“ศิษย์พี่ ช่วยข้าด้วย!”
เ้าิคุกเข่าลงกับพื้นด้วยเนื้อตัวสั่นเทา แม้ในใจจะเต็มไปด้วยความเกลียดชัง ทว่ากลับมีความรู้สึกทุกข์ตรมปนอยู่ด้วย
“หยุดเดี๋ยวนี้นะ! เ้าไม่ได้ยินหรือ?”
ศิษย์สำนักร้อยบุปผาคนหนึ่งยืนขึ้นและะโใส่หนิงเทียน
“ศิษย์พี่แค่เอ่ยวาจากับเ้าไม่กี่คำ ถึงขั้นต้องลงมือโหดร้ายเพียงนี้เชียวหรือ? ช่างต่ำช้ายิ่งนัก เ้าไม่กลัวการลงโทษตามกฎของสำนักเลยใช่หรือไม่?”
หนิงเทียนเหลือบมองคนผู้นั้น “ข้ารู้จักเ้าหรือ?”
“เ้าน่าจะไม่รู้จักข้า”
“ในเมื่อเราไม่รู้จักกันแล้วเ้าพูดพล่ามเช่นนี้ รนหาที่ตายหรือ?”
“จองหองนัก ข้าก็เป็ศิษย์ของสำนักร้อยบุปผา!”
“ผู้ใดจะรู้เล่า? เ้าอาจจะเป็ศิษย์สำนักเชียนเฉ่าปลอมตัวมาก็เป็ได้ไม่ใช่หรือ?”
หนิงเทียนกล่าวเยาะเย้ยพลางใช้มือซ้ายตบไหล่เ้าิ เสียงกระดูกหักดังชัดในโสตประสาทของทุกคน นี่เป็การปลุกปั่นในที่สาธารณะ
เ้าิแผดเสียงคำรามอันแหลมคม
“รากจิติญญาของข้า...อ๊าก!”
เืสีแดงฉานหลั่งรินจากทวารทั้งเจ็ด เขากลายเป็ผู้พิการทันที
“เ้าหนู! เ้ากล้าทำร้ายศิษย์ร่วมสำนัก เ้ากำลังแสวงหาความตาย!”
ชายผู้นั้นคำรามด้วยความโกรธ เขาใช้ฝ่ามือฟาดหนิงเทียนพร้อมปล่อยดอกไม้ประหลาดหกดอกรอบกาย แสดงให้เห็นว่าเขาอยู่ในขอบเขตจิตหยั่งลึกขั้นหก
ความเ็าปกคลุมดวงตาของหนิงเทียนทันที เขาก้าวถอยหลังเพื่อหลีกเลี่ยงการโจมตีของคู่ต่อสู้
“กล้าหลบเสียด้วย แต่เ้าคิดว่าเ้าจะรอดหรือ?”
หนิงเทียนหลบการจู่โจมได้อีกครา ทว่าความหนาวเย็นก็เริ่มแล่นผ่านจิตใจ
“เ้าไม่ควรลงมือเกินสามครั้ง”
“ขู่ข้าหรือ? ข้าจะตีเ้าให้ตาย!”
เมื่อชายผู้นั้นโจมตีครั้งที่สาม หนิงเทียนก็ชกโต้กลับ โลหิตที่เดือดพล่านมีพลังอันน่าสะพรึงกลัวอย่างไม่อาจอธิบายได้
คู่ต่อสู้กรีดร้องก่อนจะลอยออกไป เสียงกระดูกร้าวดังคมชัด แขนขวาหักเป็ท่อน และไหล่ขวาก็แตกเป็เสี่ยง
หนิงเทียนไล่ตามติดราวเงาผี ทั้งยังเตะเท้าและตบมือขวาจนชายคนนั้นทรุดตัวนั่งคุกเข่าลงไป เข่าของเขาแตกร้าวพร้อมเสียงร้องลั่น เหงื่อเย็นไหลอาบหน้าผากราวกับสายฝน
“ข้าเตือนเ้าแล้ว ทว่าเ้าไม่คิดคว้าโอกาสสุดท้ายไว้” น้ำเสียงของหนิงเทียนเ็าเสียจนผู้ที่ได้ยินต่างรู้สึกไม่สบายใจ
“เ้าคนต่ำช้า ข้าไม่อาจอภัยเ้าได้ ข้าต้อง...อั๊ก!”
หนิงเทียนออกแรงเตะอีกครั้ง ครานี้ร่างของอีกฝ่ายแหลกสลายในทันทีและเสียชีวิตลง ณ ตรงนั้น
“หยุดนะ! จะ...เ้ากล้าสังหารสหายร่วมสำนักได้อย่างไร? มา จัดการเขากันเถอะ!”
“กล้ารุกรานและทำร้ายศิษย์พี่ สมควรถูกปะา!”
ลูกศิษย์สำนักร้อยบุปผากว่าสิบคนะโสาปแช่ง ทุกคนล้วนคุ้นเคยกับผู้เสียชีวิตมาก่อน หรือไม่ก็เป็ผู้ที่เคยเยาะเย้ยหนิงเทียน
“ฆ่าเขา!”
ยิ่งจำนวนคนมากเท่าใด ความกล้าก็ยิ่งมากขึ้นตามไปด้วย คนกลุ่มหนึ่งรีบรุดเข้ามาฟาดฟัน หลายคนส่งเสียงเป็กำลังใจพร้อมกำชับให้ฆ่าทิ้ง เมื่อได้ยินดังนั้นพวกเขาก็บุกโจมตีอย่างไร้ความปรานี
“ทะยานหลงเงาตัดผกา!” เพียงหนิงเทียนดีดนิ้ว หมู่เมฆาก็สั่นสะท้านเนื่องด้วยใบมีดคมกริบ หลังจากบรรลุขัดเกลากายาระดับแรกแล้ว ความแข็งแกร่งของเขาก็เพิ่มขึ้นอย่างน่าอัศจรรย์ ไม่ว่าจะดาบ ปืน กระบี่ หรือหน้าไม้ ต่างก็ไม่สามารถทำอันตรายเขาได้ เว้นเสียแต่อาวุธเ่าั้จะเป็อาวุธิญญาจื๋อซิว
ปัง! ปัง! ปัง!
พลั่ก! พลั่ก! พลั่ก!
เสียงร้องโอดครวญมาพร้อมเืสาดกระเซ็น ทุกคนที่บุกเข้ามาล้วนพิการไม่ก็เข่าทรุด แม้กระทั่งผู้อยู่ในขอบเขตจิตหยั่งลึกขั้นหกก็ยังถูกหนิงเทียนทุบตีจนตายด้วยหมัดเดียว
“จะ...เ้า...เ้าจะทำอะไร?” ชายผู้ล้มลงกับพื้นจ้องมองหนิงเทียนด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“ผู้ที่้าสังหารข้า ล้วนต้องถูกข้าสังหาร!”
น้ำเสียงของหนิงเทียนเ็าและไร้ปรานี เขาใช้มือขวาฟาดหัวชายคนนั้น ศีรษะของอีกฝ่ายฉีกออกเป็ชิ้นๆ และรากจิติญญาในร่างก็ถูกดึงออกมาก่อนจะล้มลงนอนอย่างไร้ลมหายใจ
“เราล้วนเป็ศิษย์สำนักร้อยบุปผา เ้าไม่อาจทำเช่นนี้...อ๊าก!”
“ข้าก็เป็ศิษย์ของสำนักร้อยบุปผาเช่นกัน เหตุใดเ้าถึงคิดสังหารข้าได้ แต่ไม่อนุญาตให้ข้าสังหารเ้า?”
พลังฝ่ามือของหนิงเทียนเปรียบเสมือนการเยือนยมโลก บรรดาผู้โจมตีในยามนี้ล้วนหลงเหลือเพียงความเสียใจ
“ศิษย์พี่ช่วย...อ๊าก!”
“ศิษย์น้องฉิน ช่วยข้าด้วย!”
หลายคนเริ่มร้องขอความเมตตา
“หนิงเทียน พอได้แล้ว!” ร่างหนึ่งเข้าห้ามหนิงเทียน เขาคือศิษย์ในขอบเขตจิตหยั่งลึกขั้นเจ็ด
“ศิษย์พี่หลู รีบฆ่าเด็กนี่เถิด ช่วยล้างแค้นให้พวกเราด้วย”
หนิงเทียนมองศิษย์พี่หลูแล้วพูดอย่างเ็า “หลีกไป”
“ควรหยุดเมื่อสมควร ตอนนี้เ้าได้ลงโทษพวกเขาแล้ว”
“ข้าบอกให้หลีกไป!” หนิงเทียนขึ้นเสียง จิตสังหารที่มองไม่เห็นกำลังห่อหุ้มร่างตรงหน้า
“อย่าทะนงตนเกินไปนัก เ้าคิดว่าไม่มีผู้ใดหยุดเ้าได้จริงหรือ?” ศิษย์พี่หลูเริ่มโกรธ เขาเป็หนึ่งในผู้ที่มีฝีมือล้ำเลิศที่สุดของสำนัก
“ข้าให้โอกาสท่านแล้วสองครั้ง” พลันร่างของหนิงเทียนเปล่งแสงสว่างแล้วปล่อยหมัดขวาออกไปด้วยความเร็วดุจดาวตก พลังรุนแรงจนมวลอากาศโดยรอบสั่นสะท้าน
สีหน้าของศิษย์พี่หลูเปลี่ยนไปก่อนจะพูดด้วยความโกรธ “เกรงว่าเ้าจะทำไม่สำเร็จแล้ว และหากข้าไม่มอบบทเรียนแก่เ้า เ้าก็จะไม่...อ๊าก!”
เสียงกึกก้องดังขึ้นอย่างกะทันหัน หยาดเืสาดกระจายพร้อมกับเสียงกรีดร้อง
ร่างกายของหนิงเทียนไม่บุบสลายแม้แต่น้อย พลังหมัดของเขาเต็มไปด้วยเืเดือดพล่าน เขาโจมตีแขนขวาของศิษย์พี่หลูด้วยท่าทีดุร้ายราวกับเทพผู้บ้าคลั่ง
“ทะลวงพันชั้น!” หนิงเทียนคำรามเสียงดังด้วยพลังที่ท่วมท้น เขาไม่มีความตั้งใจจะหยุดการเคลื่อนไหวเลยสักนิด
ศิษย์พี่หลูใอย่างมาก ก่อนจะกล่าวอย่างเคร่งเครียด “หนิงเทียน เ้าทำเกินไปแล้ว!”
“เหตุใดไม่บอกว่าข้ารนหาที่ตายเล่า?”
พลังทะลวงพันชั้นนั้นช่างมหัศจรรย์ ยิ่งผนวกกับความแข็งแกร่งทางกายภาพของหนิงเทียนแล้ว เพียงหนึ่งกระบวนท่าก็สามารถทำให้ร่างกายของศิษย์พี่หลูาเ็สาหัสจนเกือบสิ้นลม
ฉากนี้สร้างความแตกตื่นให้แก่ผู้เห็นเหตุการณ์อย่างมาก หลายคนเริ่มถอยกลับตามสัญชาตญาณ แววตาทุกคู่มีเพียงความหวาดกลัว
“ศิษย์พี่หลู! โอ้์! เป็เช่นนี้ไปได้อย่างไร?”
“ศิษย์น้องฉินช่วยด้วย... ช่วยพวกเราด้วย”
ฉินเสี่ยวเยวี่ยแสดงสีหน้าน่าเกลียดก่อนจะพูดอย่างลังเล “หนิงเทียน...”
“ข้าไม่คุ้นเคยกับเ้า หาก้าช่วยเหลือพวกเขา เ้าจะลองดูก็ได้นะ ข้าไม่รังเกียจที่จะส่งเ้าไปยมโลกพร้อมกับพวกเขา” น้ำเสียงของหนิงเทียนเ็าและโเี้ เขาเดินเข้าไปหาคนเ่าั้ทีละก้าว ไม่ว่าจะตายด้วยฝ่ามือหรือถูกเตะจนร่างแหลก รากแห่งจิติญญาก็ล้วนถูกกลืนกิน และหินิญญาทั้งหมดก็ถูกปล้นไป
ศิษย์พี่หลูมองหนิงเทียนอย่างหวาดกลัว และพูดด้วยเสียงสั่นเครือ “จะ...จะ...เ้าไม่กลัวการลงโทษของสำนักร้อยบุปผาหรือ?”
“แล้วกฎของสำนักช่วยชีวิตเ้าได้หรือ? เ้าโง่!”
หลังจากตบศิษย์พี่หลูจนตาย เขาก็มองไปรอบๆ แล้วพูดอย่างเ็า “มีผู้ใดมองว่าสิ่งที่ข้าทำนั้นไม่ถูกอีกบ้าง? ข้ายินดีน้อมรับคำวิจารณ์”
รอบด้านมีเพียงความเงียบ คนส่วนใหญ่ก้มศีรษะลงและหลีกเลี่ยงการสบสายตากับเขา
“ในเมื่อข้าทำสิ่งที่ถูกต้อง เหตุใดจึงไม่ปรบมือให้ข้าเล่า?” รอยยิ้มเย็นะเืปรากฏขึ้นบนใบหน้าของหนิงเทียนจนหลายคนรู้สึกหนาวสันหลัง ก่อนจะกล้ำกลืนฝืนทนปรบมือชื่นชมเขา
ใบหน้าของฉินเสี่ยวเยวี่ยเริ่มซีดเซียว ช่างน่าอายยิ่งนัก ก่อนหน้านี้นางคิดว่าตนสามารถกำราบหนิงเทียนได้จากการเลื่อนขั้นสองครั้งติดต่อกัน แต่คาดไม่ถึงเลยว่าเขาจะดุร้ายมากเพียงนี้ แม้กระทั่งผู้บำเพ็ญในขอบเขตจิตหยั่งลึกขั้นเจ็ดก็ยังถูกทุบตีจนตาย
“ศิษย์พี่เสิ่น ข้าทำให้ท่านเห็นเื่น่าขันเสียแล้ว” หนิงเทียนเพิกเฉยต่อการมีอยู่ของฉินเสี่ยวเยวี่ยและเริ่มพูดคุยกับเสิ่นซินจู๋
“ความแข็งแกร่งของศิษย์น้องหนิงทำให้ศิษย์พี่กลัวแทบตาย ตอนแรกข้ากังวลว่าเ้าจะถูกพวกเขารังแก ไม่คาดคิดเลยว่าเ้าจะแข็งแกร่งถึงเพียงนี้” เสิ่นซินจู๋ลูบหน้าอกปลอบใจตนเอง รอยยิ้มของนางดูไม่เป็ธรรมชาติเล็กน้อย
เสิ่นซินจู๋เห็นกับตาว่าหนิงเทียนสังหารศิษย์ในสำนักไปมากมาย แต่นางกลับทำได้เพียงหลีกเลี่ยงการกล่าวถึงมัน
“ความแข็งแกร่งของข้าจะเทียบกับศิษย์พี่ได้อย่างไร?” หนิงเทียนยิ้มอย่างสุภาพ ทว่าคำตอบของเขากลับทำให้หลายคนรู้สึกเกรี้ยวกราด
จากนั้นเฉินจี๋ก็ถามถึงสาเหตุที่ถูกศิษย์สำนักั์พฤกษาไล่ล่า หนิงเทียนตอบสั้นๆ เพียงสองสามคำ ก่อนจะกล่าวคำอำลากับเสิ่นซินจู๋
“ศิษย์พี่ดูแลตนเองด้วย แล้วพบกันใหม่”
“ศิษย์น้องหนิง โปรดระวังตัว”
เสิ่นซินจู๋โบกมือลา ขณะที่ฉินเสี่ยวเยวี่ยยืนนิ่งเงียบอยู่ไม่ไกลและรู้สึกราวกับถูกทอดทิ้ง
...
อาณาเขตของแดนลับนั้นยิ่งใหญ่สุดลูกหูลูกตา
ในหุบเขาลึก มีถ้ำแห่งหนึ่งปรากฏขึ้นเหนือพื้นดินประมาณร้อยจั้ง ซึ่งดึงดูดสายตาของศิษย์ทั้งสี่สำนักเป็อย่างยิ่ง
หูเถี่ยซินพิจารณาลักษณะภูมิประเทศของูเาอย่างรอบคอบ ในที่สุดเขาก็พบว่าถ้ำนี้ถูกสำนักเชียนเฉ่ายึดครองไปแล้ว
ลึกเข้าไปในถ้ำ มีตำหนักธรณีที่ทั้งโบราณและเหม็นอับ ไม่รู้ว่าผ่านห้วงเวลามากี่ยุคสมัย และไม่ทราบว่ามีความลับอะไรซุกซ่อนอยู่
หูเถี่ยซินถือคันธนูไม้นำเหล่าศิษย์สำนักั์พฤกษาเข้าไปด้านใน โดยมีหนิงเทียนคอยสะกดรอยตามจากระยะไกล
ไม่รู้ว่าตำหนักธรณีในเนินเขาแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นเมื่อใด ทว่าในยามนี้ผู้บำเพ็ญจากสี่สำนักกำลังมารวมตัวกัน และเยี่ยชิงก็อยู่ที่นี่เช่นกัน
หนิงเทียนยืนอยู่ด้านนอกและพิจารณาสถานการณ์อย่างรอบคอบ ส่วนเยี่ยชิงนั้นยืนอยู่ข้างชายชุดดำ ร่างของคนผู้นี้อาบไปด้วยเื ทั้งยังมีพลังเอ่อล้น และอยู่ในขอบเขตจิตหยั่งลึกขั้นแปด
หูเถี่ยซินถือธนูไว้ในมือพลางกระซิบกับชายหนุ่มชุดน้ำเงิน ชายผู้นี้มาจากสำนักั์พฤกษา ทั่วร่างของเขาเผยกลิ่นอายอันน่าหลงใหล นอกจากนี้เขายังอยู่ในขอบเขตจิตหยั่งลึกขั้นแปดอีกด้วย
ผู้นำของสำนักทะยานเวหาคืออวี๋เฟยเยี่ยน ทั้งยังมีสหายร่วมสำนักมากกว่าสามสิบคน ส่วนสำนักร้อยบุปผาจำนวนคนค่อนข้างน้อย มีประมาณยี่สิบคนเท่านั้น ผู้นำคือสวี่ชุ่นซินที่แต่งกายด้วยเสื้อผ้าสีเขียว และมีความแข็งแกร่งอยู่ในขอบเขตจิตหยั่งลึกขั้นแปดเช่นกัน
ศิษย์ทั้งสี่สำนักรวมกลุ่มกันอยู่ด้านนอกตำหนักธรณี แต่สายตาของพวกเขาล้วนมองผ่านประตูตำหนักเพื่อจ้องมองภายใน ที่นั่นมีแสงสว่างซึ่งรวมตัวกันอย่างน่าหลงใหล
“ด้วยสถานการณ์ในยามนี้คงไม่มีผู้ใดเข้าไปได้ แล้วเหตุใดไม่ลองวิธีอื่นดูเล่า? ทำลายข้อจำกัดของประตูตำหนักเสียก่อน และเมื่อเข้าไปข้างในแล้ว ที่เหลือก็ขึ้นอยู่กับความแข็งแกร่งของพวกเ้า”
ชายชุดดำจากสำนักเชียนเฉ่าให้คำแนะนำ พร้อมขอความคิดเห็นของสำนักร้อยบุปผา สำนักั์พฤกษา และสำนักทะยานเวหา
อวี๋เฟยเยี่ยนกล่าว “เราอยู่ในภาวะจนมุมมาระยะหนึ่งแล้ว ยังมีโอกาสและโชคลาภอีกมากรอเราอยู่ในแดนลับ ไม่จำเป็ต้องเสียเวลากับที่นี่มากเกินไป”
สวี่ชุ่นซินแห่งสำนักร้อยบุปผากล่าวว่า “การรวมพลังเป็เื่ปกติ แต่ทุกคนต้องร่วมมือกัน”
ชายชุดน้ำเงินจากสำนักั์พฤกษามองประตูตำหนักแล้วกล่าวด้วยเสียงทุ้มต่ำ “การพังประตูบานนี้จำเป็ต้องใช้อาวุธิญญาจื๋อซิว อีกทั้งตำหนักธรณีก็ไม่ใหญ่พอที่จะรองรับทุกคน ข้าคิดว่าแต่ละสำนักควรจัดสรรผู้เข้าไปสำรวจตามจำนวนอาวุธิญญาใน”
สวี่ชุ่นซินกล่าวอย่างไม่พอใจ “หลานซานหู่! เ้าหมายความว่าอย่างไร? เ้าคิดจะรังแกสำนักของข้าและสำนักทะยานเวหาที่มีอาวุธน้อยกว่าหรือ?”
หลานซานหู่เยาะเย้ย “ขณะนี้ทั้งสี่สำนักมีอาวุธิญญาจื๋อซิวทั้งหมดหกชิ้น สำนักเชียนเฉ่าและสำนักั์พฤกษาต่างมีอาวุธิญญาจื๋อซิวสองชิ้น แน่นอนว่าพวกเราต้องได้รับสิทธิ์ที่มากกว่า”
อวี๋เฟยเยี่ยนจึงถามขึ้นว่า “อาวุธิญญาหนึ่งชิ้นได้กี่สิทธิ์เล่า?”
เก๋อคุนจากสำนักเชียนเฉ่ากล่าวอย่างยิ้มแย้ม “หนึ่งชิ้นสิบสิทธิ์”
อวี๋เฟยเยี่ยนและสวี่ชุ่นซินต่างมองหน้ากัน ทั้งคู่กำลังพิจารณาข้อเสนอนี้
“ได้ เรายอมรับข้อตกลง” สิบสิทธิ์เป็ที่ยอมรับของทั้งสองฝ่าย
“เช่นนั้นมาเริ่มกันเลย” หลานซานหู่หยิบหอกออกมา ด้ามหอกมีสีน้ำตาลอมเขียว และพื้นผิวก็ปกคลุมไปด้วยลวดลายแห่งจิติญญา
หูเถี่ยซินยกคันธนูยาวขึ้น ขณะที่เยี่ยชิงก็เปิดใช้กระบี่ใบพฤกษาขจี พวกเขาต่างพุ่งเป้าไปที่ประตูตำหนัก
ในมือของเก๋อคุนมีขลุ่ยไม้ไผ่ พื้นผิวของมันเป็สีม่วงอมฟ้าและมีรอยตำหนิ ทั้งยังปล่อยกลิ่นอายอันน่าสะพรึงกลัวออกมาอย่างต่อเนื่อง
สวี่ชุ่นซินถือกิ่งท้อซึ่งมีดอกท้อสามดอกติดอยู่ กิ่งท้อนี้ช่างบอบบางและทรงเสน่ห์อย่างยิ่ง ส่วนอวี๋เฟยเยี่ยนก็มีเถาวัลย์สีเขียวพันรอบแขนราวงูิญญาที่เลื้อยขด พร้อมพุ่งตรงเข้าหาประตูตำหนัก
“อาวุธิญญาหกชิ้น!” ดวงตาของหนิงเทียนเป็ประกาย เขาไม่คาดคิดว่าจะได้เห็นอาวุธิญญาจื๋อซิวมากมายขนาดนี้ในคราวเดียว เขารู้สึกตื่นเต้นแต่ก็หวาดกลัวด้วยเช่นกัน
คนพวกนี้ได้อาวุธิญญามาจากที่ใดกัน? นำเข้ามาจากภายนอกหรือว่าได้มาจากแดนลับ?
ขณะที่เขากำลังครุ่นคิดก็มีเสียงสนั่นดังขึ้น ประตูตำหนักเปิดออก จากนั้นยอดฝีมือจากสี่สำนักก็กรูกันเข้าไปโดยไม่คำนึงถึงจำนวนจำกัด
หนิงเทียนฉวยโอกาสจากความโกลาหลแล้วลอบเข้าไปในตำหนักธรณี ซึ่งสิ่งที่เห็นตรงหน้าทำให้เขาตกตะลึงไปครู่หนึ่ง
ตำหนักธรณีแห่งนี้ขนาดไม่ใหญ่นัก บนพื้นมีลวดลายสลับซับซ้อน พลังิญญาจำนวนนับไม่ถ้วนลอยขึ้นจากพื้นดิน และก่อตัวเป็เงาดอกไม้ ต้นหญ้า ต้นไม้ และเถาวัลย์ซึ่งดูสมจริงอย่างมาก
พืชพรรณเหล่านี้ล้วนเกิดจากการรวมพลังิญญา โดยมีสัดส่วนสูงต่ำกำลังพอเหมาะและกระจัดกระจายอยู่ทั่วทั้งห้องโถง เก็บซ่อนความลึกลับที่ไม่อาจคาดเดาเอาไว้
บรรดาลูกศิษย์ทั้งสี่สำนักต่างมองหน้ากันด้วยความสับสน คนส่วนใหญ่ยืนนิ่ง ไร้ซึ่งการตอบสนองใดๆ และมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วราวกับพวกเขาสังเกตเห็นกลอุบายบางอย่าง
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้