แท้จริงแล้วเป็บุรุษสองคนยืนมองนางและถกเถียงกัน
“สตรีนางนี้ยังไม่ตาย ดูเหมือนว่านางจะสลบไป?”
“นั่นเ้าคิดจะทำอันใด? จะขายนางให้จ้าวต้านหรือ? นางทั้งอ้วน เตี้ย และอัปลักษณ์ จ้าวต้านคงมิชอบใจแน่”
“ชิ นักล่าสัตว์จนๆ ทั้งยังมีภาระติดตัวเยอะเช่นนั้น ยังจะมีสตรีฐานะดีผู้ใดอยากแต่งเข้าบ้านเขากัน”
“รีบมาช่วยข้าเร็วเข้า มัดนางนี่ไว้ เอาไปให้จ้าวต้านยังพอจะแลกเนื้อหมูได้สักสองชิ้น”
ชายคนนั้นมือไม้รวดเร็วฉับไว รีบจับมัดเวินซีที่กำลังหมดเรี่ยวแรงมัดเอาไว้ทันที
เวินซีหลับตาลงด้วยสติที่เลือนราง ก่อนที่ภาพทั้งหมดจะดำดิ่งลงสู่ความมืด
ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่
ในตอนที่นางค่อยๆ ได้สติกลับมาก็รู้สึกว่าตนเองกำลังพิงกายอยู่บนพื้นแข็ง มีผ้าขี้ริ้วมัดปิดปากอยู่ แต่ถึงอย่างนั้นนางก็ยังสามารถมองเห็นรอบกายได้
“จ้าวต้าน ถึงแม้นางจะขี้เหร่ไปสักหน่อย แต่ถึงอย่างไรก็นับว่าเป็สตรี เ้าอย่าคิดมาก รับนางไว้เถิด” คนที่พูดนั้นมีหนวดเครารุงรังและมีใบหน้าดุดัน
ส่วนบุรุษที่ชื่อจ้าวต้าน แม้ว่าจะอยู่ในชุดผ้าเนื้อหยาบ แต่ก็มีรูปร่างสูงเพรียวและดูแข็งแรง ทั้งยังมีใบหน้าที่หล่อเหลาอีกด้วย
คนกลุ่มนั้นพูดตะล่อมเขาอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดจ้าวต้านก็ขมวดคิ้วถาม “ได้นางมาอย่างถูกต้องหรือไม่?”
คนที่มีหนวดเครารุงรังหรี่ตายิ้มให้ “แน่นอนสิ ข้าซื้อนางมาจากมารดาของนางเอง หากเป็เหรินหยาจื่อ [1] คงมิมีผู้ใดซื้อนางแน่ แต่ข้านั้นใจดียังรับซื้อนางมา”
จ้าวต้านลังเลอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็ตกลงซื้อนางไว้
สำหรับเหรินหยาจื่อนั้นเป็คนกลางในธุรกิจที่ซื้อขายมนุษย์อย่างจริงจัง นับว่าเป็การซื้อขายทาสที่ถูกต้องตามกฎหมายของที่นี่
เวินซีนอนอยู่ที่มุมห้อง มองดูบุรุษผู้มีหนวดเคราใช้ตัวนางเพื่อแลกกับเนื้อหมูป่าสองชิ้น จากนั้นเขาก็ยิ้มอย่างมีความสุขราวกับว่าได้กำไร
เวินซี “...”
หากอยู่ในชาติก่อน นักฆ่าชั้นเยี่ยมอย่างนางที่สามารถปลอมตัวได้หลายตัวตน เพียงแค่ปรากฏตัวก็มีค่าหัวเป็ล้าน
ทว่าเมื่ออยู่ในชาตินี้ กลับมีค่าเพียงเนื้อหมูสองชิ้น?!
หลังจากที่ขายสตรีนางนี้ได้ ชายผู้มีหนวดเคราก็กลับไปด้วยท่าทีพึงพอใจ จากนั้นจ้าวต้านก็เดินเข้ามาแกะเชือกให้เวินซี
เขามองไปยังใบหน้าที่ทั้งอ้วนทั้งน่าเกลียดของนาง จากนั้นก็หลุบสายตาลง ทำให้เวินซีเดาอารมณ์ของเขาไม่ออก
“ข้าซื้อเ้าแล้ว ต่อไปเ้าเป็คนของข้า”
เวินซีมีเรี่ยวแรงกลับคืนมาบ้างจึงนวดข้อมือ นางยืนขึ้น ก่อนเอ่ยวาจาเย้ยหยัน “ข้าถูกพวกเขาลักพาตัวมา ข้ามิใช่คนของพวกเขาเสียหน่อย”
นางเอ่ยเช่นนั้นเพราะ้าปฏิเสธการซื้อขายในครั้งนี้
จ้าวต้านขมวดคิ้ว แล้วใช้สายตาเฉียบขาดจ้องมองกลับไป “เ้าเข้ามาในบ้านของข้าพร้อมกับพวกเขา เนื้อหมูข้าก็ให้พวกเขาไปแล้ว คิดจะเบี้ยวหรือ?”
เวินซีชำเลืองมองบ้านหลังนี้ที่มีสภาพทรุดโทรม พลางนึกถึงเนื้อหมูป่าสองชิ้นเมื่อครู่
“เนื้อหมูพวกนั้นสำคัญมากเลยหรือ?”
“มันเป็อาหารมื้อสุดท้ายของข้า”
หลังจากที่ได้ยิน เวินซีก็นิ่งเงียบพูดอะไรไม่ออก
สำหรับนางแล้ว เพียงแค่รู้ว่ามีคนกล้าซื้อตัวนางมา นั่นก็ทำให้ขุ่นเคืองใจเป็อย่างยิ่ง นางจะไม่ปล่อยเขาไปแน่ แต่เมื่อคิดถึงสถานการณ์ของจ้าวต้าน อันที่จริง... เขาก็น่าอนาถ
ยังอุตส่าห์ใช้อาหารมื้อสุดท้ายเพื่อแลกนางมาอีก
“ข้าจะหาทางคืนเนื้อหมูป่าสองชิ้นนั้นให้เ้า”
เวินซีลูบที่ข้อมือ แม้ว่านางพอจะช่วยเหลือตนเองได้ แต่ก็ควรจะตอบแทนเขาที่ช่วยตนเองออกมาจากเหรินหยาจื่อที่อันตรายยิ่งกว่า
จ้าวต้านเงียบลง ดูเหมือนว่าภายใต้ใบหน้าที่หล่อเหลา เขาจะเป็คนพูดไม่เก่ง เห็นได้ชัดว่าเขาไม่อยากจะปล่อยนางไป ทว่าด้วยความทะนงตนจึงไม่อยากหาเื่สตรี
บรรยากาศในห้องแปลกประหลาดไปครู่หนึ่ง
ในขณะนั้นท้องของเวินซีกลับร้องโครกครากออกมาอย่างไม่รู้ความ นางไม่แก้ตัวอันใด ดูเหมือนว่าร่างกายจะหิวมากั้แ่ตอนที่ตื่นขึ้น
จ้าวต้านก็ได้ยินเช่นกัน จึงถามว่า “จะทานข้าวหรือไม่? ถึงจะไม่มีอาหารแล้วแต่ก็ยังมีผักป่าพอประทังความหิวได้”
เวินซีลังเลเล็กน้อย ก่อนจะตอบว่า “ทาน”
หากไม่ทานอาหารเสียหน่อย แม้จะออกไปจากที่นี่ได้ แต่ก็ไปไหนไม่รอด
เวินซีนั่งรอในขณะที่จ้าวต้านทำอาหารอยู่ในครัว
บริเวณนั้นมีกระจกแตกครึ่งบานวางอยู่บนโต๊ะ แม้เวินซีจะคาดเดารูปร่างของตนเองได้บ้างแล้ว แต่เมื่อได้ส่องกระจกเห็นเด็กสาวที่ทั้งอ้วนและอัปลักษณ์อย่างชัดเจน มุมปากก็อดกระตุกขึ้นมามิได้
นางคว่ำกระจกลง ใช้นิ้วแตะที่ข้อมือเพื่อตรวจชีพจรของตนเอง
ที่แท้ รูปร่างอัปลักษณ์เกินผู้ใดนี้ก็มิได้เป็มาแต่กำเนิด หากแต่มีคนในตระกูลเวินวางยานางมาั้แ่เด็ก ทำให้นางมีรูปร่างขี้เหร่และอ้วนขึ้นเรื่อยๆ ทั้งยังเตี้ยม่อต้อ ร่างของเด็กสาววัยสิบหกกลับดูเหมือนคนที่มีพัฒนาการไม่สมบูรณ์ เวินซีจึงดูแตกต่างไปจากเวินอี๋เหนียงที่แสนจะงดงาม และนายท่านเวินผู้ที่มีจิตใจโเี้แต่หน้าตากลับหล่อเหลา
ผ่านไปนานวันเข้า คนทั้งจวนจึงพากันก็คิดกันว่านางเป็ลูกนอกคอก!
“ดูเหมือนว่าจะต้องปรับยาหลายตัวเพื่อขับสารพิษในร่างกายออกเสียแล้ว”
มีเพียงวิธีนี้เท่านั้นที่จะทำให้นางกลับมามีรูปโฉมที่งดงามได้
ในตอนที่เวินซีกำลังคิดว่าจะปรุงยาแก้พิษอย่างไร ที่ขอบประตูก็มีหัวกลมๆ ของเด็กน้อยเรียงต่อกันสองสามหัว
คนโตสุดน่าจะเจ็ดแปดขวบ คนกลางสามสี่ขวบ และคนตัวเล็กที่เดินเตาะแตะยังไม่ค่อยได้ เขาน่าจะยังไม่ถึงขวบ พวกเขากำลังกะพริบตามองนางด้วยความอยากรู้อยากเห็น เวินซีเห็นแววตาที่เป็ประกายของพวกเขา ราวกับว่ามีดวงดาราพร่างพราวอยู่ข้างในนั้น
“พวกเ้าไม่กลัวข้าหรือ?”
ตอนนี้ด้วยรูปร่างที่ขี้เหร่ของนาง คงจะ... มิมีผู้ใดชอบหรอกกระมัง
เมื่อเด็กชายคนโตสุดได้ยินเช่นนั้นก็ส่ายศีรษะ ส่งยิ้มให้อย่างน่าเอ็นดู “ไม่กลัวขอรับ ท่านเป็พี่สะใภ้ของเรา ท่านพี่บอกว่าพี่สะใภ้จะดีกับพวกเรา”
เวินซีเดาว่าบางทีอาจเป็เพราะเด็กเหล่านี้ จึงทำให้จ้าวต้านยอมแลกอาหารมื้อสุดท้ายเพื่อให้ได้นางมา
“เข้ามาสิ”
ไม่รู้ว่าเขาสอนเด็กๆ อย่างไร เด็กเ่าั้จึงทั้งน่ารักและเชื่อฟังกันทุกคน แม้แต่เ้าตัวเล็กที่เดินไม่ได้ก็ยังยิ้มหวานให้
เวินซีมองดูเด็กทั้งสามที่สวมเสื้อผ้าขาดหลุดลุ่ย แม้จะมีร่องรอยการเย็บ แต่ฝีมือนั้นกลับอเนจอนาถยิ่ง ทำเอาเสื้อผ้าไม่น่าดูเลยสักนิด น้องคนกลางเป็เด็กผู้หญิงวัยสามสี่ขวบ ผมเผ้าของนางกระเซอะกระเซิง ไม่ได้ถูกมัดเอาไว้ให้ดี
เวินซีเป็คนรักความสะอาด เมื่อเห็นสภาพของเด็กแต่ละคนจึงโบกมือเรียกพวกเขาให้เข้ามา “มานี่สิ”
จากนั้นไม่นานนัก เมื่อจ้าวต้านเข้ามาพร้อมกับผักป่าหนึ่งชาม และได้เห็นสถานการณ์ภายในห้อง เขาก็ชะงักไปครู่หนึ่ง
ใบหน้าของเด็กๆ ดูสะอาดสะอ้านขึ้นมาก เป็เพราะมีคนมาช่วยล้างหน้าให้ รวมถึงทรงผมที่ถูกหวีและมัดจนเรียบร้อย แม้แต่เสื้อผ้าก็ยังดูดีขึ้นเพราะการเย็บใหม่
ในขณะที่เด็กๆ เข้าไปกอดขาของเวินซีด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความชอบใจ
“พี่สะใภ้” เด็กสาวคนกลางที่ถูกมัดจุกสวยงามเงยหน้าขึ้น น้ำเสียงของนางทั้งอ่อนโยนและอ่อนหวาน “ก้มหน้าลงหน่อยสิเ้าคะ”
เวินซีได้ยินเสียงจ้าวต้านเคลื่อนไหวที่ประตูแล้ว แต่ก็เลือกที่จะก้มหน้าลงก่อนตามคำขอนั้น เด็กสาวคนกลางจับชายเสื้อของตนอย่างเขินอาย ก่อนจะโฉบหน้าเข้าไปหอมแก้ม ััอันอบอุ่นนั้นทำให้ดวงตาที่เ็าของเวินซีวูบไหวไม่เหมือนเดิม ทั้งยังให้ความรู้สึกแปลกพิกลจากเบื้องลึกของจิตใจ
จ้าวต้านเดินเข้าไปในห้อง ก่อนจะเรียกเด็กทั้งหลายให้มาทานข้าว โดยเขาไม่ลืมที่จะยื่นผักป่าต้มในมือให้เวินซี
นางลองชิมดูคำหนึ่งก็เกือบจะอาเจียนออกมา ์ทรงโปรด ฝีมือการทำอาหารเลวร้ายเกินทานทน
พอได้มองไปที่พวกเด็กๆ อีกครา นางก็รู้สึกสงสารพวกเขาเหลือเกิน ท้ายที่สุดจึงบังคับใจตนเอง ฝืนทานผักป่าไปครึ่งหนึ่งเพื่อให้มีกำลัง ส่วนที่เหลืออีกครึ่งก็แบ่งให้เด็กๆ ทาน
หลังจากทานเสร็จ เวินซีก็ลุกเดินไปที่ประตู โดยมีจ้าวต้านตามมาด้วยสีหน้าบูดบึ้ง “จะจากไปหรือ?”
เวินซีหรี่ตามอง มุมปากโค้งขึ้นเล็กน้อย “หากข้ายืนกรานที่จะจากไป เ้าจะทำอย่างไรได้?”
จ้าวต้านเงียบลง นั่นสิ ตนเองจะทำอย่างไรได้
นางมองเขา รู้สึกว่าเขาดูไม่เหมือนพวกนักล่าสัตว์ผู้โเี้เอาเสียเลย แต่นางก็ไม่มีเวลามาสนใจเื่นี้ จึงเอ่ยปาก “จ้าวต้าน เรามาตกลงกันเถิด”
เชิงอรรถ
[1] เหรินหยาจื่อ 人牙子 หมายถึง คนกลางในการซื้อขายคนสมัยโบราณ