ในค่ำคืนนั้น ดึกมากกว่าที่แสงไฟในบ้านของหลินลั่วหรานจะดับไป
หลินลั่วหรานเล่าประสบการณ์ที่ตัวเองได้ไปพบเจอที่ขั้วโลกเหนือออกมาให้ทุกคนฟังไม่เพียงแต่เป่าเจียที่ฟังจนจิตใจคล้อยตามไปหมดแต่แม้แต่พ่อที่ดูวัยรุ่นขึ้นก็ยังตบโต๊ะลง สัญญากับผู้เป็แม่อย่างห้าวหาญว่าหลังจากนี้จะต้องพาผู้เป็แม่ไปเที่ยวรอบโลกให้ได้ถึงจะไม่เสียดายชีวิตนี้ที่เกิดมา
และหลินลั่วหรานก็ได้รู้ว่า ความจริงแล้วที่พ่อของเธอดูเด็กลงแบบนี้ไม่ใช่เพียงเพราะ “ยาผิวหยก” ที่เธอทำออกมาให้ แต่ที่สำคัญคือ หลังจากที่เธอออกจากบ้านไป พ่อของเธอก็คอยฝึกการกำหนดลมหายใจที่ลูกสาวสอนเอาไว้ตลอดหลังจากผ่านไปสองเดือน เขาก็มีััพลังในร่างกายขึ้นมา!
“หินวิเศษ” ที่หลินลั่วหรานทำทิ้งเอาไว้ให้ในตอนแรกต่างก็ถูกพ่อดูดซึมพลังเข้าไปจนหมดดังนั้นจึงทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่กับรูปลักษณ์ภายนอกของพ่อ
ส่วนผู้เป็แม่ เธอยังไม่ได้มีััพลังอะไรตอนนี้เมื่อมองดูแล้วก็เหมือนคนอายุสี่สิบต้นๆ และก็เป็ผลมาจากยาผิวหยกทั้งนั้น
อย่างไรสูตรยานี้ก็มาจากหนังสือที่สืบทอดมาของตระกูลวัตถุดิบที่ใช้ก็เป็สมุนไพรที่เธอนำมาจากพื้นที่ลึกลับทั้งนั้นดังนั้นผลของมันจึงไม่ได้แย่ไปกว่ายาวิเศษระดับไม่สูงมากของโลกการฝึกศาสตร์ในอดีตแล้วอีกทั้งแม่นั้นเพียงแค่ถูกการใช้ชีวิตทำให้เหนื่อยล้า เดิมทีพวกคนบ้านนอกนั้นก็แต่งงานมีลูกเร็วอยู่แล้วอย่าได้ไปดูอย่างหลินลั่วหรานที่แม้ว่าตอนนี้จะอายุยี่สิบแปดปีแล้วเลยดังนั้นมันจึงทำให้แม่ดูแก่กว่าที่ควรจะเป็ทั้งที่ความจริงก็เพิ่งจะอายุเพียงสี่สิบกว่าเท่านั้น
ดังนั้นฤทธิ์ของยาผิวหยกนั้นก็ทำได้เพียงแค่ทำให้แม่มีรูปลักษณ์ที่เข้ากับอายุจริงของเธอมากขึ้นก็เท่านั้นแต่เพราะว่าเมื่อก่อนแม่นั้นดูแก่กว่าที่ควรจึงทำให้เห็นความแตกต่างได้อย่างชัดเจนดังนั้นนั้นจึงไม่ใช่ว่ายาที่หลินลั่วหรานทำออกมาด้วยเตาไฟธรรมดาๆพวกนั้นจะมีความสามารถในการเปลี่ยนแปลงอะไรได้มากนักหรอก
การเดินทางนั้นเต็มไปด้วยความเหน็ดเหนื่อยในคืนนี้หลินลั่วหรานจึงเลือกที่จะนอนหลับพักผ่อนแทนที่จะฝึกศาสตร์อย่างที่ควรจะเป็เธอนอนอยู่ในห้องที่แม่จัดเตรียมเอาไว้ให้ก่อนแล้วหลินลั่วหรานมองไปยังหน้าต่างมองฟ้า้าเพดานเธอมองไปยังดวงดาวที่กระจายอยู่เต็มฟ้า พร้อมทั้งความดีใจและความกังวล
เื่ที่ดีใจก็คือ พ่อนั้นความสามารถฝึกการััพลังได้แล้วเื่ความสามารถนั้นเอาไว้ค่อยพูดถึง แต่แน่นอนว่าเขามีพื้นฐานพลังอย่างแน่นอนส่วนเื่ที่ทำให้เธอต้องกังวลนั้น ก็เห็นกันได้ชัดๆ อยู่มันคือการที่แม่ไม่สามารถฝึกการััพลังได้ มันเป็ปัญหาทางความสามารถหรือว่าเธอไม่มีพื้นฐานพลังกันแน่?
หลินลั่วหรานถอนหายใจออกมา ถ้าหากว่าสามารถฝึกศาสตร์ได้ทั้งครอบครัวจับมือกันไปทั่วทุกที่อันไร้ขอบเขต มันจะเป็ความสบายใจขนาดไหนกันนะ?
หลินลั่วหรานได้แต่ปลอบใจตัวเองท่ามกลางความกังวลเ่าั้ ทายาทที่กำเนิดขึ้นมาจากนักปราชญ์และคนธรรมดานั้นก็จะเป็เหมือนกับตระกูลของผู้บังคับบัญชาฉินที่ไม่มีทายาทที่มีพื้นฐานพลังมาตั้งกี่รุ่น
ตัวเธอนั้นมีพื้นฐานพลัง ถ้าหากว่าพ่อของเธอไม่มีก็อาจจะเป็การส่งต่อข้ามรุ่น แต่ว่าเห็นได้ชัดว่าพ่อนั้นสามารถััถึงพลังได้แล้วแม่ของเธอจะไม่มีพื้นฐานพลังได้อย่างไร?
หลินลั่วหรานนอนหลับไปพร้อมทั้งความกังวลในใจของเธอเหลือเพียงความคิดเดียวเท่านั้นก็คือการที่ต้องจัดการทำเื่นี้ให้ชัดเจนขึ้นมาให้ได้ ถ้าหากว่าแม่ไม่มีพื้นฐานพลังจริง เธอควรจะทำอย่างไร เื่นี้ถูกหลินลั่วหรานตั้งใจมองข้ามไปเป็ที่เรียบร้อย
เช้าวันต่อมา หลินลั่วหรานตื่นขึ้นมาเช้ากว่าปกติ
ตอนที่เป่าเจียจะเข้ามาเรียกเธอที่ห้อง ก็พบว่าไม่มีใครอยู่เสียแล้วเธอหาอยู่เป็รอบกว่าจะพบว่าเพื่อนรักของเธอนั่งกระดิกเท้าอยู่บนกิ่งของต้นไม้ใหญ่หลังบ้านในความผ่อนคลายสบายใจนั้น มีความขี้เล่นแบบเด็กๆ ผสมปนอยู่ทำให้ดูไม่คุ้นตาเสียเท่าไร แม้ว่าตัวเป่าเจียจะมีพื้นฐานพลังแต่ว่าก็เพิ่งจะเคยเรียนการควบคุมลมหายใจไปจากหลินลั่วหรานเท่านั้นเธอเพิ่งจะก้าวเข้ามาในขอบไกลๆ ของการเป็ระดับฝึกลมปราณ เธอไม่เหมือนกับหลินลั่วหรานที่มีของขี้โกงอย่างไข่มุกแต่กลับเป็เหมือนกับพวกนักปราชญ์ในยุคนี้อย่างเหวินกวนจิ่งที่ต้องพยายามกลั่นพลังในทุกๆ วันดังนั้นเธอจึงถือได้ว่าเพิ่งจะก้าวเข้ามาสู่การฝึกศาสตร์และยังห่างไกลจากการเป็ระดับฝึกลมปราณขั้นแรกมากนัก
ในตอนที่เป่าเจียกำลังจะพูดอะไรสักอย่างกลุ่มแสงที่แตกต่างกันทั้งห้าสีก็ปรากฏสว่างขึ้นมาในมือของหลินลั่วหรานพร้อมทั้งเผยรอยยิ้มที่ดูแปลกไปจากปกติออกมา
เป่าเจียรู้สึกได้ถึงความผิดปกติ ก่อนที่เธอจะพูดออกมา “เสี่ยวหลินจึ เธอจะทำอะไร?”
หลินลั่วหรานจงใจทำสายตายั่วยวนออกมา “กลางป่าเขานั้นช่างเหงาหงอยแน่นอนว่าก็ต้องสร้างสีสันกันสักหน่อย”
ในตอนที่เป่าเจียกำลังจะเชิดหน้าใส่ กลุ่มแสงเ่าั้ก็บินมาทางเธอเธอคิดว่าหลินลั่วหรานจะแกล้งอะไร จึงส่งเรียกกรีดร้องออกมายกใหญ่
กลุ่มแสงทั้งห้าหมุนเวียนอยู่รอบๆตัวเป่าเจียที่ส่งเสียงกรีดร้องอยู่สักพัก เป่าเจียส่งเสียง เฮ้อ ออกมาดูเหมือนว่าจะรับรู้ได้แล้วว่า นอกจากพวกมันจะไม่ได้อันตรายอะไรมันยังเป็ของที่ดีอีกด้วย มันใช่กลุ่มแสงธรรมดาๆเสียที่ไหน เห็นได้ชัดว่ามันคือพลังทั้งห้าธาตุ สงบไร้ซึ่งอันตราย สำหรับคนที่เหนื่อยหน่ายกับท่าทางของพวกพลังที่วุ่นวายพวกนั้นอย่างเป่าเจียแล้วมันก็ทำให้เธอใจเต้นขึ้นมาได้ เหมือนกับมีรถคันสวยวางอยู่ตรงหน้า
เป่าเจียไม่ได้สนใจความสกปรกของพื้น เธอนั่งลงไปทันทีก่อนที่จะเริ่มกำหนดลมหายใจที่ตรงนั้น
ในพลังทั้งห้า กลุ่มพลังสีเขียวถูกเป่าเจียดูดซับเข้าเป็เป็กลุ่มแรกก่อนที่จะตามไปด้วยกลุ่มพลังสีฟ้าที่หลีกหนีไม่พ้น ส่วนสามพลังที่เหลือก็ค่อยๆกระจายหายไปโดยไร้ซึ่งแรงลม
“ธาตุไม้และน้ำ...เหมือนกับคุณย่าของท่านผู้บังคับบัญชาฉินเลยเป่าเจียเป็พวกที่สืบทอดมาโดยเว้น่รุ่นจริงๆ ด้วย"หลินลั่วหรานไม่ได้รบกวนการกำหนดลมหายใจของเพื่อนรักแต่กลับะโลงมาจากกิ่งไม้อย่างนุ่มนวล
คนที่มีพื้นฐานพลังโดยปกติแล้วจะต้องเป็ระดับพื้นฐานก่อนจึงจะสามารถแยกธาตุออกมาได้แน่นอนว่าเป็เพราะนักปราชญ์ทั่วไปไม่อาจจะมีพลังได้ทั้งห้าธาตุในตอนที่เป็ระดับฝึกลมปราณก็ไม่สามารถที่จะยืมพลังของธาตุอื่นมาใช้เพียงแต่ต้องรอให้ถึงระดับพื้นฐานก่อน จึงจะทำได้เหมือนกับมู่เหล่าที่ใช้ประโยชน์จากการเชื่อมต่อกันของพลัง เข้าไปััตอบรับกับพลังธาตุอื่นและประเมินธาตุของพื้นฐานพลังให้กับคนอื่นได้
แต่สิ่งเหล่านี้นั้นไม่ใช่ข้อจำกัดสำหรับหลินลั่วหรานเพราะว่าเธอสามารถตอบรับกับพลังได้ทั้งห้าธาตุ
เธอจะลองประเมินให้พ่อกับแม่ดูดีไหม? เมื่อเธอนึกไปถึงผู้เป็แม่ที่ยังััไม่ถึงพลังเธอก็ยังไม่พร้อมที่จะรับมือกับผลลัพธ์ที่แย่ที่สุดเท่าที่คาดไว้เธอจึงอยากจะยืดเวลาออกไปเสียหน่อย จึงนำเื่หนีปัดทิ้งไปอีกทาง
จนกระทั่งผู้เป็แม่เตรียมอาหารเช้าจนเสร็จเรียบร้อยแล้วในห้องทานอาหารนั้นเสี่ยวลั่วตงก็กำลังใช้แววตาที่เต็มไปด้วยความโมโหแสดงความไม่พอใจที่เมื่อคืนไม่มีใครปลุกเขาอยู่เป่าเจียก็เพิ่งจะดูดซึมพลังเสร็จ แล้ววิ่งเข้ามาด้วยความเร็วราวกับสายลมปากก็เอาแต่ร้องะโเสียงดัง
“มีใครบางคนใช้ประโยชน์จากการฝึกศาสตร์ที่ล้ำลึกกว่า มารังแกคนอื่นค่ะแม่คะ แม่ต้องเข้าข้างหนูนะ!”
หลินลั่วหรานไม่ได้หนีอะไร เธอทำเป็โกรธก่อนจะพูดออกมา “รังแก? ฉันเพิ่งจะได้เตรียมจะเอาสมบัติเพิ่มความสะดวกสบายเอาไว้ให้ใครบางคนที่กำลังจะเข้าระดับการฝึกลมปราณขั้นต้นอยู่เองนะถึงได้ตั้งใจจะช่วยสักหน่อย...ดูเหมือนว่าความหวังดีของฉันจะไปสร้างความลำบากให้ใครเข้า ถ้างั้นของชิ้นนี้ก็คงจะต้องเก็บเอาไว้สินะ”
หลินลั่วหรานจงใจที่จะเน้นย้ำที่คำว่า “สมบัติ” ให้ชัดเจน และมันก็ทำให้คนที่มีจุดอ่อนเป็การชอบหาสิ่งใหม่ๆอย่างเป่าเจียตกหลุมพรางเข้า เธอจึงถามขึ้นมาด้วยความสงสัย “พูดจริงเหรอ? มีของอะไรจะให้ฉันเหรอ พูดออกมาสิแล้วพี่สาวคนนี้อาจจะพิจารณาไว้ชีวิตของเธอก็ได้นะ ไม่อย่างนั้นล่ะก็ ฮึๆ!”
หลินลั่วหรานส่ายหน้าไปมา “ตอนนี้ยังไม่บอกหรอกพยายามเข้านะ”
“เธอ!” เป่าเจียถลึงตาขึ้นมายัยน้องสาวคนนี้ตอนนี้ปีกกล้าขาแข็งแล้ว สงสัยจะต้องใช้อาวุธขั้นสุดยอดแล้วในตอนที่เธอกำลังจะพุ่งตัวเข้าไปจักจี้ตัวของหลินลั่วหรานผู้เป็แม่ก็อดที่จะใช้ตะเกียบเคาะเข้าที่หัวของทั้งสองไม่ได้
“ทั้งสองคนนี่ อายุรวมกันตั้งเท่าไรแล้ว ยังไม่รีบกินข้าวเข้าไปอีก!”
ตอนนี้รูปลักษณ์ภายนอกของเธอก็เปลี่ยนไปและนิสัยท่าทางของผู้เป็แม่ก็ยังเปลี่ยนไปมากอีกด้วย ไม่มีใครกล้าจะขัดเธอเป่าเจียก็ได้แต่ก้มลงกินข้าวต้มไปอย่างเชื่อฟังหลินลั่วหรานเองก็รีบพูดเื่ที่จะเอาเมล็ดพันธุ์มาให้ปลูกขึ้นมาด้วยเช่นกัน
แววตาของผู้เป็แม่เปล่งประกายขึ้นมา ตอนนี้เธอเลือกกินมากขึ้นเรื่อยๆแล้ว อีกทั้งเธอยังรู้สึกไม่ยอมแพ้กับรสชาติอาหารมังสวิรัติของเ้าสำนักเสี่ยวอันเธอตั้งใจจะเชิญมาตอบแทนั้แ่แรก ตอนนี้ลูกสาวของเธอก็กลับมาแล้ววัตถุดิบก็มีไม่ขาด เื่ที่จะเชิญเ้าสำนักเสี่ยวอันมาจึงถูกจัดให้เข้าไปอยู่ในกำหนดการเรียบร้อยแล้ว
และที่สำคัญ ถ้าหากว่าตัวเองสามารถปลูกพวกผักที่รสชาติดีพวกนั้นออกมาได้เองหลังจากนี้เพื่อวัตถุดิบในการทำอาหารเ้าสำนักเสี่ยวอันน่าจะต้องขอร้องเธอด้วยซ้ำไปแล้วต่อจากนั้น ไม่ใช่ว่าเมื่อเธออยากจะกินอาหารมังสวิรัติเมื่อไรก็คงจะสามารถกินได้เลยแล้วอย่างนั้นเหรอ?
เมื่อผู้เป็พ่อเห็นว่าผู้เป็แม่กำลังสนใจสิ่งที่ลูกสาวพูดเขาก็ดีใจขึ้นมา อย่างน้อยหลังจากที่มีอะไรทำเธอก็อาจจะไม่ต้องไปสนใจกับเื่หน้าตามากนัก เขาเองก็จะได้คลายกังวลไปด้วย
“ปลูกผัก ดี!” เสี่ยวลั่วตงนั้นชอบการเล่นดินเล่นทรายมากเขาจึงปรบมือแสดงความชื่นชมขึ้นมา
เมื่อได้ยินดังนั้นเป่าเจียก็เร่งความเร็วขึ้นแล้วจัดการกินข้าวต้มจนหมดเกลี้ยง ทำเอาทุกคนต่างพากันหัวเราะ
ในระหว่างที่ผู้เป็แม่กำลังใช้ความคิดอยู่นั้น ที่วัดทางหลังเขาเ้าสำนักเสี่ยวอันที่กำลังเตรียมจะทำวุ้นเต้าหู้อยู่ ก็จามออกมาไม่หยุด
เ้าสำนักเสี่ยวอันส่ายหน้าไปมา ใครกำลังนึกถึงเขาอยู่นะ?
ศิษย์น้องคนหนึ่งพุ่งตัวเข้ามา เมื่อเห็นว่าเขากำลังจะทำอาหารอยู่ก็โมโหขึ้น ก่อนที่จะเข้ามาดึงเข้าที่แขนเสื้อของเขา
“รุ่นพี่ อาจารย์เรียกหาพี่น่ะ!”