“สามี พวกเราหาสถานที่ไร้ผู้คน เข้าไปหยิบโสมคนในมิติออกมาก่อนเถิด” จิ่นเซวียนกับซ่งจื่อเฉินวางแผนเข้าไปขุดโสมคนในมิติ หลังจากปรึกษากันเรียบร้อยแล้ว โสมคนที่ขุดออกมาเวลานี้สดใหม่ และมีสรรพคุณทางยาสูงยิ่งนัก นางคิดว่าจะขายในราคาที่สูงขึ้น
“ตรอกตรงโน้นมิมีคน พวกเราฉวยโอกาสตอนที่ทุกคนมิสนใจเข้ามิติได้” ซ่งจื่อเฉินชี้ให้จิ่นเซวียนเดินไปตรงตรอกเล็กๆ ตรงนั้นแล้วเข้าไปในมิติ พวกเขาเข้ามาในมิติ และขุดโสมคนออกมาต้นหนึ่ง ห่อด้วยผ้าขาวโปร่งบางเตรียมนำไปขายที่โรงหมออี้คัง
เ้าของโรงหมออี้คังแห่งนี้คือหลานชายเพียงคนเดียวของเจิ้นกั๋วกง[1] แห่งแคว้นซีหลิง ตระกูลอู่ของพวกเขาอยู่ในราชสำนัก มิเคยมีส่วนร่วมในการแก่งแย่งชิงบัลลังก์ เมื่อฮ่องเต้เจาสิ้นพระชนม์ พระอนุชาของพระองค์ ซือถูเฉียนก็ขึ้นครองราชย์ และเข้าสู่รัชสมัยฮ่องเต้เฉียน เพื่อมิให้ผู้อื่นสงสัยว่าเขาฆ่าพระเชษฐาแท้ๆ ของตนเอง เขาจึงเรียกเสด็จพี่ของเขาว่าอดีตฮ่องเต้ด้วยความเคารพเสมอ
สี่ตระกูลใหญ่ ฉู่ อู่ เซี่ยและโหลวของแคว้นซีหลิง คนในตระกูลอื่นนอกจากตระกูลอู่ล้วนมีลูกหลานกันมากมาย ต่างจากเ้านายของตระกูลอู่ที่เหลือเพียงเจิ้นกั๋วกงอู่เจิ้นและหลานชายของเขา นามว่าอู่เจา คนตระกูลอู่นั้นซื่อสัตย์และยอมพลีชีพเพื่อแว่นแคว้น เป็วีรบุรุษเลื่องชื่อในสนามรบ แม้ทายาทของตระกูลอู่จะเหลือเพียงน้อยนิด ถึงกระนั้นฮ่องเต้เฉียนก็มิกล้าล่วงเกินพวกเขาอยู่ดี หากมิได้พิจารณาจากชื่อเสียงและบารมีของตระกูลอู่เมื่ออยู่ในกองทัพ ฮ่องเต้เฉียนก็คงเลือกที่จะลงมือกับตระกูลอู่ไปนานแล้ว
ตระกูลอู่มิเพียงเป็เทพผู้พิทักษ์แห่งแคว้นซีหลิง พวกเขายังเป็ขุนนางสายตรงของฮ่องเต้เจาอีกด้วย ั้แ่ที่ฮ่องเต้เจาสิ้นพระชนม์ เจิ้นกั๋วกงก็มิสนใจเื่ในราชสำนักอีกเลย นอกจากดูแลสวน เขาก็ไปเล่นหมากรุกและดื่มชากับสหายเก่าทุกวัน ส่วนหลานชายอู่เจานั้นมิชอบรับราชการ เขาชอบทำธุรกิจ โรงหมออี้คังนี้ก็เปิดโดยเขา และโรงหมอนี้ก็ยังมีอีกหลายแห่งในแคว้นซีหลิง
จิ่นเซวียนซื้อหมวกสานคลุมผ้าโปร่งบางใบหนึ่งบนถนน นางปลอมตัวก่อนแล้วค่อยเข้าไปในโรงหมออี้คัง เมื่อนางก้าวเข้าไปในโรงหมอแล้ว คนเฝ้าหน้าประตูก็นำทางจิ่นเซวียนเข้าไปข้างในทันที โรงหมอแห่งนี้ใหญ่ยิ่งนัก ที่นี่มีทั้งหมดสามชั้น และมีห้องโถงใหญ่ที่กว้างขวาง
จิ่นเซวียนเดินมาถึงหน้าโต๊ะร้านขายยา หมอยาน้อยก็ยิ้มทักทาย “แม่นาง ท่านมาสั่งยาหรือพบแพทย์ขอรับ?”
“ข้ามิได้มาพบแพทย์และสั่งยาเ้าค่ะ” จิ่นเซวียนเม้มปากยิ้มๆ “อู่จั่งกุ้ยอยู่หรือไม่เ้าคะ ข้ามีสมุนไพรมาขาย”
แม่นางผู้นี้เสียงหวานไพเราะ คงเป็หญิงงาม หมอยาน้อยคิดในใจ เขาเห็นหน้าตาของจิ่นเซวียนมิชัดนัก แม่นางผู้นี้มิได้มาพบแพทย์และมิได้สั่งยา ทั้งยังเอ่ยขอพบอู่จั่งกุ้ยของพวกเขา น่าสงสัยเสียจริง
“จั่งกุ้ยของพวกเรายุ่งยิ่งนัก แม่นางมีสิ่งใด สามารถคุยกับข้าได้เลยขอรับ” น้ำเสียงของหมอยาน้อยมิน่าฟัง เขากำลังดูถูกจิ่นเซวียนเล็กน้อย เพราะคิดว่านางมาที่นี่เพื่อไต่เต้าฐานะของตนเอง คนในอำเภอซิ่งหยางมีผู้ใดมิรู้บ้างว่าโรงหมอนี้เปิดโดยท่านชายอู่
ในทุกๆ วันมีคนเข้ามาสานสัมพันธ์มากมาย เขาดูแลมิทั่วถึงหรอก
จิ่นเซวียนรังเกียจท่าทางของอีกฝ่าย นางยิ้มอย่างเ็า “ข้าเกรงว่าเ้าจะตัดสินใจเื่นี้เองมิได้ ไปเชิญจั่งกุ้ยมาเถิด”
“ท่านรอสักครู่ ข้าจะไปหาจั่งกุ้ยที่ห้องโถงด้านในขอรับ” หมอยาน้อยเห็นว่าจิ่นเซวียนมีโทสะแล้ว เขาจึงจำใจตอบว่าจะไปเรียกท่านชายอู่ให้ ผ่านไปสักครู่ บุรุษอายุประมาณสี่สิบปีในชุดคลุมสีฟ้าเดินตามหมอยาน้อยมา เขามีหน้าตาสุภาพอ่อนโยน คำพูดคำจาเองก็มีมารยาทยิ่งนัก
“แม่นาง ข้าได้ยินลูกน้องบอกว่าท่านมียามาขายให้โรงหมอของเรา มิทราบว่าท่านนำสิ่งใดมาขายหรือ”
“จั่งกุ้ยเห็นแล้วจะทราบเองเ้าค่ะ” จิ่นเซวียนพูดพลางหยิบโสมคนที่ห่อเอาไว้อย่างดีออกมาจากแขนเสื้อ นางเปิดผ้าออกให้อู่อี้ ผู้เป็จั่งกุ้ยของโรงหมออี้คังดู
“แม่นาง โสมคนนี้รากสมบูรณ์มากยิ่งนัก สรรพคุณครบถ้วน ท่านคงขุดขึ้นมามินานใช่หรือไม่” อู่อี้ตกตะลึง เขาอยู่ในวงการแพทย์มาหลายปี เพิ่งได้เห็นโสมคนพันปีที่ดีเช่นนี้เป็หนแรก ดูจากรูปร่างของโสมคนนี้มีอายุถึงหนึ่งพันสามร้อยกว่าปี
ทั้งยังเป็โสมคนที่มิเสียหายเลยด้วย
โสมคนดีเช่นนี้มีมูลค่าอย่างต่ำคือหนึ่งหมื่นตำลึง แม่นางผู้นี้ไปขุดมาจากที่ใดกันแน่
“มิปิดบังอู่จั่งกุ้ย โสมคนนี้ข้าพบที่ใต้หน้าผาตอนที่ขึ้นเขาไปเก็บสมุนไพรเ้าค่ะ” จิ่นเซวียนปั้นเื่โกหกเพื่อหลอกอู่อี้
“แม่นาง ข้าให้ราคาสามพันตำลึง เ้าขายโสมนี้ให้ข้าเถิด” อู่อี้กดราคาต่ำสุด จิ่นเซวียนยิ้มเยาะในใจ เขาคิดว่านางโง่หรือ?
โสมคนเปี่ยมพลังิญญาเช่นนี้ ให้นางเพียงสามพันตำลึง เขาเห็นว่านางมาจากหลังเขาหรือ?
อย่างมากก็เอาไปประมูล ผู้ที่เสนอราคาสูงสุดในเวลานั้นจะได้มันไป
“จั่งกุ้ย นี่คือโสมคนแก่อายุหนึ่งพันสามร้อยปี และมันยังโตใต้หน้าผา ดูดซับแก่นพลังจากฟ้าดิน สุริยันและจันทรา อย่าว่าแต่สามพันตำลึงเลย ต่อให้ข้าขายสามหมื่นตำลึงก็มีผู้ซื้อ” ตอนที่จิ่นเซวียนพูด นางจงใจจับแหวนหยกเล่นพลางบอกอู่อี้ว่าความจริงนางมิได้ขาดแคลนเงิน
แม่นางผู้นี้สวมหมวกสานคลุมผ้าโปร่งบาง คาดว่ามิอยากให้พวกเขารู้ฐานะของนาง ดูจากแหวนหยกฝูหรงหายากบนนิ้วกลางข้างขวาแล้ว คนระดับนี้ปรากฏตัวในอำเภอซิ่งหยางั้แ่เมื่อใดกัน
“ในเมื่อจั่งกุ้ยรับราคาที่ข้าเสนอมิไหว ข้าก็มิขายแล้ว อย่างไรเสียข้ามิได้ขาดเงิน ข้าเก็บมันกลับไปให้อาจารย์กลั่นเป็ยาอายุวัฒนะ ตอนเขากลับมาดีกว่า”
จิ่นเซวียนหยิบโสมคนจากมืออู่อี้ หันหลังเตรียมจากไป
“ช้าก่อนแม่นาง ข้าให้ท่านแปดพันตำลึง”
“หนึ่งหมื่นสองพันตำลึงขาดตัว” จิ่นเซวียนมิได้โหดร้าย ราคาหนึ่งหมื่นสองพันตำลึงถือว่าเหมาะสม อู่อี้เองก็มิขาดทุน เขาให้นางหนึ่งหมื่นสองพันตำลึง เขานำกลับไปขายต่อในเมืองหลวงได้ถึงสองสามหมื่นตำลัง เขาได้กำไรสองเท่า
“หนึ่งหมื่นสองพันก็หนึ่งหมื่นสองพันตำลึง” อู่อี้กัดฟันกรอด สุดท้ายเขาก็ยอมซื้อโสมคนของจิ่นเซวียนด้วยราคาหนึ่งหมื่นสองพันตำลึงเงิน
“ข้า้าตั๋วเงิน มือหนึ่งจ่ายเงิน มือหนึ่งส่งของ” มิเห็นเงิน จิ่นเซวียนย่อมมิให้โสมคนแก่อู่อี้
อู่อี้ให้หมอยาน้อยดูแลจิ่นเซวียน ส่วนเขารีบไปถอนเงินที่ร้านแลกเปลี่ยนเงินใกล้ๆ ทันที
จิ่นเซวียนรอประมาณหนึ่งถ้วยชา อู่อี้ก็นำตั๋วเงินมาให้ จิ่นเซวียนตรวจสอบตั๋วเงินอย่างละเอียด จนแน่ใจว่ามิใช่ตั๋วปลอม นางจึงส่งโสมคนให้อู่อี้
“แม่นาง จากนี้หากท่านมีของดีอีก นำมาขายที่โรงหมอของเราได้ พวกเราทำการค้ากันอย่างสุจริต” อู่อี้เก็บโสมคนด้วยความระมัดระวัง จากนั้นเขาก็ถามจิ่นเซวียนว่านางยังมีสมุนไพรอื่นอีกหรือไม่?
จิ่นเซวียนบอกเขาว่านางยังมีเห็ดหลินจือสีม่วงพันปีอยู่ที่บ้าน และถามว่าเขา้ามันหรือไม่ อู่อี้ตกตะลึงในตัวของจิ่นเซวียนจนตาค้าง โสมคนพันปีก็ทำให้เขาใมากพอแล้ว นางยังมีหลินจือสีม่วงพันปีอีกหรือ
“หากแม่นางมีของอยู่ในมือจริงๆ ข้ารับรองว่าแม่นางจะมิขาดทุน”
“ท่านเตรียมเงินให้พร้อม หลินจือสีม่วงพันปีของข้ามิด้อยไปกว่าโสมคน ข้าจะขายให้ท่านในราคาแปดหมื่นตำลึง”
แปดหมื่นตำลึง แม่นางผู้นี้เข้าใจต่อราคาเสียจริง
“แปดหมื่นก็แปดหมื่น แต่ข้า้าดูสินค้าก่อน หากมันสดใหม่เหมือนโสมคนพันปี ข้าจะให้ท่านแปดหมื่นตำลึงแน่นอน”
“ความจริงมันอยู่กับตัวข้า เมื่อครู่ข้าเอาเพียงโสมคนออกมา เพราะอยากหยั่งเชิงท่าทีของท่านเสียหน่อย เห็นท่านมิได้แย่ ข้าจึงจะขายให้ท่านเ้าค่ะ” จิ่นเซวียนแอบใช้พลังจิตถอนเห็ดหลินจือออกมาจากสวนสมุนไพร แล้วหยิบเห็ดหลินจือออกมาวางต่อหน้าอู่อี้เหมือนเล่นมายากล อู่อี้ใจนพูดมิออก
เห็ดหลินจือสีม่วงพันปีวางอยู่ตรงหน้า เขามิอยากเชื่อว่ามันคือเื่จริง
เห็ดหลินจือชนิดนี้ปรากฏแค่ใน 《ตำรับยาเฉินหนง[2]》 เขาคิดว่ามันเป็เพียงตำนาน คาดมิถึงว่าจะมีอยู่จริง
เชิงอรรถ
[1] เจิ้นกั๋วกง หมายถึง ตำแหน่งเชื้อพระวงศ์ชายลำดับที่ 5 คำว่า เจิ้น (镇) แปลว่า ผู้รักษาเมืองหลัก ตำแหน่งนี้เป็ตำแหน่งของกั๋วกงขั้นที่ 1 และถือว่ามีศักดิ์เป็ท่านชาย
[2] เฉินหนง หมายถึง เทพกสิกรรม หรือ อู๋กู่เซียนตี้ "ปฐมกษัตริย์ห้าธัญพืช" เป็เทวดาในศาสนาพื้นบ้านจีนตามประมวลเื่ปรัมปราจีน และเป็ที่เคารพนับถือในฐานะวีรบุรุษทางวัฒนธรรมแห่งยุคก่อนประวัติศาสตร์ของจีน
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้