เวลานี้ ฝูงชนที่ตามกันมาเป็พรวนเพื่อดูเื่สนุกๆ ด้านหลังเ่ิูส่งเสียงโหวกเหวกโวยวาย เดี๋ยวชนเดี๋ยวกระแทกกันเป็พัลวัน
ต่างคนต่างก็อยากชมเื่สนุกจึงไม่ถือโทษโกรธอะไร แห่มามุงกันเนืองแน่นแทบทุกตารางนิ้ว ทุกคนหน้าตาตื่นด้วยความใคร่รู้ว่าเ่ิูกำลังวางแผนอะไรอยู่กันแน่
“เกิดอะไรขึ้น? ทำไมจู่ๆ คนถึงได้มากมายขนาดนี้?”
อุบัติการณ์คราวนี้ทำเอาบรรดาศิษย์ปีสองที่คอยรักษาคำสั่งการสะดุ้งโหยง
“ได้สิ พ่อหนุ่ม เ้าเข้าทดสอบได้แล้ว ขอให้โชคดีนะ” ชายชราครุ่นคิดแล้วจึงตอบรับคำขอของเขาด้วยรอยยิ้ม
“ขอบพระคุณท่านอาจารย์”
เ่ิูเอ่ยขอบคุณอย่างนอบน้อม จากนั้นจึงเดินตรงไปยัง ‘รูปหล่อเส้นปราณ’
“นี่มันไม่ถูกต้องตามกฎของสำนักนะ...” คนในหมู่มนุษย์มุงคัดค้านเสียงแข็ง จะเป็ใครไปได้นอกจากหนุ่มเสื้อไหมคนเดิมนามหลิวเย่ ั์ตาเจือความอาฆาตและมาดร้าย เขาคิดจะขัดขวาง
ใครเล่าจะล่วงรู้ว่าอาจารย์ผมขาวหน้าแดงผู้นั้นไม่แม้แต่จะไม่ชายตามองเขาเลย
สายตาคนส่วนมาก มองเขม็งแต่ร่างของเ่ิูเพียงผู้เดียว
เด็กหนุ่มไร้อาการกระวนกระวายหรือยุ่งเหยิงต่างจากผู้เข้าสอบคนอื่นที่ผ่านมา ค่อยๆ วางมือลงบนภาพฝ่ามือเื้ั ‘รูปหล่อเส้นปราณ’
แทบจะฉับพลันทันที ภายในรูปหล่อปั่นป่วนน้อยๆ ของเหลวร้อนประหลาดไหลมาตามท่อนแขนเ่ิู ซึมซาบลงสู่ร่าง
เป็ความรู้สึกพิกลเอามากๆ
วินาทีต่อมาก็มองเห็นความเปลี่ยนแปลงบนตัว ‘รูปหล่อเส้นปราณ’
เส้นลมปราณสองเส้นที่สำคัญที่สุดราวกับถูกพลังงานบางอย่างเติมเต็มจนล้นปรี่ ฉับพลันก็พราวเป็แสงสีทองโชติ่
“นี่มัน...” อาจารย์ชราผมขาวจากเดิมที่กำลังหันหลังจะนั่ง ครั้นเห็นแสงนี้แล้วกลับแข็งทื่อไป
“เส้นลมปราณทองคำเรอะ?” ลูกศิษย์ปีสองบันทึกผลสอบคนเดิมเบิกตาโพลง ทุกคนในที่นั้นอุทานไร้เสียง
เส้นลมปราณของร่างกายคนเผ่ามนุษย์นั้น หากจัดเรียงตามลำดับต่ำสูงแล้ว แบ่งได้เป็สี่ระดับ และในบรรดาระดับทั้งหมด เส้นลมปราณทองคำยอดเยี่ยมที่สุด และหาได้ยากยิ่ง ผู้ใดก็ตามที่มีเส้นลมปราณประเภทนี้ การจะฝึกฝนวิชาก็เท่ากับสำเร็จไปครึ่งทางแล้ว พวกเขาคือคนโปรดของเทพเ้าโดยแท้
ฉากนี้ทำให้เหล่าฝูงชน ะเิเสียงอึกทึกในทันที
“์ เส้นลมปราณทองคำ? เ่ิูมีเส้นลมปราณทองคำมาั้แ่แรกเลยหรือวะเนี่ย?”
“ยังจะเรียกว่าไอ้ขยะตกรอบสี่ปีติดได้อีกไหม?”
“เป็ไปไม่ได้!”
“เห็นทีคำพูดของท่านเ้าสำนักเมื่อเก่าก่อนนู้นคงถูกต้องอยู่แล้ว วันนี้ก็ได้รับการพิสูจน์แล้วนี่?”
“การสอบรุ่นนี้มันอย่างไรกันเนี่ย? ก่อนนี้มีปรากฏเส้นลมปราณทองคำอยู่แล้วสี่คน เ่ิูเป็คนที่ห้า เผลอๆ วาระต่อๆ ไปเป็สิบปีก็อาจไม่เจอเพชรในตมอย่างเส้นลมปราณทองคำอย่างนี้อีกเลยก็ได้นะ!”
เหล่าคนที่มามุงดูต่างก็ตื่นเต้น
พวกเขาไม่เคยนึกเคยฝันมาก่อน ว่าจะมาเพื่อดูเื่ขำขันแต่กลับได้ผลลัพธ์เกินคาด
ช่างทำให้คนใยิ่งนัก!
“เป็ไปไม่ได้ นี่มันไม่ใช่ เป็ไปได้อย่างไร?” เด็กหนุ่มชุดไหมหลิวเย่ผู้หลบอยู่ในฝูงชนทำหน้าทำตาอย่างกับเห็นผี เขาขยี้ตาอย่างแรง ไม่กล้าเชื่อในสิ่งที่ตนมองเห็น
เศษเดนอัปลักษณ์ที่ชะตากำหนดมาให้เป็ตัวตลกของคนทั้งเมือง หรือว่าวันนี้จะแปรเปลี่ยน?
สวะจนตรอกอย่างมัน ทำไมถึงมีเส้นลมปราณทองคำได้กัน?
แม้แต่หลิวเย่เองยังเป็ได้แค่ระดับเส้นลมปราณน้ำเงินเท่านั้นเอง
“ฮึ เส้นลมปราณดีแล้วอย่างไรล่ะ? ยังมีอีกตั้งห้าด่านให้ทดสอบ ประมวลคะแนนครบแล้วถึงจะเข้าสำนักกวางขาวได้...” หลิวเย่หายใจไม่ทั่วท้อง เขาขบกรามแน่น สีหน้าและแววตาดุร้าย ภายในใจเริ่มอลหม่าน
กึงๆๆๆ!
‘รูปหล่อเส้นปราณ’ ดูราวกับมีชีวิต ส่งเสียงสั่นะเืน้อยๆ ออกมาไม่หยุดหย่อน
ผู้คนต่างตกตะลึง เมื่อเริ่มมองเห็นภาพดังกล่าว...
เส้นลมปราณซึ่งสลักบนร่างรูปหล่อถูกจุดประกายทีละเส้นๆ กลายเป็ดั่งทะเลแสงสีทอง สรรค์สร้างสีสันราวกับภาพฝัน คืบคลานลุกลามทั่วร่างรูปหล่อ แสงสีทองเปล่งรัศมีละลานตา ให้สนามสอบเป็ดั่งทองอร่ามตา
เพียงเหลือบมองอีกที รูปหล่อเส้นปราณแปดสิบในร้อยส่วนก็กลายเป็สีทอง
คนทั้งสนามตะลึง
เงียบกริบเสียยิ่งกว่าป่าช้า
“ไม่จริงน่า ขืนเป็อย่างนี้ต่อไป รูปหล่อเส้นลมปราณต้องถูกจุดชนวนเป็สีทองหมดแน่ นี่มันไม่ใช่แค่เส้นลมปราณทองคำธรรมดาๆ แล้ว...” อาจารย์คุมสอบผมขาวหน้าแดงพลันนึกอะไรออก
และสิ่งนั้นก็คือ ตำนานเื่หนึ่ง
เขาเหล่มองเล็กน้อย ดวงตาปะทุแววตื่นตระหนก “ปล่อยไว้เช่นนี้ไม่ได้ เ้าหนุ่มนี่หากโดดเด่นมากเกินไป ข่าวที่แพร่ออกไปจะเป็อันตรายต่อเขา...”
คิดได้เช่นนี้แล้ว ชายชราก็เปิดปากพูด “การทดสอบเสร็จสิ้น หมายเลข 8888 เ่ิู ระดับเส้นลมปราณทองคำ ผ่านการทดสอบ!”
สุ้มเสียงเบาบางลง
แสงสีทองบนพื้นผิวรูปหล่อพลันมัวหมองลง
เ่ิูยกยิ้ม เขาแอบรู้สึกว่าของเหลวอุ่นจากรูปหล่อเส้นปราณซึ่งแทรกเข้าร่างเขานั้นยังไม่หยั่งถึงขีดสุด ยังเว้นกำลังท้ายสุดของเขาไว้ แต่กลับแข็งตัวจนหมดแล้วหยุดลงเสียก่อน เื่นี้น่าแปลกไม่ใช่น้อย
ทว่าเขาก็ไม่ใช่คนคิดอะไรมากอยู่แล้ว เด็กหนุ่มหยุดการทดสอบ หันกายเดินไปหาอาจารย์คุมสอบ เขาทำความเคารพแล้วกล่าวขอบคุณ
ชายสูงวัยมองสำรวจตรวจตราเ่ิูอย่างถ้วนถี่ั้แ่หัวจรดเท้าและเท้าจรดหัวอีกที กระทั่งมองจนครบสิบรอบแล้วจึงพยักหน้า เขาเอื้อนเอ่ยกลั้วหัวเราะ “ดี ดีมาก ยอดเยี่ยม เห็นทีวันนี้สำนักกวางขาวเราท่าจะได้ยอดฝีมือรุ่นเยาว์คนใหม่อีกแล้ว!”
เ่ิูหัวเราะฮะๆ ตอบอย่างไม่คิดจะถ่อมตัว “อืม ข้าก็คิดว่าข้ามีพร์”
ชายชราผมขาวชะงักครู่หนึ่ง ก่อนหัวเราะร่าพลางส่งป้ายชื่อไม้หยาบคืนให้ “เป็เด็กหนุ่มที่น่าสนใจ ดีแล้ว ผลการวัดเส้นลมปราณของเ้าได้บันทึกไว้บนป้ายสลักนามแล้ว เ้าไปทดสอบด่านต่อไปได้แล้วล่ะ”
เ่ิูขอบพระคุณอย่างเคารพ
เขาคิดมาตลอดว่าตนนั้นเป็เด็กหนุ่มที่แยกแยะระหว่างความรักและความเกลียดชังได้ดีนัก
ใช้ใจแลกใจ ใครอบอุ่นหวังดีแก่เขา เขาก็จะปฏิบัติตนต่อคนผู้นั้นด้วยความซื่อสัตย์กลับไป ใครเหยียบย่ำดูถูกเขา เขาก็จะสวนหมัดให้เป็ของตอบแทน
พริบตาที่เ่ิูเดินออกจากสนามสอบไป ผู้คนรอบด้านเริ่มตื่นตัวจากความเงียบสงบ กลับมาคึกคักเหมือนยามที่เหยาะเกลือลงกระทะที่น้ำมันเดือดอ่อนๆ
เหล่าคนที่เคยเยาะเย้ยเ่ิู ยามนี้กลับประจักษ์กับอะไรบางอย่าง
คนมากมายล่วงรู้ ว่าวันนี้อาจมีเื่มหัศจรรย์พันลึกเกิดขึ้นแล้ว
“เร็ว ตามไปกัน เ่ิูจะไปเข้าสอบด่านต่อไปแล้วนะเว้ย”
“ด่านต่อไปคือด่านทดสอบสติปัญญาของนักยุทธ์ล่ะ!”
“ไม่รู้ว่าสติปัญญานักยุทธ์ของเขาจะชั้นหนึ่งอีกหรือเปล่านะ?”
ฝูงชนคึกคะนอง ร้อนแรงราวกับลาวามหาศาลปะทุพร้อมกัน บรรยากาศเหมือนถูกจุดชนวนอย่างว่องไว พวกเขาสาวเท้าฉับๆ ตามเป็เงาตามตัว ในเวลาเดียวกัน เหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นได้สะพัดไปทั่ว ช่างไวเหมือนติดปีก
ดั่งพายุกำลังก่อตัว
เด็กหนุ่มชุดไหมหลิวเย่นั่งทื่ออยู่พักหนึ่ง ท้ายสุดแล้วก็ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันเดินตามไปอย่างเสียมิได้
...
เวลาผ่านไปราวๆ สิบนาที
กลางสนามทดสอบสติปัญญาแห่งนักยุทธ์
“์ เป็ไปได้อย่างไร?”
“นักยุทธ์ระดับขั้นเก้าหรือ?”
“เหลือเชื่อแล้ว!”
“นี่...เ่ิูทำเข้าไปได้อย่างไรกันน่ะ?”
ณ ด่านทดสอบความชาญฉลาด แสงสีทองอ่อนๆ ดูสูงค่าดุจดั่งคลื่นโหมกระหน่ำแรง แผ่รัศมีชะล้างพื้นที่ว่างรอบด้านในระยะหนึ่งร้อยตารางเมตร และแสงทองนี้ก็ปลดปล่อยมาจากผาหินสูงสี่เมตรเสมือนคบเพลิง
‘คบเพลิงนักปราชญ์!’
เป็ของวิเศษที่สำนักกวางขาวใช้ทดสอบปรีชาญาณ
คบเพลิงนักปราชญ์ถูกเจียระไนสำเร็จจากนอกภพไทวะ ภายในแกะสลักอักขระลับศักดิ์สิทธิ์ไว้ ว่ากันว่ามาจากปลายพู่กันของราชครูแห่งราชสำนักเสวี่ย ช่างขลังไร้เทียมทาน ผู้สอบจะต้องยึดจับปลายของคบเพลิง มันจะตรวจสอบระดับมากน้อยของสติปัญญาผ่านกลไกของอักขระ
เพียงเ่ิูจับยอดของ ‘คบเพลิงนักปราชญ์’ ไว้ เปลวไฟแข็งกร้าวทั้งเก้าของคบเพลิงพลันเบ่งบานเป็ไอสีทอง
เปลวไฟทั้งเก้าเบ่งบาน หมายถึงสติปัญญาระดับเก้า
และเป็ระดับปัญญานักยุทธ์ที่สูงที่สุดเท่าที่เคยมีมาของสำนักกวางขาว
คนโดยรอบเบิกตาอ้าปากค้าง มองหนุ่มน้อยเก่งกล้าในเสื้อผ้ามอซอและรองเท้าหญ้า ภายใต้เปลวไฟสีทองอร่าม ชั่วแวบเดียวที่พวกเขารู้สึกราวกับมองเห็นเทพเ้าาในร่างมนุษย์ ผู้โลกทั้งมวลไว้ในกำมือเดียว
“หมายเลข 8888 เ่ิู ระดับสติปัญญาขั้นเก้า ผ่านการทดสอบ”
อาจารย์คุมสอบกลืนน้ำลายอึกหนึ่ง แล้วจึงะโประกาศผลเสียงดัง
นี่คือกำเนิดของบุคคลซึ่งสามารถทำให้ ‘คบเพลิงนักปราชญ์’ เบ่งบานทั้งเก้าดอกเป็รายที่สามนับแต่สำนักกวางขาวเปิดสอบเป็ต้นมา
เขาเห็นผลการทดสอบด่านก่อนหน้าของเ่ิูบนป้ายสลักนามเรียบร้อยแล้ว เส้นลมปราณทองคำบวกกับปรีชาญาณขั้นเก้า ผลสอบระดับนี้มากพอจะทำคนตะลึงได้แล้ว ถึงเด็กหนุ่มจะไม่เข้าสอบในด่านอื่นที่เหลือต่อ ก็สามารถเข้าเรียนในสำนักกวางขาวได้อย่างสบาย
“คิดไม่ถึงเลยว่าสำนักกวางขาวจะได้อัจฉริยะน้อยมาอีกหนึ่ง!”
อาจารย์คุมสอบชมเชยไม่หยุดปาก บันทึกผลการทดสอบไว้บนป้ายชื่อและส่งคืนให้เ่ิู
ในใจเขาพินิจไว้แล้ว หลังจากนี้ต้องจับตามองเด็กคนนี้ไว้ให้ดี
หากไม่มีอุบัติเหตุอะไรเกิดขึ้น อย่างไรก็ต้องได้เป็ดาวดวงใหม่ของศิษย์รุ่นล่าสุดของสำนักกวางขาวเป็แน่ สิ่งเดียวที่น่าเสียดายคือเด็กคนนี้ยากจน เส้นทางสายวรยุทธ์คงยากลำบากขึ้นเสียหน่อย
เ่ิูขอบคุณอาจารย์ แล้วเดินมุ่งสู่ด่านถัดไป
ผู้ชมมากมายมองตามเงาของเด็กหนุ่มผู้นี้ พวกเขาเดินตามไป ไม่มีใครมีแววตาชิงชัง ดูถูก เหยียดหยาม หรือมองข้ามเ่ิูอีกแล้ว
เพราะว่าพวกเขารู้ดี บางทีในวันพรุ่งนี้ ชาวเมืองทั้งนครต้องเริ่มตัดสินสถานะเด็กคนนี้ใหม่เสียแล้ว
“ทำไมเป็อย่างนี้ไปได้?”
หนุ่มเสื้อไหมหลิวเย่งงงัน แววตาเลื่อนลอยดูราวกับคนบ้าใบ้ เขาพูดประโยคนี้...ซ้ำไปซ้ำมา
...
อาจารย์วัยกลางคนเคราแพะมีนามว่าหลิวเหิง
เขาอยู่สำนักกวางขาวมาสามสิบเอ็ดปีเต็มแล้ว
สามสิบเอ็ดปีก่อน หลิวเหิงคือชั้นปลายแถวที่สุด แม้จะเข้าสำนักกวางขาวได้ แต่วิทยายุทธ์ของเขาก็พื้นเพมาก ฝึกฝนไม่สำเร็จ ด้วยเหตุนั้นจึงกลายเป็คนเงียบไม่ชอบพูดจา
นับว่าแปลกทีเดียว ขณะที่เพื่อนร่วมรุ่นเดียวกันล้วนเรียนจบได้อย่างราบรื่น มีเพียงเขาที่ใช้เวลาถึงสิบปีถึงฝืนทนเรียนจบหลักสูตรของสำนักกวางขาวทั้งสี่ปีลงได้
ดีที่บ้านตระกูลหลิวเป็เป็พ่อค้านับได้ว่าร่ำรวย ทำกิจการใหญ่โต หลิวเหิงอาศัยใบบุญของบ้านและทรัพย์สินเงินทอง จ่ายค่าสินน้ำใจไปไม่น้อย สุดท้ายถึงได้มาอยู่สำนักกวางขาว เป็อาจารย์ชั้นขยะคนหนึ่ง นั่งกินนอนกินรอวันตาย
บุคคลที่ถูกเรียกว่าชั้นขยะ ไม่ต้องรับผิดชอบการสอนใดๆ อย่างดีก็แค่รับผิดชอบเื่วุ่นวายอยู่เื้ั
หลิวเหิงไม่มีสถานะใดๆ ในสำนักกวางขาว แต่กลับชื่นชอบที่จะใช้ศักดิ์อาจารย์ข่มเหงระรานลูกศิษย์ไปทั่ว อยู่ข้างนอกก็วางท่าคุยโว ความผิดหนักๆ ไม่กล้าทำ แต่ผิดเล็กผิดน้อยไม่เหลือ เพราะเขามีเส้นสายของบ้านตระกูลหลิว คนระดับสูงของสำนักถึงทำปิดตาข้างหนึ่งไม่รู้ไม่เห็นกับสิ่งที่เขาทำ
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้