คนที่ไม่ชอบเอาเปรียบผู้อื่นนั้นมีน้อยนัก
แม้หลี่เฟิ่งเหมยจะไม่ใช่คนดีมีศีลธรรมมากมายนัก แต่การเอาเปรียบกันเช่นนี้ทำให้เธอรู้สึกละอายใจ!
คนจนทุกคนล้วนต้องดิ้นรนสู้ชีวิต แต่ถ้ายากจนแล้วจู่ๆ มีลาภลอยจากคนรวยผู้มีน้ำใจมามอบให้ แน่นอนว่าคงไม่มีใครอยากปฏิเสธ
่ที่หลี่เฟิ่งเหมยกับหลิวหย่งยากจนที่สุด ก่อนวันตรุษจีนยังมีคนตามมาทวงหนี้เต็มบ้าน ่เวลาแบบนั้นหลี่เฟิ่งเหมยมีหรือที่จะปฏิเสธความช่วยเหลือจากผู้อื่น อย่าว่าแต่ความช่วยเหลือเลย ต่อให้เป็การทำทาน ขอแค่ทำให้เธอผ่านวิกฤตไปได้เธอก็จะยอมรับไว้!
แต่ตอนนี้ไม่เหมือนกัน
ครอบครัวของเธอทั้งสามคน นอกจากหลิวจื่อเทาที่กำลังเรียนหนังสืออยู่ สองคนที่เหลือต่างก็ทำงานหาเงินได้ทั้งนั้น
หลิวหย่งทำงานตกแต่งภายในอยู่ที่เผิงเฉิง ในขณะที่หลี่เฟิ่งเหมยเปิดร้านเสื้อผ้าอยู่ที่ซางตู
แม้การทำธุรกิจจะมี่เวลาที่ซบเซาอยู่บ้าง แต่เมื่อนำรายได้ต่อปีของทั้งคู่มารวมกันแล้วคงได้ประมาณหมื่นกว่าหยวน
ต่อให้เป็โลกในอีกสามสิบปีข้างหน้า แม้จะมีรายได้เพียงปีละแสนกว่าหยวน แต่หากไม่มีหนี้บ้านหรือหนี้รถมาเป็ภาระ ทั้งสามคนก็สามารถใช้ชีวิตได้อย่างเป็สุข ทว่าปัจจุบันคือต้นปี 1985 ที่ผู้คนมีเงินเดือนเฉลี่ยไม่เกิน 100 หยวนเท่านั้น ยิ่งรายได้ต่อปีหลักแสนกว่าหยวนนั้นย่อมเป็ตัวเลขที่ครอบครัวทั่วไปไม่กล้าคิดถึงด้วยซ้ำ
ตามหลักนี่ก็เข้าสู่ปี 1985 แล้ว ‘ครอบครัวรายได้หลักหมื่น’ ไม่ควรมีจำนวนน้อยเหมือน่ปลายยุค 70 หรือต้นยุค 80 ถึงจะถูก แต่พอเอาจำนวนคนที่มีฐานะร่ำรวยมาเทียบกับจำนวนประชากรทั่วทั้งประเทศจีนก็ยังถือว่าน้อยเกินไปอยู่ดี มีเพียงคนฉลาดส่วนน้อยที่ก่อร่างสร้างตัวได้ก่อน แต่สำหรับคนทั่วไปนั้น พวกเขายังไม่ได้รับประโยชน์จากการปฏิรูปเศรษฐกิจ
แม้ตอนนี้ประเทศจีนจะทยอยยกเลิกระบบใช้ตั๋วแลกซื้อสินค้า ทว่าสินค้าบางอย่างก็ยังขาดแคลน และหาซื้อได้ยาก
รายได้หลักแสนกว่า ถ้าไม่ซื้อรถยนต์ก็สามารถใช้ชีวิตในปี 1985 ได้อย่างสุขสบายเลยทีเดียว
เศรษฐีรวยหลักล้านหรือหลักสิบล้านในโลกอนาคตยังไม่รู้สึกมีความสุขเท่านี้เลย
เศรษฐีหลักสิบล้านนั้นไม่เท่าไร แต่ถ้ามีรายได้แค่หลักล้าน ยังไม่อาจซื้อบ้านในเมืองชั้นหนึ่งอย่างปักกิ่งหรือเซี่ยงไฮ้ด้วยซ้ำ นี่ไม่ใช่เื่ที่น่าภูมิใจแม้แต่น้อย
ทว่าในปี 1985 รายได้ต่อปีแสนกว่าหยวนสามารถซื้อบ้านในปักกิ่งได้ หรือถ้าไปซื้อบ้านที่เซี่ยงไฮ้ก็ยังมีเงินอยู่เหลือเฟือ
สรุปคือหลี่เฟิ่งเหมยไม่ได้ขัดสนเื่เงินทองอีกต่อไป เธอจึงไม่จำเป็ต้องเอาเปรียบหลานสาว หลี่เฟิ่งเหมยพึงพอใจกับชีวิตในปัจจุบันเป็อย่างมาก นอกจากต้องแยกกันอยู่กับสามีก็ไม่มีสิ่งใดที่ไม่ได้ดั่งใจอีกเลย ทำไมคนเราต้องพยายามทำงานหาเงินน่ะหรือ นั่นก็เพราะหลายๆ เื่จำเป็ต้องใช้เงินเป็ตัวแก้ไขปัญหาน่ะสิ การมีเงินเหลือกินเหลือใช้ช่วยลดความขัดแย้งภายในครอบครัว ยังไม่ทันทะเลาะกันก็สามารถใช้เงินบรรเทาความขัดแย้งได้ อยากทุกข์ใจก็ยังยาก
ความกลัดกลุ้มของคนมีเงิน หลี่เฟิ่งเหมยยังไม่เคยได้ัั ครั้งก่อนที่มีผู้หญิงเข้าหาหลิวหย่ง เธอยังไม่ทันได้ลงมือเื่ทุกอย่างก็คลี่คลายเสียแล้ว
แต่ประโยชน์ของการมีเงิน แน่นอนว่าหลี่เฟิ่งเหมยเคยััมาก่อน
การมีเงินทองเหลือใช้ทำให้เธอกลายเป็คนใจเย็นขึ้น
ตอนนี้ต่อให้หลิวฟางโผล่มาหาเื่กัน หลี่เฟิ่งเหมยคงไม่โกรธเหมือนเมื่อก่อนอีก มีอะไรที่ต้องโกรธเล่า แม้การทำธุรกิจอิสระจะไม่เป็ที่นับหน้าถือตา ทว่าเงินที่ได้ก็เป็กอบเป็กำ เงินที่ตัวเองเป็คนหามาได้ เวลาใช้ไม่จำเป็ต้องคิดถึงใคร อยากใช้อย่างไรก็ใช้อย่างนั้น!
เมื่อก่อนตอนหลิวฟางเป็คุณนายข้าราชการ เธอยังไม่กล้าใช้จ่ายมากไปด้วยซ้ำ เพราะเงินที่เหลียงปิ่งอันหามาได้ บางส่วนเป็เงินผิดกฎหมายนั่นเอง
พอได้ยินว่าเซี่ยเสี่ยวหลานจะยกร้านที่ซางตูให้เธอทั้งหมด หลี่เฟิ่งเหมยไม่ใช่ไม่กล้าบริหาร แต่เธอรู้สึกผิดต่อเซี่ยเสี่ยวหลาน
“นี่มันเื่อะไร ตอนนี้ธุรกิจของร้านก็กำลังไปได้สวย จะให้ฉันได้กำไรคนเดียว แล้วทิ้งให้พวกเธอไปตั้งร้านใหม่ที่ปักกิ่งเนี่ยนะ เื่แบบนี้ฉันทำไม่ลงหรอก!”
ช้าเร็วหลิวเฟินก็ต้องปักกิ่ง เื่นี้หลี่เฟิ่งเหมยเตรียมใจไว้แล้ว
เงินควรแบ่งอย่างไรก็แบ่งไป แม้หลิวเฟินจะไม่ดูแลร้านที่ซางตู แต่อย่างไรเธอก็ดูแลร้านที่ปักกิ่งมิใช่หรือ
ร้านที่ซางตู แน่นอนว่าหลี่เฟิ่งเหมยไม่มีทางปลอมแปลงบัญชีอยู่แล้ว!
หลิวเฟินเป็คนพูดไม่ค่อยเก่ง เธอไม่รู้ควรอธิบายให้หลี่เฟิ่งเหมยฟังอย่างไร “เสี่ยวหลานเป็คน้าแบบนี้ เธอบอกว่าตอนนี้พี่สะใภ้สามารถดูแลร้านเองได้แล้ว แบ่งกันดูแลจะสะดวกกว่า ทั้งยังบอกอีกว่าพวกเราเปิดร้านสาขาแยกออกมาก็จริง แต่ใช้ชื่อร้านเดียวกันว่า ‘หลานเฟิ่งหวง’ ไม่ว่าอย่างไรก็ยังคงเป็ธุรกิจของครอบครัวเดียวกัน”
ธุรกิจครอบครัวเดียวกันแล้วทำไมต้องแยกกันดูแล?
เหตุผลนี้ไม่สามารถเกลี้ยกล่อมหลี่เฟิ่งเหมยได้สำเร็จ
ไม่ว่าจะคิดอย่างไรเสี่ยวหลานกับหลิวเฟินก็คือคนที่ขาดทุนอยู่ดีไม่ใช่หรือ?
หลี่เฟิ่งเหมยไม่เห็นด้วย หลิวเฟินเจึงหงื่อซึมเต็มหน้าผาก
ย่าอวี๋พึมพำ “เด็กโตแล้วยังต้องหย่านมแม่ แบ่งกันั้แ่ตอนนี้ดีที่สุดแล้ว จะได้ไม่เป็การทำลายสัมพันธ์ระหว่างเครือญาติ”
คนเราย่อมมีการเปลี่ยนแปลง
ย่าอวี๋รู้ซึ้งดียิ่งกว่าใคร ในอดีตชีวิตของเธอเคยเจอเื่แบบนี้มานักต่อนัก
ไม่ต้องพูดถึงสาวใช้ที่ไล่เธอไปล้างห้องน้ำ เอาแค่จี้หวายซินก็พอ ตอนเรียนอยู่ที่เป่ยผิงจี้หวายซินเป็คนหนุ่มไฟแรง นักศึกษาจนๆ คนหนึ่งคิดแต่จะตอบแทนบุญคุณแผ่นดิน อดทนต่อความยากจนและความลำบากได้ทุกอย่าง นิสัยก็ช่างใสซื่อ ได้รับความช่วยเหลือจากย่าอวี๋ก็ยังรู้สึกเกรงใจ
ตอนหลังพอมีตำแหน่ง มีครอบครัวเป็บ่วงผูกกาย ความไฟแรงอาจจะยังคงอยู่ ทว่าเริ่มมีความกังวลมากขึ้นเวลาคิดทำสิ่งใด
พะวงหน้าพะวงหลัง
ไม่กล้ายื่นมือเข้ามาช่วยเหลือย่าอวี๋ และไม่กล้าปล่อยให้จี้หย่าตามทังหงเอินไปที่คอกวัว
นี่ก็คือความเปลี่ยนแปลงของคนเราใน่ชีวิตต่างๆ โลกแห่งความจริงย่อมเป็เช่นนี้
ย่าอวี๋มองขาดจึงรู้ว่าเซี่ยเสี่ยวหลานนั้นทำถูกต้องแล้ว พี่น้องควรแยกบัญชีกันอย่างชัดเจน อย่างไรก็ตามตอนนี้ทุกคนสามารถช่วยกันทำงานหาเงินได้ แน่นอนว่าล้วนเสพสุขกันถ้วนหน้า
แต่ถ้าวันใดหาเงินไม่ได้ขึ้นมาล่ะ?
ถ้าธุรกิจขาดทุน นโยบายของรัฐเปลี่ยนไปจะทำอย่างไร?
ถึงตอนนั้นความสัมพันธ์อันราบรื่นระหว่างเครือญาติคงเปลี่ยนไปอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
ต่อให้ปากไม่พูด แต่ในใจย่อมคิดเล็กคิดน้อย
ย่าอวี๋รู้สึกว่าแยกกันบริหารร้านนั้นเป็วิธีการที่ดีที่สุด
เดิมทีเื่นี้เป็เื่ภายในครอบครัวของเซี่ยเสี่ยวหลาน คนนอกอย่างย่าอวี๋ไม่อาจแสดงความเห็นส่งเดชได้ แต่เซี่ยเสี่ยวหลาน้ารับย่าอวี๋ไปอยู่ปักกิ่งด้วยกัน ตามความคิดของย่าอวี๋ ตอนนี้เธอกับแม่ลูกคู่นี้ไม่ได้เป็เพียงเ้าของบ้านกับผู้เช่าอีกต่อไปแล้ว
ขนาดอาคารที่จัตุรัสเอ้อร์ชี ย่าอวี๋ยังอยากยกให้เซี่ยเสี่ยวหลานเลยด้วยซ้ำ
ถ้าหาตัวสวีจ้งอี้ไม่พบ เซี่ยเสี่ยวหลานก็จะกลายเป็คนที่คอยดูแลเธอยามไม้ใกล้ฝั่ง ย่าอวี๋้ารักษาผลประโยชน์ให้กับสองแม่ลูก แม้เื่อื่นเธอจะช่วยไม่ได้ แต่เวลาแบบนี้คงต้องออกโรงพูดในสิ่งที่ทำให้ระคายหู ถึงอย่างไรทุกคนต่างก็รู้ดีว่าเธอมีนิสัยอย่างไร ถ้าหลี่เฟิ่งเหมยจะโกรธก็ควรโกรธเธอ เวลาตอกกลับใครย่าอวี๋ไม่เคยสนใจอีกฝ่ายอยู่แล้ว
คำพูดของย่าอวี๋ทำให้หลี่เฟิ่งเหมยฉุกคิด
อนาคตเธอกับพวกเสี่ยวหลานจะแตกหักกันเพราะเื่ธุรกิจอย่างนั้นหรือ?
หลี่เฟิ่งเหมยไม่เชื่อว่าตนจะเป็เช่นนั้น
หลิวหย่งเองก็ยิ่งไม่มีทาง
หลิวจื่อเทาลูกชายเธอยิ่งเป็ไปไม่ได้ หากลูกชายเธอทำเช่นนั้นเธอคงหยิกเ้าลูกเนรคุณจนกว่าจะได้สติ
แต่คนที่บ้านเธอจะคอยยุแยงหรือเปล่า?
่ฤดูร้อนหลี่เฟิ่งเหมยกลับไปที่บ้านเกิด เธอให้เงินคุณยายของเทาเทาเป็จำนวนมาก พอที่บ้านคาดคั้นถามเธอจึงอดเล่าเื่ธุรกิจที่ซางตูไม่ได้ หลังรู้ว่าเธอร่วมหุ้นกับพวกเสี่ยวหลาน ยายของเทาเทาก็ไม่ได้ว่าอะไร ทว่าพี่สะใภ้กลับเอ่ยว่าอยากมาช่วยงานที่ร้าน
พนักงานในร้านสองคนต่างก็ทำงานได้ดีอยู่แล้ว ทำไมหลี่เฟิ่งเหมยต้องไล่ทั้งสองคนออกเพื่อให้พี่สะใภ้มาช่วยงานด้วยเล่า อีกอย่างร้านนี้ก็ไม่ใช่ของเธอเพียงคนเดียว แน่นอนว่าตอนนั้นเธอตอบกลับที่บ้านไปเช่นนี้ พี่สะใภ้จึงรู้สึกไม่พอใจ ทั้งยังบอกว่าหลังหลิวเฟินหย่าก็ได้หลิวหย่งคอยช่วยเหลือ ตอนนี้ทำไมจะยอมให้กันบ้างไม่ได้!
ได้ยินดังนั้นหลี่เฟิ่งเหมยเองก็ะเิอารมณ์ออกมาทันที
เธอนึกว่าจุดยืนของตนหนักแน่นมากแล้ว แต่พอย่าอวี๋พูดเช่นนี้หลี่เฟิ่งเหมยก็เริ่มสงสัยในตัวเอง
“ฉันจะปรึกษาพี่ชายเธอ แล้วเราก่อนค่อยว่ากัน!”
ถ้าผูกติดธุรกิจกันไปเรื่อยๆ จะกลายเป็ตัวถ่วงแก่เสี่ยวหลานหรือเปล่า?
หลี่เฟิ่งเหมยต้องหาคำตอบให้กับคำถามนี้
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้