หยางหนิงจ้องไปที่โต้วเหลียนจงนิ่งๆ โต้วเหลียนจงรู้สึกร้อนใจจนอยู่ไม่นิ่ง พูดเพียงว่า “ในเมื่อข้าทำแตก จะให้ข้าชดใช้เงินให้พวกเ้าก็ใช่ว่าจะไม่ได้ แต่ว่า…!” เขาพูดอย่างระมัดระวังว่า “ม้าหยกตัวนี้มันมีราคาเท่าไหร่กันแน่ ซื่อจื่อท่านมีราคาในใจหรือไม่?”
“เงินรึ?” หยางหนิงยิ้มอย่างหยิ่งยโสแล้วพูดว่า “คุณชายโต้ว เ้าคิดว่าจวนโหวของข้าขาดแคลนเงินอย่างนั้นหรือ?”
โต้วเหลียนจงสีหน้านิ่งไป แล้วพูดว่า “ซื่อจื่อ หากท่านจะพูดเช่นนี้ ข้าก็ไม่มีสิ่งใดจะพูด แล้วจะท่านจะให้ข้าชดใช้อย่างไร เ้าก็พูดมา ไม่ต้องอ้อมค้อม” เขาหัวเราะแล้วพูดต่อว่า “พูดตามตรง เ้าพูดยกยอของของเ้าที่นี่ ม้าหยกหลิวหลีตัวเดียวกลายมาเป็มรดกตกทอดของตระกูลเ้า จริงหรือไม่ ใครจะไปรู้?”
“คุณชายคิดจะบ่ายเบี่ยงอย่างนั้นรึ?” หยางหนิงหัวเราะ “น่าเสียดายที่วิธีนี้ใช้กับจวนจิ่นอีโหวไม่ได้”
โต่วเหลียนจงพูดว่า “จริงๆ แล้วพวกเราไม่ต้องมาถกเถียงกันตรงนี้ก็ได้ ข้าโต้วเหลียนจงเป็ผู้มีเหตุผล ในเมื่อเ้าบอกว่าม้าหลิวหลีเป็ของวิเศษ เราก็แค่หาคนที่รู้และเชี่ยวชาญของโบราณ มาดูว่ามันจริงหรือไม่”
“ตามที่เ้าพูดมา แม้แต่นักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ หลังจากตายแล้ว เห็นแค่ศพ ก็สามารถรู้ได้เลยว่าเขาเชี่ยวชาญสิ่งใดบ้างอย่างนั้นหรือ?” หยางหนิงพูดนิ่งๆ ว่า “ม้าหยกหลิวหลีสมบูรณ์ไม่มีแตกหัก เป็ของวิเศษ แต่หากท่านทำมันแตกไปแล้ว จะไปเห็นอะไรได้?”
สีหน้าของโต้วเหลียนจงดูแย่นัก จ้าวซิ่นที่อยู่ข้างๆ ก็เดินเข้ามาใกล้ๆ เขา แล้วกระซิบอะไรสักอย่างข้างหูโต้วเหลียนจง โต้วเหลียนจงรีบพูดขึ้นมาว่า “หากเป็มรดกตกทอดของตระกูลเ้าจริง ข้าจะชดใช้อย่างแน่นอน แต่หากว่าเ้าโกหกข้า ข้าก็จะไม่ให้ใครมาเอาเปรียบข้าแน่” เขาเหลือบไปที่เศษม้าหยกหลิวหลีที่แตกแล้วพูดว่า “เ้ากับข้าเถียงกันต่อไปก็ไม่มีประโยชน์อันใด พวกเราต้องแยกแยะให้ออกว่าสิ่งใดเป็สิ่งใด ตอนนี้เราก็ไปที่ศาลาว่าการได้เลย”
“ศาลาว่าการอย่างนั้นรึ?” หยางหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “คุณชายโต้วอยากจะไปพบเ้าหน้าที่ทางการอย่างนั้นรึ?”
โต่วเหลียนจงพูดว่า “ถูกต้อง จะต้องไปพบเ้าหน้าที่ทางการ”
“ดี” หยางหนิงไม่ลังเล “ต่อให้ต้องไปถึงตำหนักจินหลวน ท่านทำมรดกตกทอดของบ้านข้าแตก ยังไงท่านก็หนีไม่พ้น ข้าจะไปที่ศาลาว่าการกับเ้าเดี๋ยวนี้”
โต้วเหลียนจงรู้ดีว่าหากเื่นี้ยังอยู่ที่จวนจิ่นอีโหว คงจบไม่สวยแน่ จึงเสนอให้ไปที่ศาลาว่าการ คิดว่าน่าจะมีทางไกล่เกลี่ยได้
จ้าวซิ่นยืนอยู่ข้างๆ ก็อดไม่ได้ที่จะพูดขึ้นมาว่า “แล้วเื่ใบรับจำนำของข้าเล่า...?”
“เ้าจะรีบร้อนไปทำไมกัน?” หยางหนิงก็ไม่ได้พูดดีด้วย“มรดกตกทอดของตระกูลข้าชิ้นนี้ อย่าว่าแต่เงินจำนวนนี้ของเ้าเลย ต่อให้อีกสิบเท่าก็เทียบไม่ได้แม้แต่น้อย ข้าไม่ค้างเงินเ้าอย่างแน่นอน”
โต้วเหลียนจงคิดในใจว่า เ้าเด็กนี่โหดจริงๆ ม้ากะโหลกกะลา เพียงตัวเดียวจะเรียกร้องค่าเสียหายใหญ่โต ในเมื่อเป็เช่นนี้ ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ต้องพูดกันให้ชัดที่ศาลาว่าการเลย
ศาลาว่าการเมืองหลวงใครๆ ก็รู้ว่า เป็สถานที่ราชการของเมืองหลวง คดีน้อยใหญ่ในเมืองหลวงแห่งนี้ ไม่ว่าจะเกิดข้อพิพาทใดก็ตาม จะถูกส่งเื่ไปยังศาลาว่าการ โดยศาลาว่าการยังดูแลความสงบของเมืองหลวงอีกด้วย
ศาลาว่าการเมืองหลวงอยู่ภายใต้กรมอาญา ดังนั้นผู้ว่าการเมืองหลวงก็ถือว่าเป็ขุนนางที่กรมอาญาคัดเลือกมา
เมื่อโต้วเหลียนจงกับหยางหนิงมาถึงศาลาว่าการ ยังไม่ทันได้กินข้าวกลางวันสักคำ ทั้งสองมีสถานะพิเศษ เมื่อรู้ว่าคุณชายของทั้งสองตระกูลมาฟ้องร้องกันถึงศาลาว่าการ เ้าหน้าที่ก็รีบเข้าไปรายงาน
ถึงแม้ศาลาว่าการจะมีคดีให้จัดการต่อเดือนไม่น้อย แต่คดีของวันนี้นั้น พบได้น้อยมาก
ในเมืองหลวงมีเชื้อพระวงศ์ชนชั้นสูงมากมาย ขุนนางชั้นผู้ใหญ่ก็มีมากยิ่งนัก ดังนั้นลูกหลานของพวกเขาก็มีเท่ากองูเา การพาพวกปะทะกันเป็เื่ที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ต่อให้เกิดเื่กระทบกระทั่ง ก็จัดการกันส่วนตัว น้อยมากที่จะมาฟ้องร้องที่ศาลาว่าการ
หากว่าฉีจิ่งยังอยู่ ต่อให้โต้วเหลียนจงมีความกล้ามากสักเพียงใด ก็ไม่กล้าหาเื่จวนจิ่นอีโหว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าจิ่นอีโหวซื่อจื่อจะมายังศาลาว่าการเลย
แต่ว่าสถานการณ์ในตอนนี้ไม่เหมือนเดิม ฉีจิ่งได้ตายไปแล้ว โต้วเหลียนจงสงสัยว่าหยางหนิงกำลังขุดหลุมพรางตัวเอง จึงมาฟ้องร้องที่ศาลาว่าการ ตอนที่ออกมาจากจวนจิ่นอีโหว ก็แอบกระซิบกับจ้าวซิ่นบางอย่าง หลังจ้าวซิ่นออกจากจวนก็แยกออกไป เขาไม่ได้ตามโต้วเหลียนจงไปที่ศาลาว่าการ
ไม่นานนัก ทั้งสองก็ได้รับเชิญให้เข้าไปด้านในศาลาว่าการ จ้าวอู๋ซางกับองครักษ์ที่ติดตามหยางหนิง ก็ไม่สามารถตามเข้าไปด้านในได้ แต่ว่าหยางหนิงบอกว่าจ้าวอู๋ซางเป็พยาน ถึงแม้ตอนนี้จวนจิ่นอีโหวจะไม่เหมือนเดิมแล้ว แต่ว่าก็ยังคงมีอำนาจยิ่งนัก ศาลาว่าการเองก็ไม่อยากมีปัญหา จึงปล่อยให้ทางจ้าวอู๋ซางเข้ามาได้
เ้าหน้าที่ไม่ได้พาทั้งสามไปที่ศาล แต่พาพวกเขาไปยังห้องโถงรับรอง หลังจากเข้าไปนั่งแล้ว โต้วเหลียนจงยิ้มแล้วพูดว่า “ฉีหนิง อย่างไรเสียเ้าก็เป็ถึงผู้สืบทอดตำแหน่งจิ่นอีโหว ท่านจิ่นอีโหวทั้งสองเป็คนตรงไปตรงมาไม่มีหมกเม็ด คิดไม่ถึงว่าเ้าจะใช้วิธีสกปรกทำเื่เช่นนี้ ชื่อเสียงของจิ่นอีโหว คงจะต้องถูกเ้าทำลายจนหมดสิ้น”
“ข้อแรก นิสัยของเ้า โต้วเหลียนจง เ้าก็ไม่ได้ตรงไปตรงมา ดังนั้นเ้าไม่มีสิทธิ์มาตัดสินคนอื่น” ทั้งสองคนแตกหักกันแล้ว หยางหนิงก็ไม่ได้เกรงใจ “ข้อสอง ทำมรดกตกทอดของตระกูลจวนจิ่นอีโหวแตก เ้าไม่เพียงไม่สำนึก ยังคิดจะให้ร้ายข้าอีก คิดจะหนีความรับผิดชอบไปอีก แค่เื่นี้ ก็รู้แล้วว่าคนอย่างเ้าเป็อย่างไร”
“พวกเราไม่จำเป็ต้องเถียงกัน” โต้วเหลียนจงยิ้มแล้วพูดว่า “เกรงว่าเ้าคงยังไม่รู้ว่าท่านผู้ว่าการเป็คนอย่างไร”
หยางหนิงหันไปมองจ้าวอู๋ซางที่ยืนอยู่ข้างๆ จ้าวอู๋ซางพูดว่า “ใต้เท้าจินโม่เป็ผู้ว่าการของที่นี่แล้วก็ยังเป็เ้าหน้าที่ขุนนางขั้นสามของกรมอาญา เป็คนเที่ยงธรรมไม่เห็นแก่หน้าผู้ใดทั้งสิ้น ตรงไปตรงมา ตัดสินคดีความดุจเทพ ดังนั้นจึงมีฉายาว่า ‘ผู้พิพากษาโม่ตัดสินอย่างเที่ยงธรรม’!”
เขาเป็คนที่พูดจาใช้คำง่ายๆ พูดแค่สองสามคำก็สามารถอธิบายลักษณะของท่านผู้ว่าการออกมาได้อย่างชัดเจน
โต้วเหลียนจงยิ้มแล้วพูดว่า “รู้ก็ดีแล้ว ตอนที่ใต้เท้าโม่ทำงานที่กรมอาญา ก็มีชื่อเสียงด้านนี้อยู่แล้ว ตอนที่เขาเข้ามาทำงานที่กรมอาญาอายุเพิ่งจะยี่สิบ หลายปีมานี้ คดีที่เขารับผิดชอบ เขาก็จัดการได้อย่างชัดเจน ฉีหนิง ม้าหยกหลิวหลีของเ้ามันของชั้นล่างไร้ราคา ยังกล้าเอามาบอกว่าเป็มรดกตกทอดของตระกูลอีก ใต้เท้าโม่จะต้องให้ความเป็ธรรมอย่างแน่นอน”
เมื่อสิ้นเสียงเขา ก็ได้ยินเสียงะโเสียงหนึ่งดังขึ้น “ขึ้นศาล!”
หลังจากนั้นก็เห็นเ้าหน้าที่สี่นายวิ่งออกมา หลังจากเข้ามาแล้ว ก็แยกซ้ายขวากันไป หลังจากนั้นก็ได้ยินเ้าหน้าที่ทั้งสี่นายะโขึ้นมาพร้อมกันว่า “เชิญผู้พิพากษา!” จากนั้นก็เคาะไม้พองในมือดัง “ตึง ตึง” ถึงแม้คนจะไม่มากนัก แต่ก็มีความดุดัน
จากนั้นก็เห็นคนๆ หนึ่งเดินเข้ามา สวมชุดขุนนางสีดำ อายุราวสี่สิบ ผิวหน้าขาวกว่าปกติ ไม่มีเืฝาด สีหน้าซีดเซียว ตาโต คิ้วหนา สีหน้าจริงจัง มันเป็ความองอาจแบบที่ไม่ได้มีความโกรธ
หยางหนิงรู้ว่าท่านผู้นี้น่าจะท่านใต้เท้าโม่ ด้านหลังใต้เท้าโม่ มีท่านราชเลขาตามมาด้วย
หลังจากที่ผู้ว่าการโม่เข้ามา ก็ไม่ได้มองไปด้านใดด้านหนึ่ง ไม่มองหยางหนิงหรือโต้วเหลียนจงเลย เดินตรงไปนั่งตรงกลาง ท่านราชเลขาเองก็เดินไปนั่งที่โต๊ะด้านข้าง จัดแจงทั้งน้ำหมึกกระดาษพร้อม เขาหยิบพู่กันขึ้นมา เตรียมพร้อมแต่ไม่พูดสิ่งใด
ผู้ว่าการโม่กระแอม แล้วมองซ้ายขวา หยางหนิงกับโต้วเหลียนจงก็ลุกขึ้นมา แล้วคำนับให้กับท่านผู้ว่าการ โต้วเหลียนจงกำลังจะพูด ท่านผู้ว่าโม้ก็พูดขึ้นมาว่า “จริงๆ ต้องไปที่ห้องโถงใหญ่ของศาล แต่ว่าเห็นแก่หน้าตาของตระกูลพวกท่าน จึงให้มาขึ้นศาลกันที่นี่ ก่อนที่ข้าจะสอบสวนคดี ขอถามก่อน พวกท่านแน่ใจที่จะฟ้องร้องกันแล้วรึ? หากเกิดเปลี่ยนใจ ข้าสามารถหยุดการไต่สวนได้เดี๋ยวนี้ ไม่อย่างนั้นคดีนี้จะถูกบันทึกถ้อยคำเอาไว้” แล้วชี้ไปที่ท่านราชเลขา “ท่านราชเลขาจะทำการจดบันทึกทุกถ้อยทุกคำของพวกท่านเอาไว้ทั้งหมด”
โต้วเหลียนจงเหลือบไปมองหยางหนิง ยิ้มแห้งๆ แต่มีความหวาดกลัวท่านผู้ว่าการโม่อยู่ เขายกมือคำนับขึ้นมาแล้วพูดว่า “เรียนใต้เท้า จิ่นอีโหวซื่อจื่อฉีหนิงวางแผนหลอกลวงข้าน้อย ข้าน้อย...!”
ท่านผู้ว่าการโม่ยกมือขึ้นมา “ไม่จำเป็ต้องแทนตัวเองว่าข้าน้อยหรอก ที่นี่ไม่มีข้านงข้าน้อยอะไรทั้งนั้น เ้าแจ้งชื่อของเ้ามา” แล้วพูดว่า “ก่อนที่ข้าจะมีคำตัดสินอะไรไป จะไม่มีการตัดสินว่าใครเป็คนผิดทั้งนั้น เ้าบอกว่าฉีหนิงวางแผนหลอกลวงเ้า เ้าเองก็จะต้องเอาหลักฐานออกมา หากมีเพียงแค่คำพูด ข้าจะตัดสินให้พวกเ้าได้อย่างไร”
โต้วเหลียนจงใ แล้วก็รู้สึกเขินอาย “ข้า...โต้วเหลียนจงรับทราบขอรับ!”
ท่านผู้ว่าการโม้พยักหน้า แล้วหันไปพูดกับหยางหนิงว่า “ฉีหนิง พวกเ้าสองคนมาฟ้องร้อง ผู้ใดคือจำเลย?”
ทั้งสองชี้ไปที่อีกฝ่ายพร้อมกัน “ข้าจะฟ้องเขา!”
ท่านผู้ว่าโม้ขมวดคิ้ว พูดเสียงขึงขังว่า “พวกเ้าเล่นอะไรกัน?” ชี้ไปที่โต้วเหลียนจง “เล่าเื่ทั้งหมดมา ฉีหนิง ก่อนเขาจะพูดจบ เ้าห้ามพูดแทรก!”
โต้วเหลียนจงก็เล่าั้แ่ก่อนเกิดเื่ จากนั้นก็พูดว่า “ใต้เท้าโม้ ฉีหนิงคิดมาแล้วอย่างดี เขาวางแผนเอาไว้หมดแล้ว ม้าหยกหลิวหลีตัวหนึ่งที่ไม่มีราคา แต่เขากลับบอกว่าเป็มรดกตกทอดของตระกูล ยังบอกอีกว่าทำนายความเป็ความตายได้ มันเหลวไหลสิ้นดี”
ผู้ว่าการโม่พูดเรียบๆ ว่า “เ้าพูดจบแล้วใช่หรือไม่?”
โต้วเหลียนจงคิดจะพูดเสริมอีก แต่ว่าเห็นผู้ว่าการโม่สีหน้าเคร่งขรึม ก็พยักหน้า ผู้ว่าการโม่หันไปมองฉีหนิง แล้วถามว่า “ที่โต้วเหลียนจงพูดมานั้นจริงหรือไม่?”
“เรียนใต้เท้า เื่ที่เขาเล่าก่อนหน้านี้ไม่ผิด” หยางหนิงพูดต่อว่า “เมื่อคืนนี้โรงรับจำนำของข้าถูกไฟไหม้ โต้วเหลียนจงพาคนมาที่สถานที่เกิดเหตุ แล้วรีบร้อนจะไถ่ของออกไป เช้าวันนี้เขาก็มาที่จวนโหว คิดจะมารับเงินค่าเสียหาย จริงๆ แล้วข้าให้พวกเขารอที่ห้องโถงด้านหน้า แต่ว่าโต้วเหลียนจงกลับมาหาข้าเอง อีกทั้งยังร้องขอดูมรดกตกทอดของตระกูล เพื่อดูความวิเศษของมัน จากนั้นเขาก็ยกมันออกจากประตูไป แต่เขาไม่ระวัง สะดุดล้มทำให้ม้าหยกหลิวหลีตกแตก นั่นคือสมบัติมรดกตกทอดของตระกูลจิ่นอีโหว ถูกเขาทำแตกเช่นนี้ เขาไม่เพียงไม่สำนึก กลับใส่ร้ายข้าว่าวางแผนหลอกลวงเขา...!” ยิ้มด้วยความขมขื่นแล้วพูดว่า “ข้าไม่รู้จะต้องทำอย่างไร ขอใต้เท้าโม่ให้ความเป็ธรรมด้วย”
โต้วเหลียนจงยิ้มแห้งๆ แล้วพูดว่า “เ้ายังเสแสร้งอีกรึ? สายตาของใต้เท้าโม่เฉียบแหลม จริงเท็จเป็อย่างไหร เดี๋ยวก็รู้กัน”
“เมื่อคืนไฟไหม้ ข้ารู้แล้ว” ผู้ว่าการโม่พูดว่า “คนของจวนเ้าส่งคนมาแจ้ง ข้าเองก็ได้ส่งคนไปตรวจสอบเื่นี้แล้ว” จากนั้นก็ลูบเคราเบาๆ “ฉีหนิง มรดกตกทอดของตระกูลชิ้นนั้น เ้านำมาด้วยหรือไม่?”
“นำมาด้วยขอรับ” หยางหนิงมองไปที่จ้าวอู๋ซาง จ้าวอู๋ซางหยิบห่อผ้าออกมา แล้วยื่นไปให้ เมื่อเปิดออก ด้านในมันคือเศษม้าหยกหลิวหลี
ใต้เท้าโม่หยิบมันขึ้นดูชิ้นหนึ่ง มองแล้วพูดว่า “หยกหลิวหลีนี่หยาบยิ่งนัก ดูจากวัสดุ ก็น่าจะไม่ได้มีราคาค่างวดอะไรมากนัก”
สีหน้าของโต้วเหลียนจงก็ยิ้มออกมา มองไปที่หยางหนิงด้วยความสะใจ
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้