อู่ลี่จี๋ได้ยินถึงมาตรงนี้ ก็อดที่จะคิดถึงคำพูดที่ซูจื้อกว่างพูดกับเขาเมื่อเช้ามิได้
ซูจื้อกว่างต่อต้านมากที่จะเข้ามาในเมือง เพราะว่าซูจื้อกว่างบอกว่าเขารู้สึกว่าทหารรักษาการณ์ของเหอซีทิ้งกองทัพไปอย่างจงใจเกินไป เหมือนกับวางแผนเอาไว้อยู่แล้ว นี่คือกับดัก ทางที่ดีที่สุดอย่าเข้าไป
อู่ลี่จี๋สะกดกลั้นอารมณ์โกรธเอาไว้ไม่ได้แล้ว กลางดึกเมื่อคืน พวกเขาก็ออกคำสั่งลอบโจมตีครั้งหนึ่ง การโจมตีครั้งนั้นประสบความสำเร็จมาก โดยผ่านช่องทางอวี๋เหลียงเต้า ทหารม้าจำนวนมากเดินทางโดยอวี๋เหลียงเต้ามาที่กำแพงเมือง จากนั้นก็เปิดประตูเมืองให้ทหารเป่ยตี้เข้าเมืองมา
หลังจากเข้าเมืองมาได้ ในเมืองก็ไม่ค่อยมีคนเท่าไหร่แล้ว ซูจื้อกว่างตามอู่ลี่จี๋มุ่งตรงมาถึงเรือนพักด้านหลังสำนักงานเขตเหอซี พวกเขารู้ว่านี่คือบ้านของสวี่เหราผู้ปกครองเมืองเหอซี ครอบครัวสวี่ล้วนพักอยู่ที่นี่
อู่ลี่จี๋ลงม้าตรงหน้าประตูใหญ่แล้วเข้าไปในบ้านอย่างตามใจชอบ สีท้องฟ้านั้นก็ดึกมาแล้ว องครักษ์ข้างกายจึงจุดไฟ ซูจื้อกว่างตามอยู่ข้างกายอู่ลี่จี๋ เดินเข้าไปด้านหลังเรือนที่เป็บ้านพักของนายหญิง มองประตูที่เปิดกว้าง ภายในห้องมืดสนิท อู่ลี่จี๋ก็หยิบคบเพลิงในมือขององครักษ์ข้างกายคนหนึ่งมาแล้วถือเข้าไปในห้อง
ภายในห้องไม่มีไอความร้อนอันใดหลงเหลืออยู่ บนโต๊ะกลมในของยังมีห่อผ้าถูกเปิดออก ในห่อผ้านั้นมีเสื้อผ้าหลายตัววางอยู่ แค่มองก็รู้ว่ารีบร้อนออกไปมากเพียงใด อู่ลี่จี๋อดที่จะพยักหน้าไม่ได้ แล้วเข้าไปยังห้องด้านในโดยใช้แสงไฟส่อง ก็เห็นกล่องเครื่องประดับตรงโต๊ะเครื่องแป้งบนหัวเตียงเปิดอยู่ หยิบกล่องขึ้นมาดูก็เห็นว่าเป็เครื่องประดับทองส่องแสงระยิบระยับ
อู่ลี่จี๋หัวเราะแล้วเอ่ยกับซูจื้อกว่างว่า “ท่านอาจารย์ ท่านดูสิ พวกเขามิใช่ว่ารีบร้อนหนีออกไปถึงได้ทิ้งเมืองนี้แล้วหนีไปหรอกหรือ?”
ซูจื้อกว่างมองทั้งหมดในห้องพลันขมวดคิ้ว เห็นเครื่องประดับบนโต๊ะเครื่องแป้งก็เดินไปหยิบมาเล่นรอบหนึ่ง จากนั้นก็โยนเครื่องประดับลงไปในกล่องเครื่องประดับไม้แกะสลักลวดลายบุปผา ก่อนจะกล่าว “องค์ชายห้าขอรับ ของพวกนี้เป็เครื่องประดับที่ไม่ได้มีค่าอะไรมาก สวี่เหราเกิดในจวนของหย่งหนิงโหวในเมืองหลวง นางที่เป็ฮูหยินของเขา ปกติแล้วจะต้องใส่เครื่องประดับที่หรูหรามิใช่หรือ? จางซื่อเกิดจากสกุลจางที่มีชื่อเสียง ตอนที่แต่งงานสินเดิมก็หนาใช่ย่อย ถึงแม้ในจวนโหว สวี่เหราจะไม่ได้รับความรักสักเท่าใด จางซื่อแม้จะมีสถานะที่ไม่ดีก็คงไม่มีแค่เครื่องประดับที่ไร้ค่าเช่นนี้ ข้าเกรงว่าในเื่นี้จะต้องมีอะไรไม่ชอบมาพากล พวกเราจะต้องรับมืออย่างระมัดระวังนะขอรับ”
อู่ลี่จี๋ซึ่งในตอนนี้ถูกชัยชนะที่ทำลายเหอซีได้อยู่เต็มสมอง เมื่อได้ยินคำพูดของซูจื้อกว่างเขาก็กล่าวออกมาด้วยความไม่พอใจ “ท่านอาจารย์ คำพูดพวกนี้ของท่านจะสั่นคลอนใจทหารเอาได้นะ ตอนนี้พวกเราพิชิตเขตเมืองเหอซีได้แล้ว ต่อไปจะไปที่ด่านเยี่ยนเหมิน มีพี่ชายใหญ่ของข้ารับมืออยู่ด้านนอกด่าน พวกเรายังจะโจมตีไม่ได้อีกหรือ?”
ซูจื้อกว่างเห็นอู่ลี่จี๋ดีใจมาก คำพูดที่เดิมทีอยากจะกล่าวออกมาก็พูดไม่ออก ทำได้แค่ถอนหายใจ
หลายวันมานี้ อู่ลี่จี๋พาคนเดินทางมาไกล ทั้งยังอาศัยอยู่ด้านนอกเมืองมาหลายวัน กินไม่ดี พักก็ไม่ดี ในเมื่อโจมตีเมืองได้แล้วก็ต้องอารมณ์ดีเป็ธรรมดา
หลังจากคนเป่ยตี้พวกนี้เข้ามาในเมืองแล้วก็เริ่มคุ้ยหาของไปทั่วทุกที่ ทั้งสุกทั้งดิบ ขอแค่สามารถกินได้ก็จะนำออกมา จากนั้นก็จุดไฟเผาบ้าน ซูจื้อกว่างเห็นแล้วอยากจะห้าม แต่เมื่อคิดถึงนิสัยของคนเป่ยตี้พวกนี้แล้ว สุดท้ายก็ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมาอีก
บ้านที่สวี่เหราเข้าพักเป็อู่ลี่จี๋พาคนมาค้นหาด้วยตนเอง ตอนที่ค้นหาไปถึงเรือนหลัง ก็เห็นผักใบเขียวในเรือนเพาะชำ ดวงตาของอู่ลี่จี๋ก็พลันมีสีเขียว จากนั้นเขาจึงลากซูจื้อกว่างมาถาม “ท่านอาจารย์ซู ท่านดู นี่มันเื่อันใดกัน เหตุใดยังสามารถปลูกผักในฤดูหนาวได้?”
ซูจื้อกว่างตอบ “นี่คงเป็เรือนเพาะชำที่คนในสกุลสวี่สร้างขึ้นมา ปลูกผักในฤดูหนาวสามารถขายเอาเงินได้ แล้วก็สามารถเอามากินในครอบครัวได้ ดีมากเลยขอรับ”
อู่ลี่จี๋ถาม “ท่าน ท่านว่าพวกเราสามารถสร้างเช่นนี้ในราชวังของพวกเราได้หรือไม่?”
ซูจื้อกว่างเอ่ย “หากที่นี่สามารถสร้างได้ ทางด้านพวกเราก็สามารถสร้างได้แน่นอนขอรับ แต่ว่าไม่รู้ว่าเขาสร้างขึ้นมาอย่างไร อีกทั้งหลังจากปลูกผักลงไปแล้วต้องดูแลอย่างไร เื่นี้เป็สิ่งที่สำคัญมาก ไม่เช่นนั้นเรือนเพาะชำคงไม่ใช่ของที่หาได้ยากเช่นนี้”
อู่ลี่จี๋เอ่ย “รอหาคนที่สามารถสร้างเรือนเพาะชำเจอแล้วพวกเราก็เอากลับไปที่ราชวัง”
ซูจื้อกว่างไม่ได้เอ่ยคำใดต่อ ตอนนี้เขารู้สึกว่าการตัดสินใจของตนเองในตอนแรกนั้นผิด องค์ชายพระองค์นี้ถึงแม้จะเป็โอรสที่องค์จักรพรรดิทรงรักมากที่สุด ดูแล้วเป็คนที่ฉลาดมีความสามารถ แต่ว่าความจริงแล้วไม่ค่อยจะมีประโยชน์มากสักเท่าไหร่ ตอนนี้ซูจื้อกว่างกังวลยู่เล็กน้อย ตนเองกับอู่ลี่จี๋ยืมเส้นทางแคว้นเยี่ยนเพื่อเดินทางมาที่นี่ เช่นนั้นองค์ชายที่อยู่ในราชวังเป่ยตี้เ่าั้จะทำเช่นไร? ยิ่งคิดก็ยิ่งกลัว ซูจื้อกว่างไม่กล้าที่จะคิดต่อไป ถ้าหากมาถึงขั้นนั้นแล้ว ตนเองที่เป็กุนซือของอู่ลี่จี๋จะยังมีหนทางรอดชีวิตหรือ?
ซูจื้อกว่างกังวลใจมาก ตลอดคืนไม่สามารถหลับตาลงได้ หลังจากคิดหน้าคิดหลังแล้วก็รู้สึกว่าจะต้องโน้มน้าวให้อู่ลี่จี๋รีบกลับไปที่ราชวังเป่ยตี้โดยเร็วที่สุด เขากลัวจริงๆ ว่าจะกลับไปช้าแล้วจะมีเื่ไม่คาดฝันอะไรเกิดขึ้น
ยามเช้า เขตเมืองเหอซีได้ถูกทำลายจนไม่เหลือซาก ซูจื้อกว่างเดินไปที่ไหนก็เห็นถนนที่เละเทะ ในใจก็เริ่มกลับไปคิดถึงเื่หลายปีนี้ที่ตนเองทำ เพราะว่าตนเองถูกขุนนางของราชวงศ์ต้าเหลียงรังแก จึงอาศัยความโกรธแค้นในใจไปพึ่งเป่ยตี้ ชักนำคนของเป่ยตี้เข้ามา ทำให้คนของแคว้นตนเองถูกทำลาย ทำเช่นนี้มันถูกต้องจริงๆ หรือ?
ซูจื้อกว่างรู้สึกว่าตนเองคงจะทำผิดไปแล้ว แต่เื่มันมาถึงตรงนี้แล้ว ก้าวผิดเพียงก้าวเดียวก็กลายเป็ความรู้สึกผิดภายหลังนับพัน ตนเองอยากจะหันหลังกลับ ก็กลับไม่ได้เสียแล้ว
ซูจื้อกว่างมาถึงด้านในเรือนหลังสำนักงานเขต ประตูใหญ่เปิดออก ที่เข้าๆ ออกๆ ก็ล้วนเป็ทหารของเป่ยตี้ เมื่อเห็นซูจื้อกว่างก็ก้มหัวทำความเคารพพร้อมเอ่ยนาม “ท่านซู” ก่อนจะหันไปยุ่งอยู่กับงานของตนเองต่อ
ซูจื้อกว่างพยักหน้ารับน้อยๆ เดินมาถึงด้านหลังเรือนหลัก อู่ลี่จี๋พักอยู่ในห้องด้านในของเรือนหลัก เพิ่งจะตื่นขึ้นมาได้ไม่นาน เมื่อเขาเห็นซูจื้อกว่างเข้ามาก็หัวเราะฮ่าๆ “ท่านอาจารย์ ตั่งนี่เป็ของดีจริงๆ ตอนกลางคืนนอนลงไปไม่หนาวเลยสักนิด แล้วก็ผ้าห่มผ้าฝ้ายนี่ คลุมบนตัวทั้งเบาทั้งยังอุ่น เมื่อไหร่พวกเราจะปลูกต้นฝ้ายได้บ้าง”
อู่ลี่จี๋เป็คนที่ซูจื้อกว่างอบรมบ่มเพาะด้วยตนเอง สาเหตุใดอู่ลี่จี๋อยากจะเข้ามาในต้าเหลียงถึงเพียงนี้ แล้วทำให้ต้าเหลียงเป็แคว้นของเป่ยตี้? ก็เพราะว่าซูจื้อกว่างเอาแต่พูดข้างหูของตนเองตลอดว่าต้าเหลียงนั้นดีอย่างไร ต้าเหลียงร่ำรวยอย่างไร พอพูดมากเข้า อู่ลี่จี๋ก็สนใจกับพื้นที่ของต้าเหลียงมากขึ้น แต่ซูจื้อกว่างก็มิได้อยากจะเป็อาจารย์ของอู่ลี่จี๋อย่างบริสุทธิ์ใจขนาดนั้น เขาอยากจะใช้อู่ลี่จี๋มาโจมตีต้าเหลียง จากนั้นก็สร้างใหม่ตามความคิดของตนเอง เพียงแต่น่าเสียดาย นี่เป็เพียงการล่อหมาป่าเข้ามา จนอีกฝ่ายได้ผลประโยชน์ไปเท่านั้น
ซูจื้อกว่างนั่งอยู่บนเก้าอี้ พลางถอนหายใจ “องค์ชายห้า ข้าคิดมาตลอดหนึ่งคืนแล้ว ข้าว่าพวกเรากลับกันดีกว่าขอรับ อาศัย่เวลานี้ ด้านหลังพวกเรายังไม่มีทหารของต้าเหลียงปรากฏตัว รีบกลับไปทางเดิมกันเถิด ไม่เช่นนั้นหากทหารของต้าเหลียงมา พวกเราจะกลายเป็หมูในอวยนะขอรับ”
อู่ลี่จี๋กล่าวด้วยความไม่ใส่ใจ “ท่านอาจารย์ซู เื่นี้เมื่อคืนพวกเราก็พูดกันไปแล้วมิใช่หรือ พวกเราจะอาศัยเวลาใน่นี้จัดการไปทีเดียว แล้วมุ่งหน้าโจมตีถึงด่านเยี่ยนเหมิน เสด็จพ่อปรึกษากับคนของต้าเหลียงทางนั้นเรียบร้อยแล้ว พวกเราจะโจมตีด่านเยี่ยนเหมิน จากนั้นต้าเหลียงจะเอาของมาแลกเปลี่ยนกลับไป ข้าเองก็สามารถได้รับการยอมรับจากคนในเผ่าเพราะเื่นี้ และได้ตำแหน่งจักรพรรดิไปอย่างราบรื่น”
ซูจื้อกว่างเอ่ย “องค์ชายห้า เื่นี้มันราบรื่นเกินไป ราบรื่นจนทำให้ข้ากลัว ข้ารู้สึกไม่มั่นคงเลยขอรับ พวกเรากลับกันเถิด”
อู่ลี่จี๋ยืนขึ้น แล้วเอ่ยออกมาด้วยความไม่พอใจ “ท่านอาจารย์ พวกเรามาถึงตรงนี้กันแล้ว ด้านหน้าไม่ไกลก็เป็ด่านเยี่ยนเหมิน พวกเราจะกลับไปได้อย่างไร? พี่ชายใหญ่ของข้ารอข้าอยู่ด้านนอกด่านเยี่ยนเหมินนะ”
ซูจื้อกว่างเอ่ย “องค์ชาย ท่านฟังข้าสักครู่ ตอนนี้พวกเราอันตรายมากแล้วขอรับ อาศัยใช้่ที่ด้านหลังพวกเราไม่มีคนมารีบออกไปก่อนเถิดขอรับ หากยังไม่ไปจะไม่ทันกาลนะขอรับ”
อู่ลี่จี๋ทำหน้าขรึมแล้วกล่าว “ท่านอาจารย์ ในเมื่อท่านอยากกลับไป ข้าก็จะจัดคนส่งท่านกลับไป แต่ข้าจะต้องไปที่ด่านเยี่ยนเหมิน”
ซูจื้อกว่างพูดด้วยความร้อนใจ “องค์ชาย ข้าเป็อาจารย์ของท่าน ท่านไม่ไปข้าไปจะไปมีความหมายอันใด? ท่านเชื่อข้าสักครั้งเถิด”
อู่ลี่จี๋ทำหน้ามุ่งมั่น “ท่านอาจารย์ ข้าจะจัดคนให้ส่งท่านกลับไป ท่านวางใจ ข้าจะเอาของมีค่าที่พวกเรารวบรวมมาได้เอาไปให้ท่าน”
ซูจื้อกว่างเมื่อพบว่าไม่สามารถโน้มน้าวอู่ลี่จี๋ได้ จึงทำได้แค่ถอนหายใจแล้วเดินออกไป อู่ลี่จี๋สั่งคนขนของ จะพาซูจื้อกว่างกลับไปทางเดิม ที่เขาไม่รู้ก็คือ เมื่อถึงกลางทาง ซูจื้อกว่างหาจังหวะแบกห่อผ้าที่ใส่ของไปยังแคว้นเยี่ยน ไม่ได้กลับไปที่เป่ยตี้
เมื่อได้ยินคำพูดของเว่ยหลาง อู่ลี่จี๋ก็คิดถึงคำพูดพวกนั้นที่ซูจื้อกว่างพูดกับตนเอง ความรู้สึกไม่ปลอดภัยของเขาก็ยิ่งรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ มองใบหน้านิ่งสงบของเว่ยหลางที่อยู่ตรงหน้า แล้วก็มองเหล่าทหารม้าที่อยู่ด้านหลังตนเอง ในใจอู่ลี่จี๋ก็รู้สึกหวาดกลัว ตอนนี้เขาอยากจะหันหลังกลับยังทันอยู่หรือไม่?
เว่ยหลางมองท่าทีของอู่ลี่จี๋ก็หัวเราะเสียงเย็น “อู่ลี่จี๋ หากเ้ายอมแพ้ในตอนนี้ ข้าจะไว้ชีวิตเ้า หากเ้ายังคงทำเมินไม่เข้าใจ เช่นนั้นข้าก็ช่วยไม่ได้แล้ว”
อู่ลี่จี๋ะโ “พวกเาาวเป่ยตี้มีเพียงตายในสนามรบเท่านั้น ไม่มียอมแพ้ เว่ยหลาง เ้าอย่ามาพูดให้เปลืองปากเลย สหายทั้งหลาย บุกตามข้ามา”
ทหารเป่ยตี้ตามมาด้านหลังอู่ลี่จี๋ แล้วโบกดาบโค้งของตนเองมุ่งไปด้านหน้า
พื้นดินตรงหน้ามีฝุ่นตลบขึ้นมา ตามมาด้วยเชือกแต่ละเส้นโผล่มา เชือกถูกดึงขึ้น ทหารม้าเป่ยตี้ล้มลงพื้นทีละคนสองคน ต่อมาเมื่อเห็นสถานการณ์ไม่ดีก็รีบหยุดม้าลง แต่ว่าคนด้านหลังมองไม่เห็น จึงยังพุ่งไปด้านหน้า ดังนั้นจึงล้มกันเป็แถบ
ภายในฝุ่นที่ตลบขึ้นมา ก็มีเสียงวุ่นวายของม้าศึก เสียงคำรามของทหารเป่ยตี้ เสียงก่นด่าสาปแช่ง เว่ยหลางพาคนมองจุดจบของคนเป่ยตี้ที่อยู่ตรงหน้าไม่ไกลเงียบๆ
มีทหารเป่ยตี้เห็นว่าท่าไม่ดีเสียแล้ว จึงอยากจะถอยหลัง แต่กลับพบว่าประตูทิศตะวันตกของเหอซีปิดั้แ่เมื่อใดก็มิอาจรู้ได้ อยากจะวิ่งไปด้านข้าง กลับพบว่าบนูเาทั้งสองข้างมีฝนธนูตกลงมาจากบนูเา สุดท้ายถึงได้พบเื่น่าเศร้าว่าตนเองนั้นกลายเป็หมูในอวยไปเสียแล้ว
องค์ชายห้าของเป่ยตี้จึงถูกจับกุมด้วยเหตุเช่นนี้
เป่ยตี้ที่แข็งแกร่งหากไม่าเ็จนตายตกไปก็ถูกจับเป็เชลย การลอบโจมตีในครั้งนี้จึงล้มเหลวไม่เป็ท่า
แม่นมลู่พนมมือขอบคุณตนเองที่สามารถสวดมนต์ขอพรพระคุณเ้าได้ จากนั้นก็ไม่สนใจว่าเว่ยหลางจะพาคนของตนเองไปเก็บกวาดสนามรบอย่างไร หลังจากลงูเามาก็วิ่งไปทางด่านเยี่ยนเหมิน องครักษ์ข้างกายพยุงแม่นมลู่ไปด้วย เพื่อไม่ให้นางถูกคนชนเข้า สุดท้ายก็เห็นว่าแม่นมลู่เดินไม่ไหวแล้ว จึงให้แม่นมลู่ปีนขึ้นมาบนหลังของตนเอง แล้วแบกนางเดินทางต่อไป
ครอบครัวสวี่ถูกจัดให้มาอยู่ในกระโจมหนึ่ง ตอนที่แม่นมลู่รีบมาถึง ชิงเหมี่ยวเพิ่งจะยกกะละมังออกมาพอดี เมื่อเห็นแม่นมลู่ก็ขอบตาแดง เบะปากร้องเรียก “แม่นม” แม่นมลู่เห็นแล้วก็ขาอ่อน เดินสะดุด โชคดีที่องครักษ์ข้างกายมือไวพยุงแม่นมลู่เอาไว้ก่อน แม่นมลู่ถึงได้ไม่ล้มลงไปกับพื้น
ชิงเหมี่ยวรีบวางกะละมังลง แล้ววิ่งเข้าไปหา “แม่นม ท่านปลอดภัยไม่เป็อันใดช่างดีเสียจริง แม่นางหลี่มาหาบอกว่าท่านล่อพวกคนเป่ยตี้วิ่งไปในูเา พวกเราใกันเกือบตาย แม่นม ฮูหยินกับคุณชายน้อยสบายดีกันทุกคน ท่านโปรดวางใจ พวกนางกลับมาอย่างปลอดภัยเ้าค่ะ”
แม่นมลู่ถอนหายใจอย่างโล่งอกแล้วกล่าว “อมิตาพุทธ พวกเขาปลอดภัยไม่เป็อันใดก็ดีแล้ว พวกเราไม่เป็อันใดก็ดีแล้ว”
ชิงเหมี่ยวสูดหายใจ ก่อนจะเอ่ย “แต่ว่าใต้เท้ากับคุณชายใหญ่ต่างได้รับาเ็ แม่นม ท่านมาแล้วข้าก็รู้สึกว่ามีที่พึ่งเ้าค่ะ”
แม่นมลู่รีบเดินไปด้านในกระโจม เดินไปก็พูดไป “ขอแค่คนยังมีชีวิตอยู่ก็ดีแล้ว เ้าเองก็อย่าร้องไห้เลย รีบเถิด ควรทำอะไรก็ไปทำอันนั้นเสีย”
ชิงเหมี่ยวรับคำก่อนจะยกกะละมังเดินออกไป
แม่นมลู่มองแผ่นหลังของชิงเหมี่ยว ก็รู้สึกว่าฝีเท้าของแม่นางผู้นี้เดินฉับไวกว่าเมื่อครู่มาก จึงส่ายหน้าเบาๆ รู้สึกว่าวัยหนุ่มสาวน่ะ จะต้องออกกำลังกายถึงจะดี ไม่ว่าจะอย่างไรก็ต้องสามารถแบกรับเื่ราวให้ได้ถึงจะดี
เมื่อเข้ากระโจมมา ก็เห็นจางจ้าวฉือนอนอยู่ด้านในสุด บนหน้าผากของสวี่เหรามัดผ้าพันแผลสีขาวเอาไว้ นอนหน้าขาวซีดบนเตียงไม้ไผ่ สวี่ตี้เองก็นอนอยู่อีกฝั่งของประตู ใบหน้าของสวี่จือขาวซีด อุ้มคุณชายน้อยที่เพิ่งเกิดใหม่นั่งอยู่ตรงหน้าเตียงของจางจ้าวฉือ
เมื่อได้ยินการเคลื่อนไหวที่หน้าประตู สวี่จือก็เห็นว่าเป็แม่นมลู่ ปากเล็กๆ เบ้ปากร้องไห้ออกมาทันใด นางอยากจะยืนขึ้นมา แต่ในอ้อมแขนยังอุ้มเด็กอยู่ จึงมิกล้าขยับตัว
แม่นมลู่เห็นแล้วก็รีบเข้ามารับเด็กในอ้อมกอดของสวี่จือ ก่อนจะเอ่ย “เด็กดี ไม่ร้อง ทุกอย่างต้องจะดีขึ้น”
สวี่จือยืนขึ้นมา กอดเอวแม่นมลู่ “แม่นม ท่านปลอดภัยไม่เป็อันใดก็ดีมากๆ แล้วเ้าค่ะ ท่านกลับมาช่างดีจริงๆ ท่านพ่อกับท่านพี่ต่างได้รับาเ็ ท่านแม่ก็นอนอยู่ตลอด น้องชายก็เอาแต่ร้องไห้ พี่ชิงซุยให้น้องชายกินน้ำเข้าไปก็ยังไม่หยุดร้อง พี่ชิงซุยบอกว่าน้องชายหิวแล้วแต่ว่าท่านแม่ไม่ยอมตื่นขึ้นมาตลอดเลยเ้าค่ะ”
แม่นมลู่จับชีพจรของจางจ้าวฉือ “แม่ของเ้าเหนื่อยเกินไปกำลังพักผ่อนอยู่น่ะ รอนางพักผ่อนพอแล้วก็จะตื่นขึ้นมา คุณหนูเก้า เ้าอย่ากลัวไปเลย เหนื่อยแล้วใช่หรือไม่ เหนื่อยก็ไปพักเสียหน่อย อีกเดี๋ยวแม่ของเ้าตื่นแล้วก็ยังมีงานของเ้าอยู่นะ”
สวี่จือพยักหน้า “แม่นม ข้าไม่เหนื่อย ข้าไม่เหนื่อยจริงๆ เ้าค่ะ ข้าจะเฝ้าอยู่ที่นี่ รอท่านแม่ของข้าตื่นขึ้นมา”
สวี่เหรากับสวี่ตี้เองก็เหนื่อยมาก บวกกับาแสาหัส จึงนอนหลับจนถึงเวลาอาหารเย็นถึงได้ตื่นขึ้นมา ตอนนั้นจางจ้าวฉือได้ตื่นขึ้นมาแล้ว แล้วก็ไม่รู้ว่าชิงเหมี่ยวไปแลกเปลี่ยนที่ใดมา ถึงได้ทำโจ๊กหม้อเล็กๆ มาได้ โจ๊กข้าวนั้นต้มมาได้เหนียวนุ่ม ้ายังมีน้ำมันข้าวหนาๆ อยู่ชั้นหนึ่ง แม่นมลู่หยิบน้ำตาลแดงถุงหนึ่งออกมาจากห่อผ้า หลังจากใส่น้ำตาลแดงลงไป จากนั้นจึงตักน้ำมัน้าออกไป ส่วนข้าวก็ตักใส่ถ้วย ให้จางจ้าวฉือกินขาหมูตุ๋น
จางจ้าวฉือเหนื่อยมากจริงๆ หลังจากทานโจ๊กเสร็จก็รู้สึกว่าในท้องยังว่างมาก กินหมดไปสามถ้วยเล็กถึงได้หยุดกิน ก่อนจะเอ่ยกับแม่นมลู่ “แม่นม ตอนนี้ข้าอยากจะกินขาหมูตุ๋นอีก ให้ข้ามาอีกชิ้นหนึ่งข้าก็สามารถกินมันได้ทั้งหมดเ้าค่ะ”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้