หลังอวี๋เจียวฝนหมึกเสร็จ นางหยิบพู่กันขึ้นมาและนั่งลงหน้าโต๊ะเอ่ยพลางคัดอักษรว่า "วันนี้ข้างนอกคึกคักมาก ทำไมเ้าถึงไม่ออกไปดูเล่า?"
อวี๋ฉี่เจ๋อไม่เงยหน้ามอง เพียงเอ่ยเสียงเรียบว่า"ไม่เกี่ยวอะไรกับข้า"
อวี๋เจียวไม่อยากรนหาเื่ใส่ตัว นางจึงไม่พูดจาและตั้งใจคัดอักษร
ในตอนบ่ายตอนผู้ดูแลหมู่บ้านสกุลจางผู้พาลูกชายนามฉีเกอเอ๋อร์มารมควันด้วยอ้ายจิ่ว เขาได้นำเนื้อหมูจำนวนสามถึงสี่กรัมมาหนึ่งชิ้นตลอดหลายวันมานี้กินยาตามเทียบยาของอวี๋เจียว ร่างกายของฉีเกอเอ๋อร์ค่อยๆ ดีขึ้นผู้ดูแลหมู่บ้านสกุลจางรู้สึกขอบคุณอวี๋เจียวอย่างยิ่งบอกว่ารอกระทั่งฉีเกอเอ๋อร์หายดีแล้วจะให้เขามาคารวะอวี๋เจียวด้วยตัวเอง
หลังจากอวี๋หรูไห่รมควันด้วยอ้ายจิ่วเสร็จขณะส่งคนออกจากจวนได้กำชับเป็พิเศษว่า"สตรีฝึกวิชาหมอนับว่าไม่สะดวกอย่างมาก อีกทั้งข้างนอกยังมีข่าวลือมากมายหากภายหน้ามีคนถามว่าผู้ใดเป็คนรักษาโรคของฉีเกอเอ๋อร์หวังว่าผู้ดูแลหมู่บ้านสกุลจางจะไม่เอ่ยนามหลานสะใภ้ของข้า ในใต้หล้านี้ยังคงเป็บุรุษที่เป็หมอและตรวจโรคได้สะดวกกว่าสักหน่อย”
ผู้ดูแลหมู่บ้านสกุลจางไม่รู้ว่าในใจของอวี๋หรูไห่คิดคดตอนนี้เขารู้แล้วว่าจุดสองหยินอยู่ที่ใด หากบอกออกไปว่างแม่นางเมิ่งเป็คนรักษาเมื่อแพร่งพรายออกไปคงเสื่อมเสียชื่อเสียงของนางอย่างไม่อาจเลี่ยง ดังนั้นรับปากว่า“ข้ารู้แล้ว หากภายหน้าผู้อื่นถามขึ้นมาข้าจะบอกว่าท่านหมออวี๋เป็ผู้รักษาบุตรชายของข้า”
“รบกวนท่านผู้ดูแลหมู่บ้านสกุลจางแล้ว” อวี๋หรูไห่เอ่ยทั้งรอยยิ้ม
อวี๋เจียวสามารถรักษาโรคลมชักได้จริงๆท่าทีที่ผู้ดูแลสกุลจางมีต่ออวี๋หรูไห่จึงเป็มิตรอย่างมาก เอ่ยพลางยกยิ้มว่า“หาได้ยากนักที่ท่านหมออวี๋จะคิดเผื่อแม่นางเมิ่งเช่นนี้เพียงแต่สะใภ้ที่มีความสามารถเช่นแม่นางเมิ่งช่างหาได้ยากยิ่งกว่าหากฉีเกอเอ๋อร์ของข้าอายุมากกว่านี้อีกสักหน่อยข้าก็อยากจะมีลูกสะใภ้ที่เหมือนแม่นางเมิ่ง”
“ท่านผู้ดูแลสกุลจางชื่นชมเกินไปแล้ว แม่หนูเมิ่งอายุยังน้อยความรู้ด้านวิชาหมอลึกซึ้งหลายแขนง นางยังต้องเรียนรู้อีกมาก” อวี๋หรูไห่ยิ้มรับท่าทางราวกับผู้าุโที่รักใคร่เอ็นดูหลานสะใภ้อย่างยิ่ง
เพราะอวี๋จิ่นซูและอวี๋จิ่นเหยียนล้วนอยู่ในจวน ในยามเย็นสตรีแซ่อวี๋โจวสั่งให้สตรีแซ่ซ่งนำเนื้อหมู่ที่ผู้ดูแลหมู่บ้านสกุลจางส่งมาหั่นเป็สองส่วนส่วนหนึ่งนำมาตุ๋น อีกส่วนหนึ่งหมักเกลือเอาไว้บอกว่าจะอบให้เป็เนื้อแห้งเพื่อเอาไว้ให้อวี๋จิ่นเหยียนและอวี๋จิ่นซูนำไปกินในสำนักศึกษา
เห็นได้ชัดว่าคนในครอบครัวใหญ่และครอบครัวรองเคยชินกับความลำเอียงของสตรีแซ่อวี๋โจวแล้วจึงไม่มีผู้ใดคัดค้านแม้แต่นิด หลังจากสตรีแซ่ซ่งตุ๋นเนื้อเสร็จนางยังต้องง่วนอยู่กับการอบเนื้อให้แห้ง
อวี๋เจียวไม่ได้สนใจแม้ว่าผู้ดูแลหมู่บ้านสกุลจางจะมอบเนื้อให้นางเพื่อแทนคำขอบคุณแต่สกุลอวี๋มีที่ว่างให้นางเอ่ยสิ่งใดเสียเมื่อไหร่ แค่เนื้อชิ้นหนึ่งเท่านั้นหากภายหน้านางมีเงินมีอิสระจะกินเนื้อก้อนโตหรือปลาตัวใหญ่ก็เป็เื่ง่ายดายราวกับพลิกฝ่ามือไม่ใช่หรือ?
ระหว่างมื้ออาหาร อวี๋เจียวคีบเนื้อเพิ่มอีกสองสามชิ้นยังคงถูกสตรีแซ่อวี๋โจวและสตรีแซ่จ้าวถลึงตาใส่อย่างดุดัน อวี๋เจียวไม่เกรงกลัวยังสนใจแค่การกินของตนเหมือนเดิม แต่กลับทำให้อวี๋จิ่นเหยียนเงยหน้ามองนาง
หลังมื้ออาหาร อวี๋เจียวช่วยสตรีแซ่ซ่งเก็บกวาดในห้องครัวตามปกติจากนั้นเดินเล่นในลานเรือนเพื่อย่อยอาหาร
หลังจากอวี๋จิ่นซูอยู่พูดคุยกับสตรีแซ่อวี๋โจวในห้องโถงครู่หนึ่งเขากำลังจะกลับห้องไปพักผ่อน เมื่อเห็นอวี๋เจียวอยู่ในเรือนจึงเดินเข้าไป
ตลอดสองวันที่ผ่านมาเขารู้สึกสนใจใคร่รู้เื่เกี่ยวกับอวี๋เจียวไม่น้อย
"ข้าได้ยินมาว่าก่อนหน้านี้เ้าถูกบิดาของข้าทุบตีจนปางตายในเมื่อเ้ามีวิชาหมอล้ำเลิศ ไฉนจึงไม่บอกั้แ่เนิ่นๆไม่แน่ว่าตอนนั้นท่านปู่อาจไม่ให้เ้าเสริมมงคลกับเ้าห้าแต่ยังจะยกเ้าให้จิ่นเหยียนเสียด้วยซ้ำ!" อวี๋จิ่นซูเอ่ยวาจาหยอกล้อ
อวี๋เจียวเหลือบมองเขา นางไม่เอ่ยสิ่งใด
อวี๋จิ่นซูยิ้มเยาะแล้วเอ่ยต่อไปว่า"คิดว่ามีวิชาหมอแล้วเก่งกาจนักงั้นหรือ? จิ่นเหยียนก็ยังไม่ชอบเ้าอยู่ดี เ้าน่ะ ชั่วชีวิตนี้ก็ได้แต่เป็ม่ายเฝ้าคนป่วยผู้นั้นไปชั่วชีวิตเท่านั้น!"