัวของซั่งกวนเซ่าเฉิน
“เป็เ้ากล่าววาจานั่นใช่หรือไม่?เ้ากล้ากล่าวเช่นนี้กับชายแก่อย่างข้า? ชายแก่อย่างข้าเป็คนที่คอยปรนนิบัติรับใช้ฮ่องเต้มาก่อน แม้แต่ฮ่องเต้ยังปฏิบัติต่อคนแก่อย่างข้าอย่างสมเกียรติ เ้ากลับกล้ากล่าววาจาเช่นนี้กับข้า” ชายชรากล่าวอย่างโมโห
“ท่านอาจารย์…ท่านอาจารย์ …” เด็กปรุงโอสถซานเอ๋อร์มองซั่งกวนเซ่าเฉินอย่างกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ดึงแขนเสื้อของชายชราพลางกล่าว “เป็สตรี เป็สตรีขอรับ…”
ชายชราหยุดชะงัก เมื่อครู่นี้ซานเอ๋อร์กล่าวว่ามีสตรีมาก่อเื่วุ่นวายที่นี่ ตอนที่เขาเดินออกมาในแวบแรกเห็นบุรุษร่างสูงใหญ่ด้านข้างผู้นี้ สัญชาตญาณของเขารู้สึกว่าต้องเป็บุรุษร่างสูงใหญ่ผู้นั้นที่กำลังก่อความวุ่นวายแน่ เขาจึงลืมคำที่เด็กปรุงโอสถกล่าวว่า ‘สตรี’ ที่เป็คำสำคัญของประโยคนี้ไป
ภายในห้องมีสตรีอยู่เพียงสองคน ผู้หนึ่งสลบไม่ได้สติ ผู้หนึ่งรูปร่างผอมบาง ถึงแม้ไม่อยากจะยอมรับ แต่ว่าตอนนี้มีสตรีผู้นี้ที่เป็เป้าหมายที่น่าสงสัยเพียงคนเดียว
ชายชราผู้นี้ คือท่านหมอฟู่หงหลินของโรงหมอผิงอัน เขาพินิจมองหลิงมู่เอ๋อร์ที่อยู่ตรงหน้าพลางลูบเครา แล้วกล่าวอย่างเคร่งขรึมว่า “แม่หนูน้อย เ้ามีสิทธิ์อันใดมากล่าวเช่นนี้?”
หลิงมู่เอ๋อร์ยิ้มเยาะ “เห็นคนตายไม่ช่วย ท่านมีคุณสมบัติอันใดให้ถูกเรียกว่าหมอกัน?ท่านไม่ใช่แม้แต่มนุษย์ ฉวยโอกาสเอาเปรียบผู้อื่นที่กำลังเดือดร้อน ขึ้นราคาโดยไม่มีหลักเกณฑ์ นี่คือสิ่งที่โจรกระทำมากกว่า”
“ข้าฉวยโอกาสเอาเปรียบผู้อื่นที่กำลังเดือดร้อน ขึ้นราคาโดยไม่มีหลักเกณฑ์ั้แ่เมื่อใด?” ฟู่หงหลินโกรธจนตัวสั่นไปทั้งร่าง “นางเด็กน้อย อย่าคิดว่าเ้าเป็สตรีแล้วชายแก่เช่นข้าจะยอมให้เ้านะ”
“เ้าอย่าคิดว่าตนเองแก่จวนจะลงโรงอยู่แล้ว ก็สามารถอาศัยความที่ตนมีอายุมากกว่าและทำตัวเป็ผู้าุโมาเที่ยวดูถูกผู้อื่นได้ ผู้อื่นเห็นท่านเป็หมอเทวดา แต่ท่านในสายตาของสตรีอย่างข้าก็เป็แค่หมอกำมะลอที่เห็นคนตายแล้วไม่ช่วยเท่านั้น” หลิงมู่เอ๋อร์พูดอย่างเ็า
“เ้า!เ้า!” ฟู่หงหลินโกรธจะตายแล้ว
ซานเอ๋อร์ที่อยู่ข้างๆ คอยพยุงหลังของเขาไว้ตลอด กล่าวโน้มน้าวว่า “ท่านอาจารย์ ช่างเถิด อย่าไปโต้เถียงกับนางเลยขอรับ”
“แม้พวกเ้าจะไม่อยากโต้เถียงกับข้าแล้ว แต่ข้าอยากจะโต้เถียงกับพวกเ้า” หลิงมู่เอ๋อร์กล่าวอย่างเ็า “เพียงแค่ใช้ยาสมุนไพรของพวกเ้า ก็คิดราคาตั้งหนึ่งร้อยตำลึงเงิน ไม่เคยพบเห็นเงินกันหรืออย่างไร? ”
ฟู่หงหลินยังไม่รู้เื่ที่หลิงมู่เอ๋อร์ตรวจวินิจฉัยโรคและจัดเทียบยาด้วยตนเอง เขายิ่งฟังยิ่งรู้สึกผิดปกติ จึงหันมองไปซานเอ๋อร์ที่อยู่ข้างๆ
ซานเอ๋อร์เล่าต้นสายปลายเหตุของเหตุการณ์อย่างชัดเจนที่ข้างหูของฟู่หงหลิน ตามที่ซานเอ๋อร์อธิบายมา ดวงตาของฟู่หงหลินก็ประกายแววประหลาดใจขึ้นมา
“เ้าตรวจวินิจฉัยโรคเป็?” ฟู่หงหลินใช้สายตาเคลือบแคลงมองไปที่หลิงมู่เอ๋อร์ “ไม่ใช่เพราะแมวตาบอดเจอหนูตาย [5] หรอกกระมัง?”
“เกี่ยวอันใดกับท่าน ท่านพูดมาว่าตอนนี้จะทำอย่างไร หนึ่งร้อยตำลึงเงินข้าไม่มี แต่หนึ่งร้อยกำปั้นมี” หลิงมู่เอ๋อร์ใช้สองแขนกอดอก มองนิ่งๆ ที่ไปฟู่หงหลิน
ฟู่หงหลินไม่ได้กล่าวอันใด แต่กลับเดินมาที่หยางซื่อและหลิงต้าจื้อ ถึงแม้ว่าาแบนร่างกายของพวกเขาจะรักษาเรียบร้อยแล้ว แต่ฟู่หงหลินยังคงเปิดเสื้อผ้าตรวจสอบดูอีกสักพัก เมื่อเห็นเช่นนี้ สีหน้าท่าทางของเขาก็เคร่งขรึมขึ้นมา เขามองไปที่ถ้วยยาที่อยู่ข้างๆ ดมกลิ่นโอสถที่อยู่ในนั้น ในขณะนั้นเอง ดวงตาของเขาก็เปล่งประกาย เกิดความประหลาดใจออกมาอย่างไม่ทันตั้งตัว
“ดี วิเศษมาก ที่แท้ยาที่รักษาภายนอกยังสามารถปรุงยาเช่นนี้ได้ด้วย ชายแก่อย่างข้าไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าซานเยี่ยเฉ่านี้สามารถใช้ประโยชน์เช่นนี้ได้ด้วย” ท่าทางเมื่อครู่ของฟู่หงหลินเปลี่ยนไป เขาเป็มิตรต่อหลิงมู่เอ๋อร์มากขึ้น “แม่นางน้อย ไม่ทราบว่าอาจารย์ของเ้าอยู่ที่ใด?ให้ชายแก่อย่างข้าได้พบอาจารย์ของเ้าได้หรือไม่?”
หลิงมู่เอ๋อร์ไม่ชอบใจชายชราผู้นี้ และไม่สนใจคำเยินยอของเขา ตอนนี้นางเพียงแค่อยากพาครอบครัวของนางกลับไป ดังนั้น เพียงแค่้าตกลงเื่ค่ายาให้ชัดเจนก็พอแล้ว
“อาจารย์ของข้าท่องยุทธภพไปทั่วทั้งใต้หล้า มีปณิธานที่จะช่วยรักษาคนไข้ทั้งหลายในใต้หล้า เขามาพบท่านไม่ได้หรอก ท่านพูดมาว่าค่ายาจะเอาอย่างไร!” หลิงมู่เอ๋อร์กล่าวอย่างหมดความอดทนอีกครั้ง
ฟู่หงหลินลูบเครา หัวเราะเหอๆ แล้วกล่าว “แม่นางเป็ผู้เชี่ยวชาญ สิ่งที่เ้ากล่าวมาย่อมถูกต้องอย่างแน่นอน เ้าเด็กผู้นี้เพิ่งมาใหม่ ไม่รู้เื่อันใด ถ้ามีสิ่งใดที่หยาบคายต่อแม่นาง ขอให้แม่นางได้โปรดอย่าได้ถือสาเด็กน้อยคนนั้นเลย เอาอย่างนี้แล้วกัน!ชายแก่อย่างข้าตัดสินใจแล้ว ภายหลังคนในครอบครัวของพวกเ้ามาหาหมอ ชายแก่อย่างข้าก็จะไม่คิดเงินสักอีแปะ เงินค่ายาในวันนี้ก็ไม่ต้องจ่ายแล้ว ถือเสียว่าเป็การแสดงการขอโทษจากข้า”
ซานเอ๋อร์ถูกฟู่หงหลินกล่าวเช่นนี้ ใบหน้าน้อยๆ ก็แดงก่ำขึ้นมาด้วยความอับอายขายหน้า
อายุเขาไม่มาก แต่ติดตามฟู่หงหลินมาสามปีแล้ว ก็นับว่ามีประสบการณ์อยู่บ้างแล้ว ตอนนี้กล่าวราวกับว่าเขาไม่รู้เื่อันใด
น่าเสียดายที่ถึงแม้ในใจจะมีความคับแค้นใจมากเพียงใด แต่ซานเอ๋อร์ก็ไม่กล้าแสดงออกมา เพราะถึงอย่างไรอนาคตของเขาก็อยู่ในกำมือของฟู่หงหลิน
เชิงอรรถ
[1] ผิงอัน หมายถึง (平安) สงบสุข ปลอดภัย อยู่เย็นเป็สุข
[2] ซานเยี่ยเฉ่า หมายถึง บานไม่รู้โรย ชื่อวิทยาศาสตร์ Trifolium pratense L. พืชล้มลุกโดยปกติพบมากได้ทั่วไปมีใบสีเขียวออกสลับ รูปทรงสามแฉก ดอกมีสีชมพูเข้มอมแดง หรือขาว
[3]เฉียน หมายถึง(钱) เป็มาตราชั่งน้ำหนักจีนที่พบมากในการชั่งยาจีน ทองคำ เป็ต้น เฉียน เทียบบัญญัติไตรยางศ์เท่ากับ กรัม โดย 1 เฉียนเท่ากับ 500 กรัม
[4] ชิงหลานเฉ่า หมายถึง พืชชนิดหนึ่งเป็ยาจีน ชื่อวิทยาศาสตร์ Dracocephalum ruyschiana L. มีฤทธิ์ขับลม ดับร้อน บำรุงตับ ขับสารพิษ นิยมใช้แก้ปวดศีรษะ เจ็บคอ ไอ โรคดีซ่าน โรคบิด
[5] แมวตาบอดเจอหนูตาย หมายถึง เปรียบเทียบตัวเองไม่มั่นใจ แต่โชคดีหรือบังเอิญจึงประสบความสำเร็จ