บทที่ 1
สำนักงานกิจการพลเรือนประจำเมืองเป่ย เมืองหลวงของรัฐั
ท้องฟ้าอันปลอดโปร่งและไร้เมฆ สายลมที่หอบความหนาวเย็นจากหยดน้ำค้างที่ค้างอยู่ตามยอดหญ้าและกลิ่นของผืนดินที่ชุ่มชื้นลอยผ่านผู้คนและตึกรามบ้านช่อง กองใบไม้ร่วงที่ถูกนักการกวาดกองเอาไว้ต่างก็แตกกระจายออกจากกันไปคนละทิศละทาง พร้อมกับด้านนอกถนนใหญ่ที่เสียงแตรและเสียงเครื่องยนต์ของรถใหญ่ดังคล้อยไปตามกับเสียงะโของหาบเร่และกลุ่มคนที่สัญจรไปมา เป็สัญญาณว่าชีวิตใหม่ได้เริ่มขึ้นแล้ว
บริเวณลานกว้างหน้าทางเข้าของสำนักงานกิจการพลเรือน ผู้คนมากหน้าหลายตาต่างพากันเข้าออกกันเป็ว่าเล่น หากสังเกตดูบนใบหน้าของพวกเขาแล้วจะเห็นว่ารอยยิ้มที่มีความสุขและแววตาที่เก็บเอาความดีใจกับความรักที่ล้นออกมาให้เห็น บางคู่ถึงกับดวงตาแดงก่ำจากการร้องไห้ ซึ่งน้ำตาพวกนี้มันไม่ได้มาจากความเสียใจ แต่มันจากถ้อยคำสัญญาที่พวกเขาร่วมกันฟันฝ่ามาเพื่อให้มีวันนี้ วันที่พวกเขาจะได้ขยับขึ้นอีกสถานะของชีวิตของพวกเขา วันที่พวกเขาจะได้ใช้ชีวิตเป็สามีภรรยากันถูกต้องตามกฎหมาย
ใช่แล้ว ! คู่หนุ่มสาวที่เดินทางมาที่สำนักกิจการพลเรือนในเช้าวันนี้ คือกลุ่มคนที่เป็คู่หมั้นหมายหรือคู่ที่กำลังจะแต่งงานมาจดทะเบียนสมรส เพื่อยืนยันสถานะของพวกเขาตามที่กฎหมายกำหนด ซึ่งในมือของพวกเขานั้นต่างถือสมุดสีแดงสดขนาดเท่ากับฝ่ามือ ตรงหน้าปกถูกเขียนด้วยตัวอักษรสีทองพร้อมกับรูปของเป็ดแมนดาริน สัญลักษณ์ของความรักชั่วนิรันดร์
เพียงแต่ว่าไม่ใช่ทุกคู่ที่มาแล้วจะมีความสุข การแต่งงานของพวกเขาไม่ใช่ความรักที่หวานปานน้ำผึ้ง แต่หากเป็การรับผิดชอบในสิ่งที่ทำผิดพลาดไป
ท่ามกลางบรรยากาศที่อบอวลไปด้วยความรักของหนุ่มสาวคู่ใหม่ปลามันและการผลิใบอีกครั้งของเหล่าต้นไม้ใหญ่ที่เปรียบเสมือนการเริ่มต้นใหม่ในฤดูใบไม้ผลิ ตรงศาลาพักผ่อนใต้ต้นเมเปิ้ลใกล้ลานจอดรถของสำนักงาน ชายหนุ่มที่ดูราวอายุประมาณ 25-28 ปีได้นั่งอยู่พร้อมมองดูทะเบียนสมรสในมือด้วยสีหน้าที่ดูไร้ซึ่งความดีใจ กลับกันในแววตาและบนใบหน้าของเขาก็แสดงให้ถึงความตื่นใและความตื่นตระหนกเสียมากกว่า ราวกับว่าในมือของเขานั้นมันไม่ใช่สิ่งของที่ดีมากนัก
“มีชีวิตอยู่ต่อมันก็ดีอยู่หรอก แต่ถ้าให้เลือกได้ ผมขอเลือกเป็หมาโสดต่อไปดีกว่า ”
เสียงทุ้มต่ำของชายหนุ่มได้ดังขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ซึ่งหากใครคนอื่นมาได้ยินเขา อาจจะหาว่าเข้าอาจจะป่วยเป็โรคจิตเภทได้ แต่ชายหนุ่มก็คร้านที่จะสนใจความคิดของคนนอก เขาเหม่อมองชื่อในทะเบียนสมรสพร้อมขยับมือลูบหน้ากระดาษที่เขียนชื่อของตัวเองอยู่ ก่อนที่ความหนักใจจะแสดงพาดผ่านออกมา
เดิมทีตัวของเขาเป็คนของดาวเคราะห์สีน้ำเงินที่เพิ่งเรียนจบมาได้ไม่นานและกำลังจะกลายเป็ผู้ช่วยบรรณาธิการในสำนักพิมพ์เล็ก ๆ แห่งหนึ่งในบ้านเกิด แต่โชคร้ายที่ในขั้นตอนการตรวจสุขภาพ ตัวเขากลับพบว่าป่วยเป็โรคร้ายแรงที่รักษาไม่ได้แล้ว ทำให้ยุติเส้นทางการทำงานั้แ่เนิ่น ๆ แล้วรักษาตัวให้มีชีวิตให้นานที่สุดก่อนที่จะจากโลกไป
แต่ไม่รู้เพราะว่าพระเ้าท่านทรงเห็นใจหรือประตูนรกยังไม่้าตัวเขา ทำให้เมื่อเขาลืมตาขึ้นมาก็พบว่าตัวเองยังมีชีวิตอยู่ เพียงแต่ว่ากรอบเวลานั้นไม่ได้เป็ยุคปัจจุบันที่ทุกอย่างขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี แต่เป็นิยายยุค 1980 ที่เริ่มเปิดประเทศและฟื้นฟูสภาพเศรษฐกิจระหว่างประเทศของรัฐบาล
“มีชีวิตใหม่พร้อมย้อนเวลามาอยู่ในยุค 80 ก็ว่าลำบากแล้ว แต่ทำไมต้องเป็ยุค 80 ในนิยายที่อ่านไม่จบแล้วต้องอยู่ในร่างของหมอนี่ด้วยวะ ? ”
คำบ่นพร้อมกับเสียงถอนหายใจได้ดังขึ้นมา ก่อนที่ชายหนุ่มจะเอนตัวทิ้งไปกับพนักพิงแล้วเงยหน้ามองดูท้องฟ้าที่ไร้เมฆด้วยสายตาที่ขุ่นเคืองและไม่สบายใจ พร้อมกับหงายสมุดทะเบียนในมือข้างลำตัว เผยให้ถึงชื่อของฝั่งชายที่ถูกเขียนอยู่ในทะเบียน
หลินห่าวซวน (1)
ใช่แล้ว ! ร่างของชายหนุ่มในเวลานี้คือตัวประกอบในนิยายที่มีชื่อเดียวกันกับชีวิตที่แล้ว และเป็ตัวประกอบที่บทบาทน้อยมากเมื่อเทียบกับความยาวของเื่ อีกทั้งตอนที่ตัวละครตัวนี้ต้องลาจากหน้ากระดาษ เหล่าบรรดาแฟนคลับของนิยายต่างแสดงความคิดไปในทิศทางเดียวกันอย่างเอกฉันท์ ไม่มีการแตกแถวแม้แต่น้อย
ส่วนเหตุผลที่ความคิดของคนอ่านดำเนินไปทางนั้นได้ก็คงบอกได้อย่างเดียวว่า เป็เพราะนิสัยที่นักเขียนวางเอาไว้ให้หลินห่าวซวนในโลกนี้เป็คนเสเพล รู้จักแต่การเที่ยวราตรีและดื่มสังสรรค์ อีกทั้งยังเป็คนบัดซบที่คิดที่จะเกาะแต่ภรรยาเท่านั้น สุดท้ายก็จบลงด้วยการตกเป็เครื่องมือของคนอื่นและตายไปในที่สุด
แน่นอนว่านั่นคือบทบาทของหลินห่าวซวนในนิยาย เพียงแต่ว่าเหตุการณ์ที่หลินห่าวซวนในปัจจุบันกำลังเผชิญอยู่นั้นมันไม่เคยถูกกล่าวไว้ในนิยาย ทำให้่นี้ตัวของหลินห่าวซวนรู้สึกงุนงงเป็อย่างยิ่ง
แต่นั้นมันไม่ได้สำคัญกับเขาในตอนนี้ เป้าหมายที่สำคัญที่สุดคือการเปลี่ยนแปลงโชคชะตาที่แสนบัดซบให้กลายเป็ดีและไม่ยุ่งเกี่ยวกับเส้นเื่หลัก รวมทั้งหาเลี้ยงปากท้องของตัวเองให้ได้ในยุคสมัยที่ไม่คุ้นเคยนี้
เพียงแค่ลำพังการใช้ชีวิตในยุคที่ไม่มีอินเทอร์เน็ตหรือสมาร์ตโฟนก็ว่าลำบากแล้ว สำหรับตัวของหลินห่าวซวนที่เกิดในยุค 2040 แต่การที่ต้องมาใช้ชีวิตเป็ตัวประกอบในนิยายนี่สร้างความลำบากให้เขาเพิ่มขึ้นเป็เท่าตัว
ดังนั้นในเวลานี้หลินห่าวซวนไม่มีเวลาว่างมากพอที่จะคิดถึงเื่แปลก ๆ ที่ไม่เคยกล่าวถึงในนิยายหรอก !
แน่นอนว่าสิ่งที่เขาคิดนั้นมันไม่ใช่เื่ที่เกินจริง เพราะตัวของหลินห่าวซวนรู้ตัวเองดีว่า ตัวเขาไม่มีหัวในด้านธุรกิจแม้แต่น้อย การจะไปแข่งขันกับเ้าสัวที่กำลังบุกเบิกตลาดในตอนนี้เหมือนกับตัวละครในนิยายเื่อื่น ๆ ก็ไม่ต่างอะไรกับเอาไม้ซีกไปงัดไม้ซุง
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงในเื่เทคโนโลยีเลย เพราะตัวเขาไม่ได้เชี่ยวชาญหรือเรียนมาทางด้านนี้ ความรู้ในด้านนี้ไม่ได้ง่ายเหมือนสำนวนไม่เคยกินหมู แต่เคยเห็นหมูวิ่ง (2) มันต้องใช้ความรู้ในสาขาต่าง ๆ ประกอบเขาด้วยกันถึงจะประสบความสำเร็จ ด้วยความรู้ที่มีน้อยนิดของหลินห่าวซวนในดาวเคราะห์สีน้ำเงินกับความทรงจำของหลินห่าวซวนในโลกนี้นั้นที่มีแต่การดื่มสังสรรค์อย่างเดียว การที่จะเอาดีในด้านนี้ก็ตัดทิ้งไปได้เลย
“แบบนี้ก็มีเพียงทางเลือกเดียวคือการทำอาชีพเดิมของหมอนี่ให้ดี แล้วค่อยหาทางขยับขยายในวันข้างหน้าสินะ ”
หลินห่าวซวนที่วางความคิดในหัวลงพร้อมกล่าวออกมาเบา ๆ ก่อนที่จะเด้งตัวขึ้นมานั่งหลังตรงแล้วเรียบเรียงความทรงจำของตัวเองอีกครั้ง
ถ้าความทรงจำของหลินห่าวซวนไม่ผิดพลาด แม้จะไม่ใช่ตัวละครสำคัญ แต่เพราะมีผลกับกลุ่มตัวละครหลักในนิยาย คนเขียนจึงได้เกริ่นถึงอาชีพของหมอนี่เอาไว้ เขาจำได้ว่าภูมิหลังอาชีพของตัวประกอบคนนี้เป็คอลัมนิสต์อยู่ที่สำนักพิมพ์เป่ยจิง หนึ่งในบริษัทใหญ่ประเภทสื่อด้านข่าวประจำเมืองเป่ย
แน่นอนว่าถึงอาชีพนี้จะไม่ใช่อาชีพที่ดูแล้วจะมีเงินดีอะไรมากมาย แต่ด้วยความคิดของยุคสมัย คอลัมนิสต์ประจำสำนักพิมพ์ก็ถือว่าเป็ชามข้าวเหล็ก (3) ที่มีเงินเดือนมั่นคง ไม่ด้อยไปกว่าข้าราชการของรัฐคนหนึ่ง ดังนั้นหากว่าลดหรือละเื่เที่ยวดื่มของร่างเดิมได้ ยังต้องกลัวอีกเหรอว่าจะไม่มีเงินเก็บไว้ใช้ในอนาคต
ส่วนเื่จุดจบของตัวละครตัวนี้ ในเมื่อตัวเขาได้มาอยู่ในร่างนี้แล้ว เขาไม่มีทางให้เกิดขึ้นอย่างแน่นอน !
ดังคำโบราณที่ปู่ของเขาเคยพูด ชีวิตคนเราก็เหมือนสภาพอากาศ แม้จะคาดเดาได้ แต่ก็มักจะเกิดเื่ที่ไม่คาดคิดอยู่เสมอ (4)
“จริง ๆ แล้วเธอไม่จำเป็ต้องจดทะเบียนกับคนเสเพลกับคนแซ่หลินก็ได้นะ แค่ทนอยู่กันไปสักเดือนสองเดือนรอให้ข่าวมันซา ๆ ลงไปก่อน แล้วค่อยแยกทางกัน… ”
ขณะที่หลินห่าวซวนกำลังจมอยู่กับความคิดของตัวเอง เสียงที่เต็มไปด้วยความไม่พอใจของชายหนุ่มได้ดังขึ้นมา ทำให้หลินห่าวซวนและคนรอบข้างต้องหันไปมอง ก็พบว่าคนพูดเป็ผู้ชายในวัย 30 ปีขึ้นไปในชุดเครื่องแบบของทหารของประเทศ พร้อมทั้งด้านหลังของเขาก็มีผู้หญิงในชุดเดรสสีขาวเดินตามมา
" พี่ใหญ่ พี่้าให้ปู่กับพ่อเสียคำพูดงั้นเหรอ พี่อย่าสิว่าฉันกับหลินห่าวซวนมีสัญญาหมั้นหมายกันอยู่แล้ว แค่เื่ที่เกิดขึ้นในวันนั้นมันเร่งให้เกิดขึ้นเร็วกว่าเดิมก็เท่านั้น "
คำพูดด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบของหญิงสาวในชุดเดรสสีขาวดังขึ้นมาเมื่อได้ยินคำพูดของผู้ที่เป็พี่ใหญ่พูดจบ ทำให้ชายหนุ่มในชุดทหารชักสีหน้าออกมาเล็กน้อย แต่ก่อนที่เขาจะได้พูดอะไรออกมา หญิงสาวในชุดเดรสขาวก็พูดออกมาว่า
" ฉันรู้ว่าพี่เป็ห่วงฉันและกลัวว่าฉันไม่ได้รับความเป็ธรรม แต่เื่มันก็เกิดขึ้นแล้ว ปู่หลินเองก็ดีกับฉันมาั้แ่เด็ก พี่ไม่ต้องกังวลไปหรอกค่ะ "
เมื่อได้ยินคำพูดของน้องสาวของตน แม้ในใจของชายหนุ่มในชุดทหารจะไม่ค่อยยอมรับคำพูดของน้องสาวมากนัก แต่เมื่อเห็นสีหน้าที่บอกว่าไม่ต้องพูดกันอีกแล้ว ก็อดไม่ได้ที่จะมีท่าทีอ่อนลงอย่างเห็นได้ชัด ก่อนที่จะถอนหายใจออกมา
" เอาเถอะ!ในเมื่อเธอตัดสินใจแล้ว พี่คนนี้จะว่าอะไรได้อีก แต่จำไว้อย่างหนึ่งนะ หากว่าวันไหนเธอไม่อยากอยู่บ้านตระกูลหลินแล้ว บ้านตระกูลซ่งของเรายังคงต้อนรับเธอเสมอ "
แน่นอนว่าคำพูดนี้ จุดประสงค์ของคนที่เป็พี่ชายไม่ได้้าบอกน้องสาวเท่านั้น แต่ยังเป็การเตือนคนตระกูลหลินหรือหลินห่าวซวนที่ยืนอยู่ใกล้ ๆ ว่า แม้น้องสาวของเขาจะแต่งเข้าตระกูลหลิน แต่เธอก็ยังเป็คนของตระกูลซ่งและยังคงเป็อยู่ตลอดไป
" พี่ชาย พี่ไม่ต้องเป็ห่วงครับ ผมรับรองได้ว่าน้องสาวของพี่จะไม่มีเื่ทุกข์ใจอย่างแน่นอน ผมจะดูแลเธออย่างดี "
เมื่อเห็นสีหน้าและท่าทางที่เอาเื่ของอีกฝ่าย หลินห่าวซวนก็ได้แต่ยิ้มแห้ง ๆ ออกมาพร้อมพูดด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูจริงใจที่สุด เพราะเขารู้ดีว่าชื่อเสียงของร่างนี้มันย่ำแย่เกินกว่าที่ใครจะไว้ใจได้
เฮ้อ ! สมแล้วที่เป็ตัวประกอบที่ใคร ๆ ก็เกลียดกัน
หลินห่าวซวนที่บ่นอุบอยู่ในใจก็สั่นศีรษะเบา ๆ เพื่อทำให้สมองปลอดโปร่งและมองภรรยาในชุดเดรสขาวอย่างจริงจัง
ในเนื้อหาของนิยายที่หลินห่าวซวนอ่านนั้น เขาจำได้ว่าภรรยาของเขามีชื่อว่า ' ซ่งหยูเยียน ' เป็อาจารย์และนักสำรวจของสถาบันโบราณคดี แถมภรรยาคนนี้ยังได้รับฉายาจากคนในมหาวิทยาลัยว่าเป็ 1 ใน 4 ดอกไม้งามประจำมหาวิทยาลัย
เพียงแค่ข้อมูลเท่านี้ ก็บอกได้แล้วว่า ซ่งหยูเยียนนั้นต่างจากเขาผู้เป็สามีราวฟ้ากับเหวเลยทีเดียว
แต่ในบรรดาความคิดเห็นของคนอ่านนั้น นอกจากเื่ชื่อเสียงและภูมิหลังของเธอที่เป็คนจากตระกูลซ่ง ตระกูลเดียวกันกับนางเอกของนิยายเื่นี้ พวกเขาต่างนิยามกันว่าเป็นางรองที่อาภัพเื่ความรัก
สาเหตุที่ถูกเรียกแบบนี้ก็เป็เพราะว่า เธอแอบชอบพระเอกของเื่นี้ และยังเป็รักข้างเดียวที่ไม่สามารถบอกให้อีกฝ่ายรับรู้ได้ แถมยังต้องมาแต่งงานกับคนที่ไม่ได้รักอย่างหลินห่าวซวน ที่ถูกเข้าใจว่าไปฉวยโอกาสระหว่างที่ซ่งหยูเยียนหมดสติอยู่
ส่วนเื้ัรักข้างเดียวและการมอมเหล้าใส่ภรรยาคนนี้ของเขา ตัวของหลินห่าวซวนเองก็ไม่ทราบว่าเกิดขึ้นตอนไหน เพราะเขาตายและข้ามมาอยู่ในนิยายก่อนที่จะอ่านจบ
ไม่สิ!ตอนที่ซ่งหยูเยียนถูกมอมเหล้านั้น เขารู้อยู่แล้วเพราะมันเป็วันแรกที่เขาข้ามมาอยู่ในนิยายเื่นี้
......................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................
เชิงอรรถ
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้