เงื่อนไขในการผ่านบททดสอบคือหลัวเลี่ยต้องอดทนให้ได้อย่างน้อยครึ่งชั่วยาม
แต่หลัวเลี่ยกลับออกมาภายในระยะเวลาไม่ถึงสองเค่อ ดังนั้นทุกคนจึงเข้าใจว่าเขาไม่ผ่านบททดสอบนี้อย่างแน่นอน
ซูเล่ยก็เข้าใจว่าหลัวเลี่ยไม่ผ่านบททดสอบเช่นกัน เขาจึงไม่พลาดโอกาสที่จะกล่าวใส่ร้ายหลัวเลี่ย เพราะเขา้าทำให้หลัวเลี่ยอับอายขายหน้า เพื่อกอบกู้ชื่อเสียงของหอการค้าฟ้านเทียนที่เสียไปจากเหตุการณ์ที่แคว้นจินหลาน
ซูเล่ยยังคงะโออกมาด้วยความกระตือรือร้นอย่างมีความสุข
“หลัวเลี่ยที่ทุกคนรู้จักในนามอ๋องเซี่ยแห่งแคว้นเป่ยสุ่ยผู้นี้ ยังเคยกล่าวอ้างว่าเขาฝึกฝนเคล็ดวิชามหาหลุนิได้ถึงระดับถ่องแท้ภายในเดือนเดียว เมื่อเื่นี้ได้แพร่กระจายออกไป ก็ทำให้กองกำลังมากมายสนใจในตัวเขาและอยากรับเขาเป็ศิษย์ แต่ผลสุดท้ายก็ไม่มีกองกำลังที่ทรงพลังแห่งไหนรับเขาเข้าร่วมอยู่ดี พวกเ้ารู้หรือไม่ว่าทำไมจึงเป็เช่นนั้น” ซูเล่ยกล่าวเสียงดัง “ข้าจะบอกพวกเ้าให้นะ เหตุผลก็เพราะเขากุเื่ทั้งหมดขึ้นมาอย่างไรเล่า เขาไม่ได้ฝึกฝนมาเพียงหนึ่งเดือน แต่เขาฝึกมานานแล้วต่างหาก ทว่าตอนที่เขาฝึกนั้นไม่มีใครสนใจเขา หลัวเลี่ยเลยคิดจะเรียกร้องความสนใจจากทุกคนด้วยการโกหก แต่เขากลับกลายเป็ตัวตลกไปเองเสียได้”
“ข้าจะบอกพวกเ้าอีกนะว่า หลัวเลี่ยที่เกิดในแคว้นเล็กๆ อย่างแคว้นเป่ยสุ่ยนั้นคิดว่าตัวเองเป็อัจฉริยะที่แข็งแกร่ง จนกล้าใช้ตราราชันข่งเชวี่ยมาคุกคามหอการค้าฟ้านเทียนของพวกข้าอีก พวกเ้าคิดว่าเื่นี้น่าตลกหรือไม่เล่า”
“พลังของเขาจะแข็งแกร่งสักแค่ไหนกันเชียว แม้ว่าหอการค้าฟ้านเทียนของเราจะมียอดฝีมืออยู่มากมาย แต่การจะสังหารหลัวเลี่ยนั้นแทบไม่ต้องพึ่งกำลังจากหอการค้าฟ้านเทียนด้วยซ้ำ อย่าว่าแต่ข้าซูเล่ยผู้นี้เลย แค่พวกเราสุ่มยอดฝีมือรุ่นเยาว์มาสักคนก็จัดการเขาได้แล้ว”
“หลัวเลี่ย เ้าฟังที่ข้าจะพูดให้ดีนะ แม้ว่าเ้าจะเข้าใจเคล็ดวิชามหาสรรพฟ้าดินและฝึกฝนเคล็ดวิชามหาหลุนิจนถึงระดับถ่องแท้ได้แล้ว แต่ในสายตาข้า การจะสังหารเ้านั้นง่ายยิ่งกว่าการปอกกล้วยเข้าปากเสียอีก”
ในท้ายที่สุด ซูเล่ยก็สะบัดแขนแล้วชี้ไปที่หลัวเลี่ย จากนั้นก็พูดเสียงดังว่า “จำไว้ให้ดี เ้าไม่อยู่ในสายตาของข้าแม้แต่น้อย หลัวเลี่ย!”
จั่วอีฝานกล่าวเสริมด้วยรอยยิ้ม “เ้าไม่คู่ควรที่จะเป็คู่ต่อสู้ของพวกเรา”
การะโ ท่าทางเย่อหยิ่งและมั่นใจในตัวเอง รวมทั้งการดูถูกคนอื่นของซูเล่ยและจั่วอีฝานดึงดูดผู้คนให้เขามามุงดูมากขึ้น มีหลายคนที่ฟังอย่างเงียบๆ แต่สายตาของพวกเขาก็กวาดมองสถานการณ์ แล้วจากนั้นก็มองไปยังหลัวเลี่ยอย่างดูถูก
หลังจากซูเล่ยและจั่วอีฝานพูดจบ เสียงหัวเราะเยาะก็ดังขึ้น และขณะที่ทุกคนกำลังพูดคุยกันอย่างออกรส หลัวเลี่ยก็ค่อยๆ หันหน้าไปมองผู้รับผิดชอบบททดสอบ ก่อนพูดขึ้นว่า “ข้าจะเข้าไปที่เทือกเขาเหยียนรื่อได้เมื่อไร”
หา?
หลังจากหัวเราะเสร็จแล้ว ซูเล่ยผู้มั่นใจในตัวเองก็พูดประชดประชันว่า “ไม่เพียงเป็ตัวตลกเท่านั้น แต่เ้ายังโง่เขลาด้วยหรือนี่ เ้าอดทนได้ไม่ถึงครึ่งชั่วยามแล้วเ้าจะเข้าไปที่เทือกเขาเหยียนรื่อได้อย่างไร”
ในขณะที่ผู้รับผิดชอบบททดสอบกำลังจะเอ่ยปากพูด
“ข้าจะเข้าไปที่เทือกเขาเหยียนรื่อได้เมื่อไร” หลัวเลี่ยก็เอ่ยแทรกขึ้น
ผู้รับผิดชอบบททดสอบมองไปยังน้ำที่เคยปรากฏขึ้นบนสะพานเหนือเมฆ และพูดอย่างเจื่อนๆ ว่า “เมื่อไรก็ได้”
“เช่นนั้นข้าไปแล้วนะ”
หลัวเลี่ยเดินออกไปทันที
หลังจากนั้นทุกคนก็ตกอยู่ในความชุลมุน
“ทำไม?”
“เขาอดทนได้ไม่ถึงครึ่งชั่วยาม แล้วเขามีสิทธิ์เข้าไปในเทือกเขาเหยียนรื่อได้อย่างไร นอกจากนี้ยังเข้าไปตอนไหนก็ได้อีกด้วย ขนาดข้ายังต้องรอเวลาในการเข้าเลย”
“ไม่ยุติธรรม มีบางอย่างไม่ยุติธรรม พวกเราขอประท้วง”
คนที่ผ่านและไม่ผ่านบททดสอบต่างโห่ร้องขึ้น
ใบหน้าของซูเล่ยแสดงถึงอารมณ์โกรธออกมา เขาเดินไปหาผู้รับผิดชอบบททดสอบ คว้าเข้าที่คอเสื้อของผู้รับผิดชอบแล้วยกเขาขึ้น จากนั้นก็พูดขึ้นว่า “เ้าเชื่อหรือไม่ว่าข้าสามารถฆ่าเ้าได้”
“นายน้อยซู นายน้อยซู ท่านฟังข้าก่อนนะ” ผู้รับผิดชอบบททดสอบใมากจึงรีบอ้อนวอนขอความเมตตา
ซูเล่ยโยนร่างของผู้รับผิดชอบลงบนพื้น “ถ้าเ้าไม่มีคำอธิบายที่สมเหตุสมผล ต่อให้เ้าจะเป็ใครมาจากไหน ข้าก็จะฆ่าเ้า!”
ผู้รับผิดชอบบททดสอบทำหน้าบูดบึ้งหลังจากถูกโยน แต่เขาก็ไม่กล้ากรีดร้องด้วยความเ็ปออกมา เขาลุกขึ้นและพูดด้วยใบหน้าที่ขมขื่นว่า “เขา เขาผ่านบททดสอบแล้ว”
“เ้าว่าอย่างไรนะ! เขาอดทนได้เพียงสองเค่อแล้วจะผ่านบททดสอบได้อย่างไร” ซูเล่ยโกรธมาก เงื้อมือขึ้นราวกับอยากจะตบผู้รับผิดชอบบททดสอบ
“เขาผ่านแล้วจริงๆ” ผู้รับผิดชอบพูดอย่างขมขื่น “ข้าทำตามคำขอของนายน้อยซูโดยจัดบททดสอบเจตจำนงแห่งธาราที่ยากที่สุดให้เขาแล้ว แต่ข้าไม่คิดว่าเขา เขา...” ผู้รับผิดชอบบททดสอบมองไปที่หลัวเลี่ยด้วยความสยดสยอง เขากลืนน้ำลายและพูดออกมาด้วยเสียงแหบแห้งว่า “เขาทำลายบททดสอบเจตจำนงแห่งธาราโดยใช้เวลาเพียงสองเค่อเท่านั้น ท่านเห็นหรือไม่ว่าตอนนี้น้ำที่อยู่บนสะพานเหนือเมฆได้หายไปหมดแล้ว และพื้นที่ที่หลัวเลี่ยเคยหลุดเข้าไปในมิติธาราก็มีร่องรอยของความเสียหายเกิดขึ้น ทั้งหมดคือสิ่งที่บ่งบอกว่าเจตจำนงแห่งธาราได้ถูกทำลายไปแล้ว และสะพานเหนือเมฆก็จะไม่มีบททดสอบที่ชื่อว่าเจตจำนงแห่งธาราอีกต่อไป”
พรึ่บ!
ทุกคนที่ได้ยินเช่นนั้นต่างหยุดชะงัก
ทุกคนไม่ว่าจะเป็ชายหรือหญิงล้วนมองไปทางหลัวเลี่ยอย่างตกตะลึงจนพูดไม่ออก
เขาทำลายเจตจำนงแห่งธาราได้!
คนอื่นใช้สมองคิดหาทางและพยายามอย่างเต็มที่เพื่ออดทนเป็เวลาครึ่งชั่วยามจึงผ่านบททดสอบ แต่หลัวเลี่ยกลับเลือกที่จะทำลายบททดสอบที่ยากที่สุด
ผู้รับผิดชอบบททดสอบกล่าวต่อว่า “ตามกฎแล้ว การทำลายบททดสอบนี้ไม่นับว่าเขามีความผิดแต่อย่างใด นอกจากนี้ยังทำให้เขามีสิทธิ์เข้าสู่เทือกเขาเหยียนรื่อเมื่อใดก็ได้ตามที่เขา้า”
ความโกรธที่แสดงผ่านใบหน้าของซูเล่ยนั้นดูซับซ้อนคล้ายกับมีอารมณ์อื่นปะปนมาด้วย
เมื่อความโกรธเบาบางลง ซูเล่ยก็เริ่มแสดงท่าทางหวาดกลัวออกมา หากดูใกล้ๆ จะพบว่าขาทั้งสองข้างของเขาสั่น
มีเพียงผู้ที่ผ่านการทดสอบในสะพานเหนือเมฆเท่านั้นที่รู้ว่าบททดสอบนั้นยากเพียงใด
แม้แต่ผู้ที่แข็งแกร่งเช่นซูเล่ยยังผ่านบททดสอบมาได้อย่างยากลำบาก หากตัวเขาไม่ได้รับการสนับสนุนจากกองกำลังที่ทรงพลัง เขาก็คงผ่านมาได้ยากกว่านี้
เมื่อคิดให้ดีแล้ว ซูเล่ยก็ตระหนักได้ถึงความหมายของคำว่าทำลาย สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่าหลัวเลี่ยมีพลังที่แข็งแกร่งกว่าพวกเขามาก แต่ตอนนั้นเขากลับเอาแต่พูดไร้สาระทำให้หลัวเลี่ยอับอาย ดูถูกหลัวเลี่ย และพูดกระทั่งว่าหลัวเลี่ยไม่คู่ควรที่จะเป็คู่ต่อสู้ของเขา
ไม่ใช่แค่ซูเล่ยเท่านั้น จั่วอีฝานเองก็พูดเช่นกัน
ทั้งสองใอย่างมาก
หลัวเลี่ยเดินมาหาซูเล่ยช้าๆ
จากนั้นสีหน้าของคนที่เคยพูดอย่างอวดดีว่าตนเองเป็อัจฉริยะที่มีพร์ก็ซีดลงด้วยความใ ซูเล่ยอดไม่ได้ที่จะถอยหลังไปสองก้าว และพูดด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือว่า “เ้า เ้าจะทำอะไร”
“ไม่ต้องกลัว ข้าจะไม่ฆ่าเ้าหรอก” หลัวเลี่ยพูดเรียบๆ
ใบหน้าของซูเล่ยมีสีขึ้นมาเล็กน้อย แต่เขาก็ยังคงหวั่นกลัว
หลัวเลี่ยกล่าวว่า “ที่ข้าไม่ฆ่าเ้า เป็เพราะในสายตาของข้า เ้าก็เป็แค่ตัวตลกคนหนึ่งที่เป็เพียงตัวประกอบเท่านั้น”
ใบหน้าของซูเล่ยแดงขึ้นทันที เขาทั้งรู้สึกโกรธและละอายใจ แต่เขาก็ไม่มีความกล้าพอที่จะโจมตีหลัวเลี่ย
รวมถึงจั่วอีฝานและบางคนที่มักจะส่งเสียงดังด้วยเช่นกัน
พวกเขาไม่กล้าอีกแล้ว
หลัวเลี่ยพูดต่อ “ในเมื่อข้ามองว่าเ้าเป็ตัวตลก เ้าก็ดูแปลกแล้ว แล้วข้าจะให้เ้าแสดงเป็ตัวประกอบต่อไปได้อย่างไร แต่หากข้าโจมตีเ้า ไม่สิ ในสายตาของข้า หากข้าโจมตีเ้า เ้า และเ้า เช่นนั้นพวกเ้าก็คงไม่มีแรงกลับไปฟ้องหอการค้าฟ้านเทียนของพวกเ้าได้ใช่หรือไม่”
“ต่อไปอย่าได้มายั่วโมโหข้าอีก เวลาของข้ามีค่ามาก และข้าไม่มีเวลามาเล่นกับขยะเช่นพวกเ้า หากพวกเ้าอยากโจมตีข้าจริงๆ ก็ย่อมได้ แต่รบกวนไปต่อแถวเหล่าอัจฉริยะที่มีพร์ด้วยนะ การที่เ้าทำเช่นนี้ ไม่ได้ดึงดูดให้ข้าออกแรงต่อสู้กับเ้าเลยแม้แต่น้อย”
“จริงสิ เื่นี้ข้าไม่ได้หมายความถึงคนจากหอการค้าฟ้าเทียนเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงคนอื่นๆ ที่้าต่อสู้กับข้าในอนาคตอีกด้วย”
เมื่อหลัวเลี่ยพูดจบ ทุกคนก็มองเขาเปลี่ยนไปทันที
คนคนนี้เป็บ้าไปแล้วหรือ?
นี่คือความอวดดีอย่างแท้จริง แม้แต่ศัตรูในอนาคต เขายังชี้แจงข้อตกลงก่อน
ถ้าจะบอกว่าไก้อู๋ซวงเป็คนหยิ่งยโส
เช่นนั้นหลัวเลี่ยก็เป็คนที่ป่าเถื่อน
ในขณะเดียวกัน ทุกคนก็ตระหนักได้ว่าต่อจากนี้หอการค้าฟ้านเทียนคงจะไม่กล้าลงมือทำอะไรง่ายๆ อีกแล้ว ด้วยพวกเขาได้เสียหน้าตอนที่อยู่แคว้นจินหลานมาแล้วครั้งหนึ่ง เื่ราวในตอนนั้นก็ทำให้พวกเขาสูญเสียความน่าเชื่อถือไปแล้วระดับหนึ่ง แต่เื่ที่เกิดขึ้นในตอนนี้กลับน่าอายยิ่งกว่าเดิมเสียอีก พวกเขาคิดว่าหากลงมือโจมตีหลัวเลี่ยอย่างไม่รอบคอบเช่นนี้อีก คงโดนตลบหลังได้อย่างง่ายดายอีกครั้งเป็แน่
และนี่ก็คือจุดประสงค์ของหลัวเลี่ย เขาไม่สนใจที่จะต่อสู้กับตัวประกอบเล็กๆ อย่างซูเล่ย ที่เขาสนใจก็คือเหล่าอัจฉริยะที่ทรงพลังต่างหาก
และเหล่าอัจฉริยะนั้นก็เช่นไก้อู๋ซวง
หลัวเลี่ยตบไหล่ซูเล่ย
แม้ว่าหลัวเลี่ยจะไม่ได้ออกแรงมากมาย แต่เขาก็เกือบทำให้ซูเล่ยคุกเข่าลงกับพื้น
“อย่ากลัวไปเลย ข้าแค่้าให้เ้าหลีกทาง ข้าจะเข้าไปที่เทือกเขาเหยียนรื่อแล้ว” หลัวเลี่ยพูดอย่างราบเรียบ “ไปสังหารไก้อู๋ซวง!”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้