หมี่หลันเยว่เดินออกมาจากห้องสอบ เหงื่อเม็ดเล็กๆ ผุดตามไรผม แสงแดดเจิดจ้าภายนอกสาดส่องจนแสบตา เดือนกรกฎาคมอันมืดมิดแบบนี้ ช่างเป็ฝันร้ายของนักเรียนนักศึกษาเสียจริง เมื่อนึกถึงการสอบเกาเข่าในยุคหลังที่เลื่อนมาจัดในเดือนมิถุนายน อากาศแบบนั้นน่าจะเอื้ออำนวยต่อการทำข้อสอบของเด็กๆ มากกว่า
"หลันเยว่ ทางนี้ๆ ตรงนี้ไง สอบเป็ยังไงบ้าง"
เฉียนหย่งจิ้นเห็นหมี่หลันเยว่เป็คนแรก รีบโบกมือเรียกเธอ หมี่หลันหยางเดินมากับเฉียนหย่งจิ้นเพื่อจะไปหาหมี่หลันเยว่ หมี่หลันเยว่ก็เดินเข้าไปหาเช่นกัน วันนี้คือวันที่ 7 กรกฎาคม ปี 1985 เป็วันแรกของการสอบเกาเข่าทั่วประเทศ
"ก็เรื่อยๆ นะคะ แต่คะแนนยังไม่ออก ก็บอกไม่ได้ว่าสอบเป็ยังไง"
นั่นก็หมายความว่าน่าจะสอบได้ดีมากทีเดียว ไม่อย่างนั้นหมี่หลันเยว่คงไม่พูดแบบนี้
"พวกพี่สองคนล่ะ สอบเป็ยังไงบ้างคะ"
"ก็เรื่อยๆ เหมือนกัน ทำได้ตามที่หวังไว้ แต่ก็ต้องดูว่าคนอื่นๆ สอบได้แค่ไหน พวกเรากำลังสอบเกาเข่านะ นั่นคือสะพานไม้ที่เดียวที่นักเรียนทั่วประเทศต้องข้าม ใครจะรู้ว่ามีสุดยอดฝีมือแบบไหนรอพวกเราอยู่บ้าง อย่างที่หลันเยว่ว่า คะแนนยังไม่ออกก็บอกไม่ได้ว่าสอบเป็ยังไง"
เฉียนหย่งจิ้นรู้สึกไม่มั่นใจเล็กน้อย การสอบเข้ามหาวิทยาลัยในยุคนี้เป็เื่ยากมาก คนที่ยืนหยัดเรียนจบมัธยมปลายได้ก็เก่งกาจมากแล้ว นี่เขากำลังจะสอบเข้ามหาวิทยาลัย แถมยังตั้งเป้าหมายไว้สูงขนาดนั้น ถ้าไม่ได้หมี่หลันเยว่อยู่ข้างหน้า เขาคงไม่กล้าตั้งเป้าหมายระดับนี้เป็แน่
"ความคิดแบบนี้ใช้ไม่ได้นะ ยังไม่ทันทำอะไรก็หมดความมั่นใจซะแล้ว เหลืออีกหลายวิชานะ ต้องรีบปรับสภาพจิตใจหน่อย"
หมี่หลันหยางสังเกตเห็นความประหม่าของเฉียนหย่งจิ้น รีบเอื้อมมือไปบีบนวดบ่าให้เขา เพื่อให้เขารู้สึกผ่อนคลายลง
"พี่หย่งจิ้น นี่ไม่เหมือนพี่เลยนะ ฉันนึกว่าพวกเราห้าคนน่าจะมีแค่พี่เผิงเฟยที่ตื่นเต้น ที่ไหนได้ คนที่ตื่นเต้นที่สุดกลับเป็พี่ซะได้ คอยดูพี่เผิงเฟยนะ อย่าให้พี่เผิงเฟยข่มพี่ได้ล่ะ ที่สำคัญพี่เผิงเฟยเป็คนเดียวที่เลือกคณะไม่เหมือนพวกเรา"
ระหว่างที่หมี่หลันเยว่พูดอยู่นั้น หลินเผิงเฟยและหนิวเถียจู้ก็รีบเดินมาจากอีกฝั่งของโรงเรียน
"เป็ยังไงบ้างพี่เผิงเฟย ตื่นเต้นหรือเปล่า"
ครั้งนี้หมี่หลันเยว่ไม่ได้ถามเื่คะแนน แค่ถามถึงอารมณ์ของหลินเผิงเฟยเท่านั้น
"ไม่ตื่นเต้นเลยนะ ทำข้อที่ทำได้ ข้อที่ทำไม่ได้ก็มั่วๆ ไป ก็ไม่มีเวลาให้ตัวเองตื่นเต้นเท่าไหร่ ข้อสอบเยอะใช่เล่น ฉันมัวแต่ก้มหน้าก้มตาทำก็แทบจะไม่ทันอยู่แล้ว โชคดีที่สุดท้ายยังพอมีเวลาเหลือให้ตรวจทานบ้าง"
"ว้าว เผิงเฟย นายยังมีเวลาตรวจทานด้วย ฉันเขียนจนเสียงกริ่งดัง แทบจะไม่ทันอยู่แล้ว"
หนิวเถียจู้ที่อยู่ข้างๆ พูดอย่างเกินจริง ราวกับว่าเขาตอบข้อสอบไม่ทันจริงๆ
แต่ทุกคนรู้ดีว่าหนิวเถียจู้จะเป็คนที่ทำข้อสอบได้อย่างคงเส้นคงวาที่สุด จากการคบหากันมาหลายปี หมี่หลันเยว่ค้นพบข้อดีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของหนิวเถียจู้ข้อนี้ ไม่ว่าเมื่อไหร่เขาก็จะไม่ปล่อยให้ตัวเองเสียท่า เขาอาจจะไม่ใช่คนที่เก่งที่สุดในบรรดาห้าคน แต่ความผันผวนของเขาน้อยที่สุด
ถ้าเขาพัฒนาขึ้น นั่นคือการพัฒนาที่แท้จริง ไม่ใช่เพราะทำข้อสอบได้ดีเกินคาดเพียงครั้งเดียว ทำให้คะแนนของเขาพุ่งสูงขึ้น แล้วครั้งต่อไปก็จะลดลงกลับไปอยู่ในระดับเดิม แต่เื่แบบนี้เกิดขึ้นกับเฉียนหย่งจิ้นได้โดยไม่น่าแปลกใจ ระดับโดยรวมของเขาสูงกว่าหนิวเถียจู้ แต่บางครั้งเขาก็มีขึ้นๆ ลงๆ ไม่คงที่
"ถ้าอย่างนั้น แสดงว่าวิชาแรกของทุกคนก็สอบได้ไม่เลวสินะ งั้นก็ต้องดูวิชาต่อๆ ไปแล้ว พวกเราต้องฮึดสู้กันหน่อย เมื่อกี้ตอนอยู่ในห้องสอบ ฉันเห็นว่าทุกคนดูใจเย็นดี น่าจะสอบได้ดี งั้นพวกเราก็ยิ่งต้องตามให้ทัน ใช่ไหมคะ”
คำพูดของหมี่หลันหยางได้รับการตอบรับอย่างเป็เอกฉันท์จากทุกคน
"เพราะงั้นในวิชาต่อๆ ไป พวกเราต้องอ่านโจทย์ให้ดี ตรวจสอบโจทย์ให้ละเอียด พยายามไม่สะเพร่า ไม่ผิดพลาด ตราบใดที่เราสามารถใช้ความรู้ที่เรียนมาในวันธรรมดา การสอบเข้ามหาวิทยาลัย ก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร"
"สู้ๆ!"
ทั้งห้าคนวางมือทับกัน ต่างให้กำลังใจกัน ความกล้าหาญของคนหนุ่มสาวปรากฏให้เห็นอย่างชัดเจนในเวลานี้ ถ้าก้าวนี้สำเร็จ อนาคตก็จะโบกมือเรียกพวกเขาอยู่
หมี่หลันเยว่นึกถึงความพยายามของทุกคนใน่สามปีที่ผ่านมา ในใจก็เต็มไปด้วยความฮึกเหิม ในที่สุดก็ถึงวันนี้ วันที่จะพิสูจน์ตัวเองมาถึงแล้ว เธอไม่ค่อยเป็ห่วงพี่ๆ เท่าไหร่ แต่เธอเป็ห่วงตัวเองมากกว่า เพราะเธอ้าเรียนบริหารธุรกิจอย่างเป็ระบบ ดังนั้นในสมัยมัธยมปลายเธอจึงต้องเลือกเรียนสายวิทย์
ต้องรู้ว่าวิชาวิทยาศาสตร์เป็จุดอ่อนของเธอมาั้แ่เด็ก ยิ่งตอนมัธยมปลายก็ยิ่งเห็นได้ชัดเจน ใน่สองปีหลังของมัธยมปลาย คะแนนของหมี่หลันหยางและพี่ๆ อีกสามคนกลายเป็เป้าหมายที่เธอต้องไล่ตาม โชคดีที่ด้วยความช่วยเหลือและกำลังใจจากพี่ชายทั้งสี่ เธอก็ไม่ได้ตามหลังมากนัก
"หลันเยว่ สู้ๆ นะ!"
หมี่หลันหยางโอบไหล่น้องสาว ตบไหล่เธอเบาๆ เขารู้ว่าวิชาวิทยาศาสตร์ของหลันเยว่อ่อนกว่า แต่ตราบใดที่เธอเข้าใจความรู้แล้ว เธอก็จะเข้าใจอย่างลึกซึ้ง ดังนั้นหมี่หลันหยางจึงไม่กังวลมากนัก
ถ้าพูดถึงความคงที่ ในบรรดาคนทั้งหมดก็มีแค่หนิวเถียจู้ที่พอจะเทียบเธอได้ แม้แต่หมี่หลันหยางก็ไม่กล้าพูดว่าน้องสาวของเขาจะสอบได้แย่กว่าเขา เพราะตัวเขาเองก็มี่ขึ้นๆ ลงๆ แต่หมี่หลันเยว่ไม่มี ใครๆ ก็เห็นแต่ความก้าวหน้าของเธอ
การสอบสามวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว เมื่อสอบวิชาสุดท้ายเสร็จ ทั้งห้าคนมารวมตัวกัน ไม่เพียงแต่จะไม่รู้สึกโล่งอก สบายตัว แต่กลับรู้สึกกระวนกระวายใจมากขึ้น เฉียนหย่งจิ้นตบหน้าอกพึมพำเบาๆ
"พวกนายว่า ใบแจ้งผลสอบจะมาเมื่อไหร่"
หลินเผิงเฟยเหลือบมองเฉียนหย่งจิ้น
"อะไร ยังไม่ทันรู้คะแนนเลย นายก็เป็ห่วงใบแจ้งผลสอบแล้วเหรอ มั่นใจขนาดนั้นเลยว่าจะสอบได้ ฉันรู้สึกใจไม่ดีเลย"
"อะไรคือมั่นใจ ก็เพราะไม่มั่นใจ ฉันถึงอยากให้ถึงเวลาที่ใบแจ้งผลสอบจะมาถึงสักที จะได้รู้ดำรู้แดงกันไปเลย การรอแบบนี้มันทรมานนะ"
เฉียนหย่งจิ้นรู้สึกว่าบรรยากาศในบ้านสองสามวันนี้ไม่เหมือนเดิม พอเขาเข้าบ้าน ทุกคนในบ้านก็เงียบกริบ
"ที่บ้านตั้งความหวังกับพวกเราสูงเกินไป พอฉันกลับบ้าน พวกเขาก็กลัวจะรบกวนฉัน เดินย่องเหมือนขโมย ยิ่งทำให้ฉันรู้สึกไม่สบายใจ ถ้าสอบไม่ได้ ฉันจะทำยังไงดี"
เขาอยากจะแหงนหน้าะโโวยวายสักที แต่สุดท้ายเฉียนหย่งจิ้นกลับทำได้แค่ถอนหายใจอย่างหนักหน่วง
"พวกนายก็อย่าคิดมากไปเลย หลันเยว่ประเมินคะแนนที่สอบติดคณะพวกเราได้ทุกปี เธอต้องคิดว่าพวกเราสอบได้แน่ๆ ถึงจะให้พวกเราเลือกคณะนี้ ใช่ไหม หลันเยว่"
หมี่หลันหยางหันไปขอความเห็นจากหลันเยว่ จริงๆ แล้วในใจเขาก็รู้สึกไม่สบายใจอยู่บ้าง
"แน่นอนสิ ฉันไม่ใช่คนบุ่มบ่าม ถ้าไม่มั่นใจ ฉันคงไม่ให้พวกพี่สมัครสอบมหาวิทยาลัยดังๆ แบบนี้หรอก ถ้าทุกคนทำข้อสอบได้ตามปกติ โอกาสที่จะได้รับใบตอบรับเข้าศึกษา ฉันว่ามีมากกว่าเก้าสิบห้าเปอร์เซ็นต์"
คำพูดของหมี่หลันเยว่ทำให้ทุกคนใจชื้นขึ้นมาเล็กน้อย ความคาดหวังมากเกินไปก็ยังคงเจือปนไปด้วยความไม่แน่นอน ใครก็ไม่กล้ารับประกันว่าจะสอบได้แน่นอน ยังไงซะ ที่นั่นคือมหาวิทยาลัยชิงหวา มหาวิทยาลัยอันดับหนึ่งของประเทศ ในปีที่ผ่านมาทั้งเมืองซวงเฉิงยังไม่มีใครสอบติดเลย แต่ปีนี้ทั้งห้าคนสมัครสอบมหาวิทยาลัยชิงหวาพร้อมกัน
"เผิงเฟย ถึงแม้ว่าพวกเราจะสมัครสอบคณะบริหารธุรกิจเหมือนกัน แต่มีนายคนเดียวที่สมัครสอบสาขาการบัญชี เพราะสาขาดูเหมือนว่าความหวังของนายจะมากกว่าพวกเรานะ"
หนิวเถียจู้ใช้กำปั้นทุบไหล่ของหลินเผิงเฟย
"ใครจะรู้ ตอนนี้สอบเสร็จแล้ว พวกเราทำได้แค่รอ์ช่วยเลือกให้ก็เท่านั้น"
หลินเผิงเฟยทำท่าทีปล่อยตามเวรตามกรรม หมี่หลันหยางอดไม่ได้ที่จะตบหัวเขาไปทีหนึ่ง
"นายไปเรียนรู้การยอมแพ้มาจากไหน สอบได้ดีพวกเราก็ไปปักกิ่งกันอย่างสนุกสนาน สอบไม่ได้ก็เริ่มใหม่ปีหน้า จะไปยอมจำนนต่อโชคชะตาอะไรกัน ฉันลิขิตชีวิตตัวเอง ไม่ใช่ฟ้า นายจะยอมจำนนต่อโชคชะตาเหรอ"
รู้ว่าหมี่หลันหยางกำลังล้อเขาเล่น หลินเผิงเฟยก็ไม่โกรธ แค่หัวเราะออกมา
"จริงๆ แล้วฉันก็มั่นใจในตัวเองมากนะ หลันเยว่บอกว่าพวกเรามีโอกาสเก้าสิบห้าเปอร์เซ็นต์เลยนะ โอกาสสอบได้มันเยอะมาก ฉันแค่ถ่อมตัวเท่านั้นเอง หรือว่าฉันต้องบอกว่าฉันสอบติดแน่นอน?"
"ไอ้หมอนี่"
หมี่หลันหยางยื่นมือออกไปอีกครั้ง อยากจะตบเขาอีกที คราวนี้หลินเผิงเฟยตอบสนองอย่างเร็ว หลบหนีออกจากขอบเขตอุ้งมือปีศาจของหมี่หลันหยางได้อย่างรวดเร็ว
"เอาล่ะๆ อย่ามัวแต่เล่นกันเลยค่ะ พวกเรารอใบแจ้งผลสอบอย่างเงียบๆ ดีกว่า"
หมี่หลันเยว่ก็รู้ว่าที่พวกเขาพูดจาเหลวไหลกันแบบนี้ก็เพื่อคลายความกังวล แต่คนที่เข้าสอบเกาเข่า มีใครบ้างที่สามารถวางใจได้จริงๆ ไม่ใช่ทุกคนเอาแต่เก็บความกังวลนั้นไว้จนกว่าใบแจ้งผลสอบจะมาถึงเหรอ
"เอาล่ะๆ เื่สอบก็พักไว้ก่อน ตอนนี้ฉันจะสั่งพวกพี่ ในฐานะที่เป็นักเรียนมัธยมปลายให้เริ่มทำงาน จัดการงานทั้งหมดที่อยู่ในมือซะ ฉันรู้ว่าพวกพี่ถ่ายโอนงานไปเกือบหมดแล้ว แต่พวกเขาก็ยังคงพึ่งพาพวกพี่อยู่ คราวนี้จัดการให้เรียบร้อย แล้วปลีกตัวเองออกมานะคะ"
"เพื่อให้พวกเขาทำงานได้เองอย่างสมบูรณ์ในเวลาที่สั้นที่สุด รับ่งานทั้งหมดที่อยู่ในมือของพวกเราไปได้ เพราะฉันอยากจะไปปักกิ่งทันทีที่ได้รับใบแจ้งผลสอบ พวกเราน่าจะทำอะไรสักอย่างที่ปักกิ่งก่อนเปิดเทอม ถ้าครั้งนี้ใครสอบไม่ติด ก็ช่วยไม่ได้ คงต้องอยู่ต่อที่นี่นะคะ"
คำพูดของหมี่หลันเยว่ปลุกเร้าความฮึกเหิมของทุกคน เฉียนหย่งจิ้นยิ่งฮึกเหิมกว่าคนอื่นๆ
"สอบติดแน่นอน ฉันจะไปปักกิ่ง"
ใช่แล้ว พวกเราจะไปปักกิ่งด้วยกัน
ต่อจากนั้นทั้งห้าคนก็เริ่มวุ่นวายกันอย่างเต็มที่ แต่ละคนพาคนที่อยู่ใต้บังคับบัญชาของตัวเอง หรือจะเรียกว่าลูกศิษย์ก็ได้ เข้าสู่ขั้นตอนการส่งมอบงานขั้นสุดท้าย ไม่ว่าจะเป็สมุดบัญชีหรือการติดต่อกับผู้คน ต่างก็ส่งมอบให้อย่างไม่ปิดบัง ทำให้ผู้ใต้บังคับบัญชาที่สามารถเป็อิสระได้ในที่สุดต่างก็ตื่นเต้นดีใจ จะต้องเป็เสาหลักแล้ว ก่อนหน้านี้ก็เป็ผู้จัดการ แต่ตอนนี้ถึงจะเป็การเป็เสาหลักอย่างแท้จริง
ถึงแม้ว่าจะค่อยๆ เปลี่ยนผ่านไปแล้ว แต่การส่งมอบงานอย่างแท้จริงก็ใช้เวลาพอสมควร เพียงแต่ทุกคนไม่ได้คาดหวังว่าใบแจ้งผลสอบจะมาถึงเร็วขนาดนี้ วันที่ 22 กรกฎาคม ในวันเดียวกันทั้งห้าคนก็ได้รับใบแจ้งผลสอบอย่างต่อเนื่อง เพราะที่อยู่ทั้งหมดเขียนไว้ที่ฝั่งห้างสรรพสินค้าเฉียนคุน
"หนิวเถียจู้ ใบตอบรับเข้าศึกษา"
เถียจู้เป็คนแรกที่ได้รับใบแจ้งผลสอบ ความตื่นเต้นนั้นไม่ต้องใช้คำพูดใดๆ มาอธิบาย ต่อจากนั้นก็เป็คนที่สองคนที่สาม เมื่อใบแจ้งผลสอบฉบับที่ห้ามาถึง ห้างสรรพสินค้าก็ลุกเป็ไฟ ใบตอบรับเข้าศึกษามหาวิทยาลัยชิงหวาทั้งห้าฉบับ นี่เป็เกียรติที่ยิ่งใหญ่ขนาดไหน ไม่ใช่แค่ส่วนตัว แต่แม้แต่แวดวงการศึกษาของเมืองซวงเฉิงก็ก้าวหน้าไปอีกขั้นด้วยเหตุนี้
